Lotus Evija ไฮเปอร์คาร์พลังไฟฟ้าคันใหม่จากค่ายดอกบัวเผยสเป็คต่างๆ แล้ว เบื้องต้นมีแรงม้าเกือบ 2,000 ตัว พร้อมกับรูปลักษณ์สุดเท่ และจะมีจำนวนจำกัดเพียง 130 คัน
คนที่ชอบเล่นรถสปอร์ตยี่ห้อแปลกๆ คงคุ้นเคยกับแบรนด์ Lotus ที่สร้างรถรูปร่างหน้าตาล้ำสมัย หรือไม่บางคนก็ว่ามันแปลก แต่ช่วงที่ผ่านมาความเคลื่อนไหวของรถดอกบัวนั้นเงียบเชียบ จนกระทั่งสดๆ ร้อนๆ เพิ่งเปิดตัว Lotus Evija ไฮเปอร์ไฟฟ้าคันแรกของค่าย ซึ่งการเผยโฉมครั้งนี้มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้มันน่าสนใจไม่แพ้รถยี่ห้ออื่นในระดับเดียวกัน
แรกเห็นรูปร่างภายนอกของ Evija ก็อุทานว่า สวยว่ะ!! แม้ว่าบรรดาไฮเปอร์คาร์ส่วนใหญ่จะมีรูปทรงทันสมัยปราดเปรียวในแนวเดียวกัน แต่กับเจ้านี่มันดูมีเสน่ห์ต่างออกไป บางมุมมันดูคล้าย Ferrari ไม่ก็ Mclaren รวมเข้ากับ Lamborghini ราวกับว่าทีมวิศวกรเอาข้อดีของบรรดาคู่แข่งมาปรับใช้กับ Evija
เรื่องความงามเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล มาดูหัวใจในการขับร่างกายสุดปราดเปรียวกันดีกว่า ด้วยความที่เกิดมาเป็นไฮเปอร์คาร์จึงต้องมีความแรงตามสเป็คโรงงานอยู่ที่ 1,973 แรงม้า (HP) ถูกปั่นโดยมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ต่ำกว่า 3 วินาที
ยิ่งไปกว่านั้น ทางผู้ผลิตยังอวดสรรพคุณอีกว่า รถคันนี้เร่งจาก 100-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 3 วินาที และทะยานสู่เลขระดับ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยเวลาอีก 3 วินาที พูดง่ายๆ คือ 0-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงต่ำกว่า 10 วินาที และความเร็วสูงสุดนั้นยังไม่มีประกาศตอนนี้ ทว่าเกินสามร้อยแน่นอน
นอกเหนือไปจากความแรงสุดบ้าพลังแล้ว เจ้าไฮเปอร์ใส่ถ่านจากอังกฤษยังมีโครงสร้าง Monocoque chassis ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเดียว กับบรรดาวัสดุคอมโพสิทอื่นๆ จนช่วยให้รถมีน้ำหนักรวมเพียง 1,680 กิโลกรัมเท่านั้น
ประเด็นแบตเตอรีให้มาแบบลิเธียมไอออน ขนาด 2,000 กิโลวัตต์ ที่วางอยู่กลางลำตัวรถ ส่งให้เจ้ารถแรงคันนี้แล่นได้ระยะทางไกลสุด 400 กิโลเมตร แต่ทีเด็ดจริงคือการชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตฯ สุดเร็วจี๋เพียง 9 นาที ผ่านเครื่องชาร์จไฟฟ้าความแรง 800 กิโลวัตต์ หรือชาร์จผ่านหัวขนาด 350 กิโลวัตต์ จะใช้เวลาราว 12 นาที เปอร์เซนต์แบตเตอรีจะขึ้นมาอยู่ที่ 80%
ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐานนั้น Evija ก็ไม่ทำให้ลูกค้าผิดหวัง เพราะติดตั้งระบบไฟหน้าเลเซอร์ กระจกมองข้างกับกระจกมองหลังถูกถอดออกไปแล้วแทนที่ด้วยกล้องกับจอแสดงผล ขณะเดียวกัน มือจับเปิดปิดประตูจะมีกลไกยกและเก็บตัวเพื่อทำให้รถดูเรียบลื่นไม่มีส่วนใดยื่นระหว่างขับขี่ แล้วห้องห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยหนังอัลคันทารา มอบระบบสาระบันเทิงที่เชื่อมต่อ Apple CarPlay กับ Android Auto รวมถึงเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกส่วน
สำหรับใครที่สนใจไฮเปอร์คาร์ค่ายดอกบัว ขอบอกว่ามีจำนวนจำกัดเพียง 130 คันเท่านั้น และราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการก็ยังไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด แต่ก็มีการคาดเดาว่าจะอยู่ในช่วง 1.8-2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 55-77 ล้านบาท) ไม่รวมภาษีนำเข้า
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com
[ngg src=”galleries” ids=”1197″ display=”basic_thumbnail”]