นับตั้งแต่ปลายปี 2023 ที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าตลาดรถกระบะของประเทศไทย มีความร้อนแรง ทุกค่ายล้วนพากันปรับโฉม หรือปรับเปลี่ยนสเป็ครถของตนเองกันยกแผง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยเท่าไหร่นัก
การปรับเปลี่ยนในปีนี้ ส่วนหนึ่ง ก็มาจาก นโยบายหลัก การบังคับใช้ระเบียบมาตรฐานไอเสีย ยูโร 5 ที่เพิ่งเริมเมื่อ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ผลักดันให้ รถกระบะ หรือ รถใดๆ ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล ต้องผ่าน มาตรฐาน ไอเสียดังกล่าว ดันให้ผู้ผลิต ต้องแก้ไขเพิ่มเติมชิ้นส่วน ที่เรียกว่า DPF ในรถของพวกเขา และ ไหนๆ จะเติมชิ้นส่วนแล้ว หลายค่าย ก็ถือโอกาส ปรับออพชั่นไปด้วยเลยในตัวทีเดียว
Toyota Hilux Revo
เจ้าตลาดรายแรก “โตโยต้า” แม้จะไม่ได้ปรับเป็นรายแรก แต่ก็รีบตามมาอย่างไว ยังคงใช้ตัวรถ Hilux Revo พื้นฐานเดิมกับปีก่อนๆ แต่มีการประเดิมปรับเปลี่ยนรายละเอียดภายนอกและภายในตัวรถใหม่ ให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น และเน้นความสปอร์ตมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในรุ่น Z-Edition และ Hilux Revo-D แต่หน้าทางปาก ปรับออั่นใหม่ หลายรายการ โดยเฉพาะ จอเครื่องเสียงใหม่ล่าสุด
แต่ไฮไลท์ จริงๆ ในรุ่นปีนี้ คือการปรับ Hilux Revo GR Sport รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จากเดิมที่เคยเป็นเพียงรถกระบะ Hilux Revo 4×4 ที่ถูกตกแต่งแบบลูกครึ่งกึ่งลุยกึ่งสปอร์ต
ให้กลายเป็น Hilux Revo GR Sport Wide Tread ที่ถูกปรับแต่งจนกลายเป็นกระบะพร้อมลุยเต็มขั้นที่สุดเท่าที่่จะทำได้จากโรงงาน ทั้งการขยายฐานล้อให้กว้างขึ้น พร้อมดึงโป่งซุ้มล้อรับกับแนวล้อ, ปรับงานออกแบบกันชนหน้าใหม่ ให้เปิดมุมปะทะได้ชันกว่าเดิม, ยกสูงตัวถัง, ปรับเซ็ทช่วงล่างใหม่, และปรับจูนเครื่องยนต์ใหม่ จนสามารถทำกำลังได้สูงสุด 224 PS และแรงบิดสูงสุดอีก 550 นิวตันเมตร
แม้ตัวรถจะโดนครหาจากโลกโซเชียลว่า “กั๊กของ” เมื่อดูจากรายการโบรชัวร์เพียงอย่างเดียวไปบ้าง แต่คนซื้อก็ไม่บ่น เพราะรถสามารถทำยอดขายเกินกว่าที่ Toyota คาดหวังเอาไว้ถึงเท่าตัว ภายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จนสั่งวันนี้รับรถอีกทีปีหน้า
ถือว่า ทำได้ดีไม่เบา กับรุ่นพิเศษ คันนี้
Isuzu D-Max
ทางด้าน ขวัญใจสายกระบะ อีกรายอย่าง Isuzu D-Max เปิดตัว เป็นค่ายแรก ตั้งแต่ปี 2023 พร้อม การส่งรุ่น ไมเนอร์เชนจ์ ปรับหน้าตา ออกทำตลาด เด่นด้วยงานออกแบบ ลดคมเขี้ยวต่างแล้ว ทำให้มันดูสปอร์ตมากขึ้นในทุกรุ่นย่อย โดยเฉพาะที่ได้รับคำชม คือ ตัว V Cross ที่ถูกปรับให้ดูลงตัวมากกว่ารุ่นเดิมหลายขุม
ไม่เพียงเท่านี้ ทางอีซูซุ ยังปรับปรุงงานออกแบบภายในห้องโดยสาร ระบบเครื่องเสียงใหม่ รองรับ เชื่อมต่อแบบ ไร้สายเรียบร้อย หน้าจอเรือนไมล์ ก็เข้ายุคสมัย เป็น TFT 7 นิ้ว กับเขาแล้ว
