Home » 2024 Toyota C-HR เผยโฉมปรับใหญ่ พร้อมออพชัน AWD + PHEV 223 แรงม้า + EV Mode 66 กม.
รถใหม่ รถใหม่ต่างประเทศ

2024 Toyota C-HR เผยโฉมปรับใหญ่ พร้อมออพชัน AWD + PHEV 223 แรงม้า + EV Mode 66 กม.

เปิดตัวโฉมปรับใหญ่ออกมาสักที กับ 2024 Toyota C-HR ที่ในคราวนี้ได้รับการปรับโฉมครั้งใหญ่ จนเราสามารถเรียกมันได้อย่างเต็มปากว่านี่คือร่าง All-New

ย้อนไปเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2022 ทาง Toyota ได้มีการนำเสนอรถยนต์ต้นแบบคันใหม่ออกมา โดยใช้ชื่อ “C-HR Prologue” ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันคือว่าที่ร่างใหม่ของรถสปอร์ตครอสโอเวอร์ที่ทางค่ายใช้มันทำตลาดไปทั่วโลก

จนกระทั่งล่าสุด ในวันนี้ Toyota C-HR ร่างขายจริง ก็ได้ถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรก โดยหากเทียบงานออกแบบของตัวรถรุ่นใหม่ กับตัวรถรุ่นปัจจุบันที่ยังคงขายในบ้านเรา ก็จะพบว่ามันยังคงใช้เส้นสายที่เน้นความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย ให้หลังคาแบบท้ายลาดกึ่งๆคูเป้ และซุ้มล้อตีโป่งสุดบึกบึนเช่นเดิม

แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาอีก คือเส้นสายดั้งเดิมที่ว่านั้น ได้ถูกเสริมความแหลมคมให้มากขึ้นไปอีกขั้นตั้งแต่หัวจรดท้าย โดยส่วนหนึ่งก็คาดว่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากเหล่ารถยนต์ไฟฟ้าตระกูล bZ-Series เว้นเพียงไฟหน้าและช่องดักลมที่กันชนหน้า ซึ่งดูเหมือนจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Toyota Prius ตัวล่าสุดมากกว่า

และหากเทียบกับตัวรถต้นแบบที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2022 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่วงหน้าตัวรถ จะเห็นได้ว่าแม้จะมีการตัดชิ้นครีบดักอากาศด้านล่างช่องดักลมทิ้งไป แล้วใส่ไฟตัดหมอกดวงเล็กๆเข้ามาทางด้านข้าง แต่กรอบไฟหน้า และกรอบช่องดักลม และครีบดักอากาศทางด้านข้างก็ยังคงมีให้เหมือนเดิม

ส่วนเส้นสายทางด้านข้าง แม้ตัวกล้องมองข้างจะถูกตัดออกไป ให้กลายเป็นกระจกมองข้างแบบก้นยกยึดกับบานประตูตามปกติ แต่เส้นสามเหลี่ยมหลังแนวซุ้มล้อก็ยังคงไม่ได้หายไปไหน และที่น่าสนใจก็คือ ตัวมือเปิดประตูทั้งคู่หน้าและคู่หลัง ก็ยังคงเหมือนกับรถต้นแบบ นั่นคือแบบราบไปกับแนวตัวถัง ต้องกดแล้วงัดออกมา (คล้ายกับของรถยนต์ Tesla) ไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นแบบมือจับปกติทางด้านหน้า และแบบซ้อนไว้ที่แนวกรอบกระจกเหมือน CH-R รุ่นปัจจุบันแต่อย่างใด

ขณะที่ด้านท้ายรถ ทางด้านบนยังคงให้สปอยเลอร์แบบแยกฝั่งซ้าย-ขวา เหมือนกับรถต้นแบบ แต่แนวหลังคา ดูเหมือนจะถูกปรับให้ยื่นมาทางด้านท้ายรถมากขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหลัง (แต่บานกระจกประตูคู่หลังยังดูเป็นช่องเล็กๆอยู่ตามเดิม) และที่เสา C ก็มีการตัดแถบไฟท้ายแนวตั้งทิ้งไป เหลือแต่ไฟท้ายแนวนอน ซึ่งจะยื่นจากแนวท้ายรถคล้ายตูดเป็ดดังเดิม

จุดที่ไม่เหมือนเดิมในส่วนด้านหลังจริงๆ มีเพียงแค่กันชนท้ายเท่านั้น ที่ถูกเปลี่ยนจากแบบเป็นช่องดิฟฟิวเซอร์ไล่ลมยกสูง กลายเป็นแบบมีกรอบครีบไล่ลม คล้ายๆกับกรอบช่องดักลมทางด้านหน้าแทน แต่ในภาพรวมก็ช่วยทำให้ตัวรถดูทันสมัยและหล่อขึ้นมากจริงๆ ตามคอนเซ็ปท์การออกแบบ “Super Coupe”

ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยงานออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจผสมผสานกันระหว่าง Toyota Prius และ Toyota bZ4X และที่สำคัญคือลดความเอนทุกสิ่งอย่างเข้าหาผู้ขับให้น้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชุดหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ตรงกลางที่มีขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Apple CarPlay หรือ Android Auto แบบไร้สายทั้งสองระบบ

