เป็นปกติอยู่แล้วที่ในแต่ละปี เหล่าผู้ผลิตจะทำการเผยโฉมต้นแบบรถยนต์สุดล้ำออกมา เพื่อบอกไบ้แนวทางการออกแบบหรือเทคโนโลยีของรถยนต์ยุคถัดไปของตนเอง และ Mercedes Vision One-Eleven ที่ทุกท่านเห็นกันอยู่ในนี้ก็คือหนึ่งในนั้น
Mercedes Vision One-Eleven คือรถต้นแบบคันใหม่ล่าสุดที่ทางค่ายพึ่งทำการเผยโฉมออกมา โดยหากคุณมีอายุสัก 60 ปี ขึ้นไป หรือไม่ก็เป็นแฟนตัวยงของ Mercedes-Benz มานานก็คงพอจะคุ้นหูคุ้นตากันบ้างว่าเจ้ารถคันนี้ มีดีไซน์ที่คล้ายกับรถซุปเปอร์คาร์สุดหายากอีกคัน ซึ่งทางค่ายได้เคยสร้างขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ ช่วงปี 1960-1970
นั่นคือ Mercedes-Benz C111 ซุปเปอร์คาร์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยแห่งยุคอย่าง ตัวถังไฟเบอร์กลาส และขุมกำลังสุดล้ำมากมาย ตั้งแต่ เครื่องยนต์โรตารี แบบ 3 โรเตอร์ กำลังสูงสุด 280 แรงม้า, เครื่อยนต์โรตารี 4 โรเตอร์ 350 แรงม้า, เครื่องยนต์ ดีเซล 4 สูบ เทอร์โบ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า, เครื่องยนต์ ดีเซล 5 สูบ เทอร์โบ กำลังสูงสุด 230 แรงม้า, ปิดท้ายด้วยการใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 กำลังสูงสุด 500 แรงม้า ก่อนจะยุติสายการผลิตไปด้วยจำนวนเพียง 16 คัน บนโลกเท่านั้น
กลับมาที่ตัวรถต้นแบบคันใหม่ แม้มันจะมีงานออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ในตำนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรูปทรงตัวรถแบบทรงลิ่ม หน้าแหลมนิดๆ ท้ายโด่งหน่อยๆ แต่เพื่อไม่ให้แหลมเกินไปจนกลายเป็นรถยนต์จาก Lamborghini ด้านหน้าของมันจึงถูกตัดปากเอาไว้ให้กลายเป็นช่องดักลมขนาดใหญ่ ซึ่งจะถูกล้อมรอบได้วงแหวนไฟ LED และมีดวงไฟย่อยที่ติดตั้งอยู่ด้วยกันเป็นกรอบกลม คล้ายกับว่าได้แรงบันดาลใจมากจากรถต้นแบบ
ไม่เพียงเท่านั้น ที่ชายล่างกันชนหน้า ยังมีการติดตั้งชุดสปอยเลอร์ หรือลิปสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ อันเป็นของใหม่ที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อให้ตัวรถดูพร้อมซิ่งมากขึ้น เช่นเดียวกับด้านท้าย ที่ตัวกันชุดท้ายก็เป็นแบบตัดตูดเช่นกัน และแม้ว่ามันจะไม่มีสปอยเลอร์หลังด้านบน แต่ก็มีสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ทางด้านล่างซึ่งเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะสร้างแรงกดได้มากแค่ไหน แต่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนที่พบเห็นได้มากแน่นอน
และที่น่าสนใจนอกจากชุดล้อขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีขนาดไม่ต่ำกว่า 22 นิ้ว ก็คือชุดบานประตูแบบกัลล์วิง หรือแบบปีกนกที่เคยมีมาให้ในตัวรถ C111 และทาง Mercedes-Benz ก็ภูมิใจมันเป็นอย่างมากตอนที่ใช้กับรถสปอร์ตคาร์ในตำนาน Mercedes-Benz 300SL
ฝั่งงานออกแบบภายในเอง ก็ดูหวือหวาราวกับนั่งอยู่ในยานอวกาศจากภาพยนต์ Sci-fi ในยุค 70’s ตั้งแต่การตกแต่งโทนสี ส้ม-ขาว และ เงิน, คอนโซลหน้าเป็นแบบวงรีนอนยาวไปตลอดแนวซ้ายขวา พร้อมกรอบไฟ LED ล้อไปกับงานออกแบบภายนอกที่กันชนหน้าและกันชนท้าย โดยที่การแสดงผลของแผงคอนโซลเอง ก็จะเป็นแบบดวงไฟพิกเซลขนาดใหญ่ เพื่อความโมเดิร์นคลาสสิคแบบ ป็อปคัลเจอร์