แม้ว่าเครื่องยนต์ จะยังไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนเดิมทุกอย่า งจงทุกประการ ทั้ง 1.9 และ 3.0 แต่ ส่วนที่เรียกความน่าสนใจ คือการอัพเดท ระบบ Isuzu Magaic Eyes ปรับปรุง อุปกรณ์ตัวกล้องให้ทำงานดีขึ้น รวมถึง ซอร์ฟแวร์ด้วย
และยังแนะนำ ระบบขับเคลือนสี่ล้อที่มาพร้อมฟังชั่นใหม่ล่าสุด ที่เรียกว่า Rough Terrain ช่วยทำงานผสาน ระหว่าง เครื่องยนต์เกียร์ และ ระบบควบคุมการทรงตัวให้ ตอบสนองในทางลุยดีขึ้น
แม้ว่า อีซูซุ จะยัดข้าวของต่างๆไปไว้ ในรุ่นบนๆ มากกว่ารุ่นร่างๆ ตามสไตล์ แต่ ก็นับเป็นการปรับครั้งใหญ่ที่ทำออกมาได้ อย่างน่าสนใจ พอสมควร
Ford Ranger
ทางด้าน กระบะ เบอร์ 3 ตลาดไทย “ฟอร์ด” ปีนี้ ก็ปรับตามนโยบาย ไอเสียยูโร 5 เช่นกัน แต่ฟอร์ด เลือกที่ จะเน้นความนิ่งเตะ ในรุ่นเดิมๆ แล้วส่งฮีดร่คันใหม่ มาสร้างกระแส กับFord Ranger V6
ถ้าย้อนไป ตั้งแต่ Next Gen เปิดตัว มันมีเครื่องยนต์ดีเซล V6 วางจำหน่ายอยู่แล้วในบรรดาตลาดส่งออก ได้รับความนิยมมากในออสเตรเลีย เดิมทีฟอร์ดเคยคิดว่าจะไม่นำเครื่องรุ่นนี้มาขาย ทว่ากระแสเครื่องใหญ่ที่เริ่มกลับมาเป้นที่ต้องการ คนเบื่อเครื่องเล็ก ขับไม่มันส์ ไม่สนุก ประกอบกับ เครื่องตัวนี้ต้องการน้ำมันยูดร 5 ก็ช่างประจวบเหมาะพอดี
ตัวรถ Next Gen Ranger V6 คันนี้ วางจำหน่ายในรุ่น Wild Trak โดยปรับภายนอกด้ยล้อ 20 นิ้ว ลายเดียวกับ Everest Wildtrak และยังได้รับการปรับเซ็ทช่วงล่างใหม่ เปลี่ยนปีกนกใหม่เป็นวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ปรับปรุงแท่นเครื่องใหม่ ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อการควบคุมตัวรถที่ดีขึ้นและลงตัวกว่าเดิม รวมถึงใส่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-time 4A พร้อมระบบ Active Centre Differential
แต่ไฮไลท์ คือ ขุมกำลังดีเซล V6 เทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 250 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าเป็นกระบะดีเซลตัวแรงที่สุดเท่าที่ในไทยเคยมีมา และราคาก็แอบแรงสุดด้วยเช่นกัน กับตัวเลข 1,529,000 บาท แอบเพิ่มขึ้น เมื่อเดือน สิงหาคมที่ผ่านมา
ทำให้ฟอร์ด ขึ้นแท่นเครื่องยนต์ ดีเซลในระดับ Mass Market ที่แรงที่สุดในวันนี้
Mitsubishi Triton
แท้จริงแล้ว จะบอกว่าเป็นการปรับโฉมในปี 2024 ก็คงไม่ใช่ เพราะโดยหลักกระบะรุ่นนี้ก็ได้ถูกปรับโฉมใหญ่ไปแล้วตั้งแต่เมื่อกลางปี 2023 แต่ในปีนี้ ทางค่ายได้มีการเปิดตัวพร้อมการประกาศราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของรุ่นท็อป Triton Athlete ออกมา
