Bugatti Centodieci สุดยอดไฮเปอร์คาร์บ้าพลังที่มาพร้อมเครื่องเบนซินเทอร์โบ W16 ขนาด 8.0 ลิตร 1,600 แรงม้า ทะยานเร็วสุด 380 กม./ชม. จำกัดเพียง 10 คันเท่านั้น
หนึ่งในสุดยอดแบรนด์รถไฮเปอร์คาร์ที่หากเอ่ยชื่อมาปุ๊บก็จะรู้ทันทีว่า บูกาติ สัญชาติแดนน้ำหอมนั้นมีของดีมาเซอร์ไพรซ์บรรดาแฟนๆ อยู่เสมอ โดยล่าสุด Bugatti Centodieci ยอดรถยนต์แสนพิเศษอันมีการผลิตขึ้นเพียง 10 คัน ได้เผยโฉมพร้อมสเป็คอันน่าสะพรึงให้ชาวโลกได้ยกนิ้วให้
ความเด็ดดวงของไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดจากแดนฝรั่งเศสเช่น Centodieci มาจากหัวใจหลักในการพารถให้แล่นจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาแค่ 2.4 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 380 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากถูกตอนที่กล่อง ECU ไม่ให้แผลงฤทธิ์ไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 8.0 ลิตร แบบ W16 ให้กำลังสูงสุด 1,600 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที สามารถปล่อยพลังพาให้รถทะยานสู่ความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียงเวลา 13.1 วินาที
Stephan Winkelmann บอสใหญ่ของบูกาติเล่าอย่างภูมิใจว่าเจ้า Centodieci ได้เข้าคอร์สลดน้ำหนักจนเบากว่า Chiron ถึง 20 กิโลกรัม นั่นหมายความว่าอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักของรถคันนี้อยู่ที่ 1.13 กิโลกรัมต่อม้าหนึ่งตัว ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อช่วยให้รถพุ่งไปแบบรวดเร็วปราศจากอะไรมาขัด ทางวิศวกรจึงออกแบบใบปัดน้ำฝนชนิดพิเศษที่ทำขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์
เอาล่ะฟังโม้เรื่องความแรงไปกันเยอะพอสมควร ก็เข้าสู่ประเด็นอื่นๆ กันบ้าง โดยชื่อ Centodieci มาจากภาษาอิตาลีที่แปลว่า ตัวเลข 110 ซึ่งมีที่มาจากรถแข่ง Bugatti EB110 ที่ถูกสร้างขึ้นช่วงยุค 1990
สำหรับความหล่อเหลานั้นด้านหน้ามีการออกแบบให้กระจังหน้ามีช่องรับอากาศ 4 ช่อง กับกันชนทรงแหวกแนวไม่คุ้นตา ด้านไฟหน้าแอลอีดีมีขนาดเล็กบางเฉียบจัดวางอยู่บนฝากระโปรง ส่วนด้านข้างจะพบกับล้อขนาดใหญ่ทรง 7 ก้าน รัดด้วยบาง Michelin Pilot Sport Cup 2
เดินวนมาดูด้านหลังพบกับไฟท้ายแอลอีดีที่ลอยออกมาแบ 3D ทอดตัวยาวตามความกว้างของรถ พร้อมกับกันชนหลังที่มีดิฟฟิวเซอร์กับท่อไอเสียแบบ 2+2 รวมถึงสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลผสมกันออกมาช่วยให้ภาพรวมของ Centodieci สะดุดตาไม่ซ้ำใคร
ท้ายที่สุดใครมีเงินถุงเงินถังมากพอที่จะซื้อรถคันนี้ได้ ขอบอกว่าคุณมีต้องไปแย่งชิงกับบรรดาเศรษฐีทั่วโลก เพราะมันจะถูกผลิตขึ้นด้วยน้ำมือของชาวฝรั่งเศสจากโรงงานในเมือง Molsheim และวันส่งมอบถึงลูกค้าต้องรอไปจนถึงปี 2021 กันเลยทีเดียว
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com