และจะติดตั้งแบบกึ่งลอยตัวในระนาบปกติระหว่างผู้ขับและผู้โดยสาร เช่นเดียวกันกับแผงปุ่มควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และแยกส่วน Dual Zone ภายในห้องโดยสาร ที่กลับมาอยู่ในระนาบปกติ และยังมีลูกเล่นไฟแวดล้อม หรือ Ambient Light ให้ปรับได้อีก 64 รูปแบบ แถมยังสามารถเซ็ทให้เฉดสีสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามช่วงเวลาในแต่ละวันแบบอัตโนมัติ หรือเปลี่ยนเฉดสีตามสถานะความปลอดภัย อย่างการเผลอเปิดประตูค้าง ไม่ก็ปิดไม่สนิท หรือ การจับความเคลื่อนไหวของยานพาหนะรอบข้าง ว่าปลอดภัยพอที่ผู้ใช้จะเปิดประตูลงจากรถหรือไม่

นอกนั้นในส่วนหน้าจอมาตรวัดเอง ก็เป็นแบบ Full-Digital ขนาด 12.3 นิ้ว ที่มีความคมชัด และสามารถปรับเซ็ทรูปแบบการแสดงผลได้หลากหลาย

ขณะที่พวงมาลัยเอง ก็เป็นแบบมัลติฟังก์ชัน ซึ่งยกมาจาก Toyota Prius และสามารถใช้สั่งการลูกเล่นต่างๆได้มากมาย รวมถึงระบบ ADAS ที่มีทั้ง ระบบ Acceleration Suppression, ระบบ Proactive Driving Assist (PDA), ระบบ Steering Assist, ระบบ Lane Change Assist พร้อมระบบ Front Cross Traffic Alert, ระบบ Driver Monitor Camera, ระบบ Automatic High-Beam System และระบบ Hands-free driving เป็นต้น ซึ่งระบบต่างๆเหล่านี้ รวมถึงซอฟท์แวร์อื่นๆของตัวรถ จะสามารถอัพเดทได้ผ่านระบบ OTA

ด้านเบาะนั่ง และงานออกแบบชิ้นส่วนอื่นๆเพิ่มเติม ทาง Toyota ยังไม่มีการเผยภาพ หรือรายละเอียดเชิงลึกมากนัก นอกไปเสียจากการระบุว่าในคราวนี้ชิ้นส่วนต่างๆจะถูกสร้างขึ้นจากวัสดุธรรมชาติ และวัสดุรีไซเคิลมากขึ้น เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และจากภาพที่เห็นโดยคร่าวๆ ตัวเบาะรถคู่หน้า ยังคงมาพร้อมกับรูปทรงคล้ายเดิมแบบกึ่งๆ Bucket Seat และอีกสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือทางค่ายยังให้หลังคา Panoramic Sunroof มาด้วย

2024 Toyota C-HR มาพร้อมกับขนาดตัวรถ 4,360 มิลลิเมตร ในด้านยาว, 1,830 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง, และ 1,558-1,564 มิลลิเมตร ในด้านสูง แล้วแต่รุ่นย่อย กับระยะฐานล้ออีก 2,640 มิลลิเมตร

ซึ่งหากเทียบกับตัวรถโฉมก่อนหน้าแล้ว ก็จะเท่ากับว่ามิติตัวรถด้านยาว กับระยะฐานล้อของมันยังคงเท่าเดิม ส่วนด้านสูงเองก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นัก แต่ด้านกว้างนั้นมากขึ้นกว่าเดิมถึง 35 มิลลิเมตร

ขุมกำลังของ C-HR ใหม่ ที่วางจำหน่ายในทวีปุโรป จะมีตัวเลือกให้ลูกค้าได้ตัดสินใจกัน 3 แบบ เริ่มจาก เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 140 HP ส่งกำลังไปยังชุดล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ CVTเท่านั้น พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 9.9 วินาที พร้อมเคลมความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ตามด้วย รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบไฮบริด ได้กำลังสูงสุดรวมกันที่ 198 HP ส่งกำลังไปยังชุดล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT เท่านั้น สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรได้ภายใน 8.1 วินาที และขยับความเร็วสูงสุดขึ้นเป็น 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง

สุดท้ายคือ รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อินไฮบริด หรือ PHEV ได้กำลังสูงสุดรวมกันที่ 223 HP ส่งกำลังไปยังชุดล้อทั้งสี่ แบบ AWD-i ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ e-CVT สามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรได้ภายใน 7.9 วินาที มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง และแน่นอนว่ามันสามารถวิ่งในโหมดพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ ด้วยระยะทางสูงสุด 66 กิโลเมตร

ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ 2024 Toyota C-HR หรือ All-New Toyota C-HR ทาง Toyota Europe ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขออกมา แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนับจากนี้เมื่อถึงกำหนดวางขายจริง

ส่วนการเปิดตัวในไทยเอง ก็คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไม่เกินปลายปีนี้ หากทาง Toyota Motor ประเทศไทย มองว่าตัวรถรุ่นนี้ยังคงมีตลาดให้ไปต่อได้อยู่ในบ้านเรา

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.