จุดขายสำคัญของมันในคราวนี้ ก็ไม่ได้มีแค่เพียงการแต่งหน้าทาปากเสริมหล่อจากตัวปกติ อย่างที่ทุกคนเคยเห็นกันตั้งแต่ตอนเปิดตัวเมื่อกลางปี 2023 แต่มันยังเป็นตัวรถรุ่นย่อยเดียวของ Mitsubishi ในไทย ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4N16 ที่แตกต่างจากรุ่นธรรมดา เพราะเป็นบล็อคเครื่องยนต์ Hyper Power X2 ที่ได้รับการติดตั้งเทอร์โบคู่แบบ 2-Stage เข้ามา เพื่อให้มันสามารถเรียกกำลังได้ในช่วงกว้างขึ้น และมากขึ้น จนสามารถทำกำลังได้สูงสุด 204 แรงม้า PS และมีแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้น เป็น 470 นิวตันเมตร
และแม้ตัวระบบกันสะเทือนจะไม่ได้รับการปรับเปลี่ยนใดๆ แต่ทาง Mitsubishi ก็ได้มีการใส่ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าเข้ามาให้ด้วย จึงทำให้มันกลายเป็นรถกระบะรุ่นที่ 2 ของไทย ที่มีฟังก์ชันนี้ต่อจาก Ford Ranger ที่ให้มาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว
Nissan Navara
ทางด้าน นิสสัน แม้ว่า จะปรับตัว ช้าสุดในกลุ่มเพื่อน แถมบางคน ยังบอกว่าปรับน้อย …แต่ก็ต้องบอกว่าปรับนะ กับ Nissan Navara 2024 ที่เผยออกมาล่าสุด
ทำไม นิสสัน ปรับช้า ก็อาจจะด้วยการปิดปีงบประมาณ ในช่วงไตรมาส 2 ทำให้ กว่าจะพร้อมก็เลย อยู่ในช่วงไตรมาส 3 นั่นเอง
เมื่อพูดถึงภายนอกตัวรถ อาจไม่ปรับมาก ให้ เสาอากาศ คลีบฉลามมาดูต่างหน้า
แต่นิสสัน ไปเน้นหนักในเรื่องภายในห้องโดยสาร ที่สมควรจะดูดีขึ้น ด้วย คอนโซล หยิบมาจากเทอร์ร่า ให้่ความรู้สึก ดูทรงลุย และ สปอร์ตมากขึ้น ยังได้ เครื่องเสียงใหม่ รวมถึง ฟังชั่นใหม่ๆ อย่าง Car Play ไร้สาย เรียกว่ าอาจไม่ใช่รายการข้าวของจำนวนมาก แต่ก็ถือว่า เพียงพอ ต่อการเรียกกระแสแล้ว
ด้านเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ 190 ม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร พูดกันเปิดอกก็พอเพียงต่อการใช้งาน แถม ยังซื้อได้ทุกรุ่นย่อย เกียร์ออโต้ ไม่มาหมกเม็ด อยู่รุ่นบนๆ ใครอยากได้ พลังขับแบบนี้ รุ่นไหน เกียร์ออโต้ 7 สปีด คุณได้ทันทีพลังขับเร้าใจ
ทำให้ นิสสัน นาวา ร่า กลายเป็น กระบะเทอร์โบคู่ที่จับต้องง่ายที่สุด ในตลาดวันนี้
Mazda BT-50
กระบะรุ่นสุดท้ายในลิสต์ที่แม้หลายคนจะลืมไปเพราะช่วงนี้เห็นทาง Mazda เงียบๆ แต่ในความเป็นจริง มันคือรถกระบะคันแรกๆของปี 2024 ที่ถูกปรับโฉมเล็กก่อนใครเพื่อน แถมยังเป็นการปรับโฉมที่น่าสนใจ
แรกสุด ก็คือเรื่องของขุมกำลัง ที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องซื้อรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อให้ได้ขุมกำลังดีเซลเทอร์โบขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 190 PS ที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร อีกต่อไป เพราะคราวนี้คุณสามารถเลือกซื้อรุ่นขับสองยกสูง หรือ Hi-Racer ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์รุ่นดังกล่าวได้แล้ว หลังจากที่ถูกเรียกร้องโดยลูกค้าที่อยากได้รถกระบะแรงๆแต่ไม่ได้อยากจะเอาไปลุยกันมานาน
