แม้ในบ้านเรา Nissan Motor ประเทศไทย จะเลิกให้ความสนใจในการทำตลาดรถยนต์ซีดานขนาดกลางไปแล้ว แต่ Nissan Sentra หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Sylphy กลับยังคงทำตลาด และได้รับการปรับโฉมโมเดลปี 2024 เพื่อทำตลาดต่อไปในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่
Nissan Sentra 2024 มาพร้อมกับการปรับโฉมเล็ก ที่ช่วยให้มันดูทันสมัยมากขึ้นกว่าตัวรถโฉมก่อนหน้าที่ได้ถูกปรับใหญ่มานานแล้วตั้งแต่ปี 2019 และการปรับโฉมที่ว่า ก็จะเริ่มขึ้นตั้งแต่ภายนอก ที่ถูกแต่งหน้าทาปากใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกันชนหน้า ซึ่งมาพร้อมกับงานออกแบบครึ่งล่างที่ดูเรียบง่ายกว่าเดิม และถูกคั่นกลางด้วยกระจังหน้าแบบ Next-Gen V-Motion Grille, โลโก้ใหม่ของแบรนด์ Nissan, และไฟหน้าใหม่ซึ่งดูละม้ายคล้ายคลึงกับของ Nissan Almera รุ่นปี 2023 ที่พึ่งเปิดตัวในไทยไปเมื่อไม่นานมานี้
ส่วนด้านข้างตัวรถเอง ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายนัก นอกจากลายชุดล้อที่ดูมีลวดลายซับซ้อน โฉบเฉี่ยวกว่าเดิม และด้านท้าย ก็มีการปรับเปลี่ยนเพียงตัวกันชนท้ายแบบใหม่ซึ่งดูมีความสปอร์ตมากขึ้นเท่านั้น
ภายในห้องโดยสาร เราจะพบกับความคุ้นเคยในส่วนของพวงมาลัยแบบ D-Shape 3 ก้าน แบบเดียวกับ Nissan Almera ที่ขายในบ้านเรา แต่จะแตกต่างกันเล็กน้อยที่ตัวตะเข็บได้ ซึ่งจะเดินงานเป็นสีส้ม เช่นเดียวกับชิ้นงานตกแต่งคอนโซลต่างๆที่เป็นงานหนังหุ้ม ทั้งคอนโซลหน้า, เบาะนั่ง, แผงประตู, และแผ่นแปะข้างอุโมงค์คันเกียร์หรือคอนโซลกลาง
นอกนั้นในส่วนของชุดหน้าจอมาตรวัด ยังเป็นแบบลูกผสม กึ่งอนาล็อคในฝั่งวัดรอบเครื่องยนต์และความเร็ว ที่ยังคงเป็นแบบเข็มกวาด ถูกคั่นกลางด้วยหน้าจอ MID แบบ TFT ขนาด 4-5 นิ้ว, ด้านจออินโฟเทนเมนท์ติดตั้งแบบกึ่งลอยตัวขนาด 8 นิ้ว พร้อมรองรับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto โดยที่ด้านล่างจะมีการติดตั้งช่องแอร์แบบปากกลม 3 ตำแหน่ง ซึ่งทาง Nissan ระบุว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก Nissan Z
ปิดท้ายด้วยขุมกำลังของตัวรถ ที่ยังคงเป็นบล็อคเดิม คือ เบนซิน 4 สูบเรียง ไร้ระบบอัดอากาศ ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 151 แรงม้า PS กับแรงบิดสูงสุด 198 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT
แต่ทั้งนี้ทาง Nissan ก็ได้มีการปรับจูนการทำงานของเกียร์ใหม่ เพื่อให้มันมีความนุ่มนวลในการทำงานมากยิ่งขึ้น และยังถูกออกแบบให้ทำงานโดยคำนึงถึงเรื่องความประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเดิม
ส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ณ เวลานี้ ทาง Nissan USA ยังไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขออกมา แต่คาดว่าจะขยับขึ้นอีกนิด จากเดิมที่ในตอนนี้สำหรับตัวรถปี 2023 ที่มีราคาเริ่มต้น 20,050 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 640,000 บาท
