หลังจากแนะนำรุ่นพิเศษ Resolute Edition ทั้ง 3 รุ่นไปไม่ได้ไม่นานทั้งแบบเบนซินและไฟฟ้าล้วนล่าสุด MINI ลุยงาน Motor Show 2023
ส่งรุ่นพิเศษอีกรุ่นมาถล่มตลาดรถพรีเมียมคอมแพ็คกับ MINI Cooper S Clubman Multitone Red และ MINI John Cooper Works Hatch Classic เริ่มที่MINI Cooper S Clubman Multitone Red ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดความสำเร็จของรถยนต์ในเซกเมนต์พรีเมียมคอมแพ็คเพิ่มลูกเล่นชูคอนเซ็ปต์ “ชีวิตหลายแง่มุม” ผ่านการใช้สี โดยเฉพาะเฉดสีของหลังคาที่เปรียบเสมือนผืนผ้าใบของงานศิลปะที่แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่แต่ละคน และหลังคาเฉดสีใหม่ที่จะมาเติมสีสันให้ชีวิตด้วยการไล่ระดับเฉดสีแดงสดใสของมินิรุ่นนี้
โดยใช้เทคนิคการพ่นสีแบบต่อเนื่องโดยไม่ต้องรอทิ้งช่วงให้แห้ง (wet-on-wet) นวัตกรรมที่รังสรรค์โดยโรงงานมินิในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ซึ่งเฉดสีทั้งสามถูกพ่นลงทีละสี ได้แก่ สีแดง Chilli Red ในส่วนด้านหน้า ตามด้วยสีเทา Melting Silver และจบด้วย สีดำ Jet Black ในส่วนท้ายของตัวถัง ก่อนจะลงสีทับด้วยเทคนิคสเปรย์เทค (Spray Tech) ซึ่งเทคนิคนี้ส่งผลให้การผสมของสีที่พ่นมีรูปแบบที่แตกต่างกันตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
นอกจากนี้ สีของหลังคาที่ตัดกันอย่างชัดเจนและแบ่งสัดส่วนตัวถังเป็น 3 ส่วนตามเอกลักษณ์ของมินิ ยังโดดเด่นสะดุดตาขึ้นอีกขั้นกับตัวถังสีขาว Nanuq Whiteนอกจากจะสะดุดตาด้วยหลังคาสีแดงไล่เฉดสีสวยงาม ยังโดดเด่นด้วยหลากหลายฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้าทรงกลม LED สำหรับการขับขี่ตอนกลางวัน ไฟท้ายลายยูเนียนแจ็คอันเป็นเอกลักษณ์ของมินิ ฝาครอบกระจกข้างสีแดง ราวหลังคา และภายนอกตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black เพิ่มความพิเศษของรุ่นนี้ไปอีกระดับ มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลาย Net Spoke สีดำ พร้อมยางรันแฟลต
พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่น กระจกมองหลังพร้อมฟังก์ชั่นลดแสงสะท้อน (Anti-Dazzle) ยังถูกใส่มาในรถรุ่นนี้ด้วย พร้อมระบบความบันเทิงภายในรถและระบบการสื่อสารอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง จอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว และ Apple CarPlay สร้างบรรยากาศตื่นเต้นเร้าใจตลอดการเดินทาง
เติมความโฉบเฉี่ยวได้อย่างลงตัวด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร MINI TwinPower Turbo 192 แรงม้าแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตันเมตรเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.2 วินาที คู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด Steptronic พวงมาลัยแบบ Servotronic ช่วงล่างแบบ Adaptive และโหมดการขับขี่ MINI Driving Modes
ส่วน MINI John Cooper Works Hatch Classic ตื่นเต้นเร้าใจมากยิ่งขึ้นด้วยสีใหม่ในสีเหลือง Zesty Yellow สดใส และการดีไซน์แบบใหม่พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครันยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบปฏิบัติการใหม่และแพ็คเกจอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะเพิ่มความสนุกในการขับขี่สุดเร้าใจตามแบบฉบับของผู้ขับขี่แต่ละคนได้อย่างเต็มพิกัด
ส่วนหน้าของตัวรถสะดุดตาด้วยไฟหน้าทรงกลมแบบ LED พร้อมไฟสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน และช่องระบายความร้อนทรงหกเหลี่ยม เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอุณหภูมิของระบบขับเคลื่อนและระบบเบรกสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตเต็มรูปแบบ
กรอบไฟเลี้ยวด้านหน้าและด้านหลังยังมีดิฟฟิวเซอร์ดีไซน์ใหม่ ที่ช่วยให้อากาศไหลผ่านใต้ท้องรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ไฟหน้าแบบ Adaptive LED ย้งมาพร้อมกับฟังก์ชัน Matrix ส่องสว่างได้ไกลยิ่งขึ้น การตกแต่งภายนอกด้วยสีดำ Piano Black หลังคาและฝาครอบกระจกข้างสีดำและสีขาว รวมถึงล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ลาย John Cooper Works Track Spoke สีดำ พร้อมยางรันแฟลต
สุดยอดความสนุกเร้าใจในการขับขี่และฟังก์ชันการใช้งานแบบสปอร์ต ด้วยหลังคากระจกแบบพาโนรามา พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่น มากไปกว่านั้น พื้นผิวด้านในของตัวรถยังตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black และการบุเบาะนั่งทรงสปอร์ตด้วยหนัง Dinamica สีดำ Carbon Black โดยสามารถปรับระดับความสูงของเบาะนั่งของผู้โดยสารตอนหน้าได้ภายในรถยังได้มีการปรับเปลี่ยนอย่างแผงคอนโซลกับหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว Apple CarPlay และระบบเครื่องเสียง Harman Kardon
ขุมพลัง4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานควบคู่กับระบบเกียร์ Steptronic Sport 8 สปีด ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 246 กม./ชม. โดย MINI Cooper รุ่นพิเศษสองรุ่นมีราคาจำหน่ายพร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard ดังนี้
- MINI Cooper S Clubman Multitone Red ราคาจำหน่าย: 3,199,000 บาท
- MINI John Cooper Works Hatch Classic ราคาจำหน่าย: 3,248,000 บาท