หลังเปิดตัวในบ้านเกิดไปเพียงไม่นาน ในที่สุด 2024 Tesla Model 3 “Project Highland” ก็พร้อมให้ชาวไทยได้จับจองกันแล้ว ด้วยราคาเริ่มต้น 1.599 ล้านบาท
2024 Tesla Model 3 มาพร้อมกับเปลือกนอกใหม่ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้ตัวรถดูมีความเฉียบคม เพรียวบาง ขึ้นกว่าเดิม เริ่มจากชุดไฟหน้าแบบใหม่ พร้อมแถบไฟ DRL ภายในกรอบโคมที่บางลง และมีการวางแนวคล้ายกับพี่ใหญ่ Model S
พร้อมกันนี้ยังปรับกันชนหน้าใหม่ ให้ดูยื่นยาวออกมาทางด้านหน้ารถมากขึ้นอีกเล็กน้อย และเหลือไว้เพียงช่องดักอากาศขนาดเล็กทางด้านล่าง ทำให้ตัวรถดูปราดเปรียวสะอาดตาขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยลดเสียงลมปะทะให้น้อยลงอีกด้วย
สัดส่วนตัวรถทางด้านข้างยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆมากนัก นอกไปเสียจากชุดล้อพร้อมฝาครอบแบบใหม่ แต่ด้านท้ายก็มีการปรับรายละเอียดเล็กน้อย ด้วยไฟท้ายแบบใหม่ ที่แม้จะยังคงมาพร้อมกับเส้นแถบตัว C ที่คล้ายเดิม แต่ก็มีการตัดเส้นตวัดลงด้านในออกไป เหลือเพียงเส้นตรงเท่านั้น และยังตัดเอาพื้นที่ดวงไฟที่อยู่ในแนวฝาท้ายออก เพื่อให้โคมไฟดูเล็กลง แม้ว่าที่จริงมันจะยังมีขนาดเกือบเท่าเดิมก็ตาม
ตามด้วยการเปลี่ยนชุดกันชนท้ายใหม่ที่ถูกปรับงานออกแบบให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น ปิดท้ายด้วยการเปลี่ยนเอาโลโก้แบรนด์ที่ฝาท้ายออกไป แล้วแทนด้วยตัวอักษรชื่อแบรนด์ แบบคาดยาวตามแนวฝาท้าย และเพิ่มออพชันสีใหม่ คือ สี Ultra Red กับ Stealth Gray เข้ามา
สัดส่วนตัวรถ Model 3 รุ่นใหม่ มีมิติความยาวที่มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เป็น 4,720 มิลลิเมตร และเตี้ยลงอีกนิดหน่อย เหลือ 1,441 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับความสูงใต้ท้องรถที่ต่ำลงนิดเดียว จาก 140 มิลลิเมตร เหลือ 138 มิลลิเมตร โดยที่ความกว้างของตัวรถ 1,933 มิลลิเมตร กับระยะฐานล้อ 2,875 มิลลิเมตร แน่นอนว่ายังคงเท่าเดิม
ด้านระบบช่วงล่างเอง ก็ถูกปรับปรุงใหม่ด้วยเช่นกัน ตั้งแต่สปริงใหม่ การเซทระบบโช้คอัพใหม่ และเปลี่ยนตำแหน่งจุดยึดซับเฟรมใหม่เล็กน้อย เพื่อให้ระบบกันสะเทือนสามารถทำงานได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น แม้กระทั่งชุดยางจาก Michelin เองก็ยังถูกปรับปรุงใหม่ให้มีแก้มยางที่นุ่มขึ้น เพื่อการซับแรงและเสียงจากผิวถนนที่ดีกว่าเดิม
ด้านรายละเอียดทางเทคนิคเกี่ยวกับตัวเลขพละกำลัง ทางค่ายยังคงปิดไว้ตามเคย แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีการเปิดเผยตัวเลขสมรรถนะของแบตเตอรี่ที่ถูกปรับปรุงใหม่
โดยสำหรับตัวรถที่วางจำหนายในประเทศไทย จะเริ่มจาก รุ่นมอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมชุดล้อขนาด 18 นิ้ว ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบมาตรฐาน รองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 513 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP
พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.1 วินาที และจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 201 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และหากเป็นรุ่น Long Range ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 629 กิโลเมตร/ชาร์จ และสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ดีขึ้นเป็น 4.4 วินาที เนื่องจากในคราวนี้ มันได้รับการอัพเกรดระบบมอเตอร์เป็นแบบมอเตอร์คู่แล้ว
แต่ความเร็วสูงสุด ยังคงถูกจำกัดไว้เท่าเดิม ที่ 201 กิโลเมตร/ชั่วโมง และยังคงมาพร้อมกับล้อขนาด 18 นิ้วเป็นออพชันติดรถ โดยที่ลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปเลือกออพชันล้อ 19 นิ้ว ตอนสั่งซื้อได้
งานตกแต่งภายในเอง ก็มีการปรับปรุงใหม่เช่นกัน ทั้งการเปลี่ยนงานออกแบบแผงประตูด้านข้างใหม่, เพิ่มแถบไฟ Ambient Light, จอกลางใหม่ ขนาด 15.4 นิ้ว เท่าเดิม แต่ถูกปรับให้บางลง, ถอดก้านเปิด/ปิดไฟเลี้ยว กับคุมระบบ Cruise Control ออก ให้ใช้วิธีสั่งการด้วยปุ่มบนพวงมาลัยแทน, เปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะนั่งใหม่
เพิ่มจอแสดงผลสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 8 นิ้ว สามารถตั้งค่าระบบปรับอากาศ และระบบความบันเทิงได้ และเพิ่มความสุนทรีย์ในการสนทนาภายในห้องโดยสาร กระจกบานหน้าได้ถูกเปลี่ยนเป็นกระจกลดเสียง หรือ Acoustic Glass เป็นที่เรียบร้อย รวมถึงยังมีการเพิ่มลำโพงเป็น 17 จุด (เดิม 14 จุด) โดยมีซับวูฟเวอร์ 2 ตำแหน่ง และแอมป์อีก 2 ตัวช่วยคุมโทนเสียง สำหรับรุ่น Long Range ส่วนรุ่น Standard Range จะได้ลำโพง 9 จุด ซับวูฟเฟอร์ 1 ตำแหน่ง, และแอมป์คุมเสียงอีก 1 ตัว
นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงไมค์ภายในใรถใหม่อีก เพื่อการติดต่อสื่อสารที่ดียิ่งขึ้น
ด้านราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แม้ในตอนแรกหลายฝ่ายจะคาดว่าทาง Tesla อาจมีการปรับตัวเลขให้สูงขึ้น แต่สำหรับประเทศไทย พวกเขากลับมีการระบุตัวเลขสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไว้ที่
- Tesla Model 3 STD : 1,599,000 บาท
- Tesla Model 3 Long Range : 1,899,000 บาท
โดยราคานี้ ยังไม่รวมออพชันสีตัวถัง (บวกเพิ่มตั้งแต่ 50,000 – 85,000 บาท), ชุดล้อขอบ 19 นิ้ว (เฉพาะรุ่น Long Range และบวกราคาเพิ่ม 50,000 บาท), สีภายใน ขาว-ดำ (บวกเพิ่ม 50,000 บาท), ระบบ Autopilot แบบยกระดับ (บวกเพิ่ม 122,000 บาท), และ ระบบ Full Self Driving (บวกเพิ่ม 244,000 บาท)