แต่ทั้งนี้ยังมีจอระบบอินโฟเทนเมนท์แบบ TFT-Touchscreen มาให้ตรงกลางคอนโซลแบบห้องเยื้องมาทางด้านล่างนิดๆ, ส่วนพวงมาลัยเองก็เป็นแบบเหลี่ยม หน้าตาคล้ายพวงมาลัยตัวแข่ง Formula-1 แต่ก้านวงพวงมาลัยถูกยกขึ้นมา โดยที่ตรงกลางเป็นที่ตั้งของแตร กับปุ่มกดสั่งงานระบบต่างๆ ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามีปุ่มเปิดระบบสั่งการด้วยเสียงอยู่ด้วย
ด้านตัวเบาะนั่งเอง หากดูจากองศาเบาาะรองก้น จะเห็นได้ว่ามันถูกออกแบบให้มีความเป็นหลุมสูงคล้ายกับตัวแข่ง Formular 1 อีกเช่นกัน จนทำให้เราเองก็เริ่มสงสัยว่าหากมันเป็นหลุมเตี้ยขนาดนั้น ผู้ขับและผู้โดยสารจะมองทัศนวิสัยหนทางภายนอกกันอย่างไร ไม่เพียงเท่านั้นตัวพนักหลัง ยังมาพร้อมกับหัวหมอนแบบติดตั้งตายตัว รวมถึงเข็มขัดนิรภัยเองยังเป็นแบบ 4 จุด คล้ายกับของตัวแข่งอีก
ทว่าเพื่อความสะดวกสบาย และไม่แน่ว่าหากตัวรถรุ่นนี้ถูกขายจริง มันอาจมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง จนผู้ขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัย และนั่งกินข้าว ดูหนังฟังเพลงชิลๆขณะเดินทางได้ ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่ามันมีพื้นที่ว่างด้านหลังเบาะมากพอสมควรจนถึงขนาดที่ผู้ขับสามารถเอนเบาะไปเรื่อยๆจนอยู่ในท่านอนแล้วมองท้องฟ้า หรือมองดาวผ่านกระจกหลังคาขึ้นไปสบายๆได้เลย
อย่างไรก็ดีจุดขาย หรือจุดเด่นที่น่าสนใจของตัวรถ One-Eleven ยังไม่หมดแค่นั้น เนื่องจากมันมีรุ่นพี่ C111 ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยของยุคในช่วงปี 1960-1970 เป็นแรงบันดาลใจ
ดังนั้นเจ้ารถต้นแบบคันนี้เอง จึงยังมีเทคโนโลยีล้ำสมัยของยุคปัจจุบันด้วยเช่นกัน นั่งคือการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Axial-flux electric motor เป็นขุมกำลังประจำตัว ซึ่งข้อดีคือมันเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง แถมยังมีขนาดที่เล็กและเบาเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั่วๆไป และมันอาจให้พลังกำลังในการขับเคลื่อนที่ไม่น้อยกว่า 1,300 แรงม้า หากทาง Mercedes ติดตั้งมอเตอร์แบบนี้เข้าไปขับเคลื่อนทั้ง 4 (1 ตัว ต่อ 1 ล้อ)
และในส่วนแบตเตอรี่เอง ก็ยังดูเหมือนว่าจะเป็นแบตเตอรี่แบบ Solid-State ที่มีความหนาแน่นเชิงพลังงานมากกว่าแบตเตอรี่ที่รถไฟฟ้าทั่วๆไปใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหากทางค่ายทำออกมาขายจริงๆ มันก็อาจจะมีระยะทางในการวิ่งสูงสุดต่อชาร์จที่มากถึง 1,000 กิโลเมตร เลยทีเดียว
ทั้งนี้ ต่างจาก Mercedes-Benz C111 ที่ทางค่ายไม่ได้แค่สร้างขึ้นมาเพื่อแสดงวิสัยทัศ แต่ยังขายจริงด้วย ฝั่ง Mercedes Vision One-Eleven กลับมีแนวโน้มและความเป็นไปได้สูงที่มันจะกลายเป็นเพียงแค่รถต้นแบบเท่านั้น และจะมีก็แค่เพียงเทคโนโลยีบางอย่างที่จะถูกนำไปใช้กับรถขายจริง ซึ่งเรามองว่ามันจะต้องเป็นตัวแบตเตอรี่กับมอเตอร์มากกว่า