ในประเทศไทย เราอาจไม่คุ้นกับ “รถยนต์สเป็คโล้น” เท่าไหร่นัก แต่ในญี่ปุ่นพวกมันกลับเป็นที่รู้จักในหมู่ขาซิ่งเป็นอย่างดี เพราะรถเหล่านี้ถูกทำขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวตั้งแต่ออกโรงงาน และหนึ่งในนั้นคือ Subaru BRZ “Cup Car” ที่ทุกท่านเห็นกันอยู่ตอนนี้
Subaru BRZ “Cup Car” คือรถสปอร์ตสเป็คโล้น ที่ทาง Subaru ทำขึ้นมาเพื่อให้เหล่าทีมแข่ง หรือใครก็ตาม ที่อยากได้รถสเป็คโล้นๆไว้ไปตกแต่งเองตามความชอบ หรืองบที่ตนเองมี
ซึ่งจุดแตกต่างของมัน เมื่อเทียบกับตัวรถ “สเป็คเริ่มต้น” หรือ “รถสเป็คล่าง” ที่ชาวไทยรู้จัก ก็คือ มันไม่ได้มีแค่เพียงการตัดเอาออพชันซึ่งไม่จำเป็นสำหรับการใช้งานในสนาม เช่นการถอด ชุดจอระบบอินโฟเทนเมนท์ทิ้งไป (แต่ยังให้ลำโพงมาอยู่) หรือใส่ชุดล้อกระทะ แทนล้ออัลลอยด์ (เพราะเดี๋ยวก็ไปใส่ล้อฟอร์จคู่กับยางสลิคในสนามกันเองอยู่ดี) เท่านั้น
แต่มันยังมาพร้อมกับการปรับแต่งและการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆโดยแผนก STi หรือ Subaru Tecnica International มาให้ตั้งแต่ออกโรงงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น การติดตั้งโรลบาร์รอบห้องโดยสาร ซึ่งทำให้แอร์ฝั่งผู้โดยสารไม่สามารถใช้งานได้ (ใช่ครับ รถยังมีแอร์ หรือระบบปรับอากาศมาให้อยู่), เบาะนั่งแบบมาพร้อมกับระบบเข็มขัดนิรภัย 6 จุด, พรมรองเท้าแบบเฉพาะ (แม้ว่าถึงเวลาลงสนามจริงๆยังไงทีมก็ถอดออกอยู่แล้ว), ถอดม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างออก แต่ยังคงมีระบบ Subaru Eye-Sight มาให้ดังเดิม !!
ด้านขุมกำลังยังคงเป็นบล็อค 4 สูบนอน ขนาด 2.4 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ ให้กำลังสูงสุด 235 PS และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ดังเดิม แต่ทาง Subaru ก็ได้มีการปรับแต่งมันเล็กน้อย ด้วยการเปลี่ยนซีลเครื่องยนต์แบบใหม่ และเสริมระบบออยคูลเลอร์เข้าไป เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถรองรับการใช้งานในสนามที่ต้องถูกเค้นรอบหนักๆตลอดเวลาได้ดียิ่งขึ้น
ด้านระบบส่งกำลัง แม้จะเป็นระบบเกียร์ 6 สปีดดังเดิม แต่อัตราทดดูเหมือนจะมีการปรับใหม่เล็กน้อย และตัวเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปเอง ก็ยังมาพร้อมกับเสื้อเฟืองท้ายแบบใหม่ซึ่งมีชุดครีบระบายความร้อนมาให้ด้วย
และราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของตัวรถ Subaru BRZ Cup ในประเทศญี่ปุ่น ก็สนนตัวเลขที่ 3,700,400 เยน หรือราวๆ 885,000 บาท เท่านั้น และตัวรถก็มีเฉดสีให้เลือกทั้งหมด 7 แบบ ได้แก่ WR blue pearl, Sapphire blue pearl, Ice silver metallic, Magnetite gray metallic, Crystal black silica, Ignition Red, และ Crystal White Pearl
โดย 2 สีสุดท้าย เป็นสีที่ต้องเสียเงินเพิ่มค่าสีอีกเล็กน้อย แต่ถ้ามองจากราคารวมก็ถือว่าถูกมากอยู่ดี เมื่อเทียบกับการนำมาวางจำหน่ายในไทย เพราะชาวญี่ปุ่นไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เนื่องจากรถถูกผลิตในบ้านเกิดของพวกเขาอยู่แล้วนั่นเอง