Home » Rolls-Royce Spectre Black Badge สปอร์ตไฟฟ้า “แรงสุด” จากแบรนด์หรูเท่าที่เคยมีมา
รถใหม่ รถใหม่ต่างประเทศ

Rolls-Royce Spectre Black Badge สปอร์ตไฟฟ้า “แรงสุด” จากแบรนด์หรูเท่าที่เคยมีมา

Rolls-Royce คือแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผู้คนทั่วโลก ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์สุดหรู แต่สำหรับเจ้า Spectre Black Badge คันนี้ กลับมีเรื่องราวของ “ความแรง” มาเป็นจุดขายให้กับตัวมันเองด้วย

ดังที่ระบุไว้ข้างต้น Rolls-Royce Spectre Black Badge มาพร้อมกับจุดขายที่แตกต่างจาก Spectre รุ่นพื้นฐานหลักๆในเรื่องของความแรง แต่ก่อนหน้านั้น งานออกแบบภายนอกของมัน ก็จะมีการใส่ความพิเศษเฉพาะตัวเข้าไปด้วย เพื่อความเป็นเอกลักษณ์ของตัวรถในทันทีที่พบเห็น

เริ่มจาก การให้เทพีหน้ารถอย่าง Spirit of Ecstasy, กรอบกระจังหน้า, กรอบกระจกข้าง, และมือเปิดประตู ที่ถูกทำสีดำเงาทั้งหมด, การติดตั้งชุดล้ออลูมินัมฟอร์จ ลายพิเศษขนาด 23 นิ้ว ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะให้เป็นสีดำล้วน หรือสีทูโทน

นอกจากนี้ หากคุณลองสังเกตให้ดี ก็จะพบว่า ในกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวรถ จะมีการติดตั้งดวงไฟนีออนเอาไว้ด้านใน ซึ่งสามารถเลือกเฉดสีที่เรืองออกมาได้หลายเฉด ทั้ง Chartreuse, Charles Blue, Forge Yellow, Turchese, กับ Tailored Purple โดยที่สีหลักของตัวถังภายนอก ก็จะเป็นสี Vapour Violet ที่แน่นอนว่าหากลูกค้าไม่ชอบใจ ก็ยังสามารถสั่งเปลี่ยนในภายหลังได้อยู่

ภายในห้องโดยสาร ก็จะดุดันด้วยการติดตั้งเพลทโลโก้ Black Badge บนพรม ซึ่งเจ้าเพลทที่ว่านี้ ก็จะมีการใส่แถบไฟเรืองแสงเอาไว้ด้านล่าง เช่นเดียวกับปุ่มสั่งการลูกเล่นต่างๆรอบห้องโดยสาร ที่สามารถเรืองแสงเป็นเฉดสี yan Fire, Neon Nights, Synth Wave, Vivid Grellow, หรือ Ultraviolet แบบใดก็ได้ตามความต้องการของผู้ใช้

ไม่พอ มันยังมาพร้อมกับโลโก้เรืองแสง, แผงคอนโซลตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอน ผสมกับไม้ Bolivar, และผ้าลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ซึ่งเป็นการเดินลายจากด้ายซึ่งทำขึ้นจากวัสดุคาร์บอนและโลหะอีกด้วย

จากความดุดันทั้งหมดที่ถูกใส่เข้าไป นั่นก็เพื่อให้มันเข้ากับหัวใจ หรือจุดขายสำคัญของตัวรถ นั่นคือ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อแบ่งกันขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้าและชุดล้อคู่หลัง ซึ่งถูกปรับปรุงมาใหม่ ให้สามารถทำพละกำลังรวมกันได้มากถึง 659 PS และมีแรงบิดสูงสุดอีก 1,075 นิวตันเมตร จากที่เคยทำได้ 584 PS กับแรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ในรุ่นปกติ

ถึงกระนั้น ด้วยความเป็นรถยนต์แบรนด์หรู จึงไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะสามารถใช้พลังเต็มพิกัดของตัวรถได้ตลอดเวลา เพราะลูกค้าจะต้องใช้งานรถด้วยโหมดการขับขี่ “Infinity Mode” ก่อนเท่านั้น เพื่อเป็นการบ่งบอกตัวรถให้เตรียมพร้อมสำหรับการหวดคันเร่งอย่างเต็มกำลัง

นอกจาี้ ในกรณีที่ลูกค้าอยากจะใช้แรงบิดหลักเกิน 1,000 นิวตันเมตร อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ลูกค้ายังต้องขับมันได้โหมดการขับขี่ Spirited Mode เพื่อเปิดระบบ Launch Control สำหรับการออกตัวจากหยุดนิ่งด้วยอัตราเร่งสูงสุด ซึ่งมีตัวเลขที่ 4.1 วินาที สำหรับการทำความเร็ว จาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ด้านแบตเตอรี่ที่ให้มา ทางค่ายยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใดๆในส่วนนี้ไว้ แต่หากอิงจากข้อมูลของตัวรถรุ่นพื้นฐานที่ได้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 102 kWh เจ้ารถรุ่นนี้ ก็คงสามารถวิ่งด้วยระยะทางไกลสุดต่อชาร์จได้ไม่เกิน 446 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

และด้วยความแรงที่เพิ่มขึ้น ทางวิศวกรของ Roll-Royce จึงได้มีการปรับเพิ่มน้ำหนักพวงมาลัยให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความนิ่งให้กับตัวรถ, ปรุงปรุงระบบช่วงล่างใหม่, และปรับปรุงเรื่องอาการโคลงตัวของรถให้น้อยลง โดยที่ทั้งหมดนั้นจะยังต้องให้ความรู้สึกเหมือน “พรมวิเศษ” ตามฉบับรถยนต์จากแบรนด์ดังเดิม

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.