แถม เกือบทั้งไลน์อัพ มาสด้า ยังปรับ เป็น 3.0 ลิตร เรียกว่า อย่ามาแหยม กับ BT 50 ใหม่ เจอ เครื่อง 3.0 ลิตร ฟาดเข้าให้ไม่รู้ตัว
อีกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและน่าสนใจไม่แพ้กัน ก็คือการเพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษ Black Thunder ซึ่งจะมาพร้อมกับของแต่งรอบคันหลายรายการในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนใน BT-50 ชุดแต่งนี้ มีให้ ใน 2 รุ่นบนเท่านั้น อารมณ์ คล้ายกับ การแจ่งของ Wildtrak แต่เท่ห์และ สปอร์ตดว่า
ท้ายสุดคือการเปลี่ยนแพทเทิร์นการตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ ให้ดูเรียบหรูมากขึ้น เป็นทูโทนสีที่ต่างจากรถกระบะหลายรุ่นที่เรารู้จักกันในเวลานี้
แถม หลังจากแอบลองขับ เมื่อช่วงต้นปี พบว่า ยังมีการปรับปรุงช่วงล่างใหม่ ให้ขับสนุกมั่นใจมากขึ้น อารมณ์แบบ มาสด้า ที่เคยเป็นมา แต่แปลกนะ มาสด้า ยังไม่ยอมพูดว่ ารถปรับช่วงล่าง ทั้งที่ใครได้ขับก็รู้ทันทีว่าต่างจากเดิม
แล้วทำไมกระบะในไทยถึงยกขบวนกันปรับโฉมในปี 2024 ?
สาเหตุหลักที่เป็นผลมากที่สุด ก็คือเรื่องของมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 5 ที่มีผลบังคับใช้ภายในช่วงต้นปี 2024 จึงส่งผลให้ผู้ผลิตต้องพากันปรับปรุงเครื่องยนต์ในรถกระบะที่ตนเองมี ให้ผ่านมาตรฐานมลพิษใหม่นี้ให้ได้
และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เราได้เห็นปุ่มเปิดระบบไล่เขม่าในรถกระบะทุกคัน ที่เป็นโมเดลปี 2024 ซึ่งเป็นระบบสำคัญที่ทำให้รถกระบะเหล่านี้สามารถลดการปล่อยมลพิษให้อยู่ในระดับตามกฏหมายกำหนดได้ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคารถกระบะที่ขายในไทย ถูกปรับขึ้นอีกราวๆ 1-2 หมื่นบาท กันทุกรุ่นย่อย ไม่ว่าจะตัวล่างหรือตัวบน ไม่นับรุ่นย่อยใหม่ที่พึ่งเผยโฉม
แต่แน่นอน ครั้นจะให้ผู้ผลิตแค่ปรับเครื่องยนต์อย่างเดียว แล้วขายรถด้วยราคาที่แพงขึ้นดื้อๆ ผู้บริโภคที่รอซื้ออยู่ก็อาจไม่พอใจ ดังนั้นทางค่ายจึงต้องทำการปรับเปลี่ยนรายละเอียดตัวรถใหม่ด้วย แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ต้องทำเพื่อไม่ให้น้อยหน้าคู่แข่ง
แล้วทำไมผู้ผลิตถึงไม่ปรับใหญ่ตัวรถไปเลย ?
สาเหตุนั้นก็เพราะการบังคับใช้กฏหมายมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 5 ในครั้งนี้ มีระยะเวลาที่กระชั้นชิดกับการบังคับใช้มาตรฐานมลพิษระดับสูงกว่าอย่าง มาตรฐาน Euro 6 เป็นอย่างมาก โดยมาตรฐานมลพิษใหม่นี้จะถูกบังคับใช้ในปี 2026 หรือก็คืออีก 2 ปีจากนี้เท่านั้น
และเนื่องด้วยการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 6 นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก จึงทำให้หากยังไม่ถึงเวลาที่ต้องปรับโฉมตัวถังรถจริงๆ หลายผู้ผลิตจึงเลือกที่จะยื้อเครื่องยนต์ Euro 4 มาปรับปรุงใหม่ให้ผ่าน Euro 5 ไปก่อน
แล้วจึงค่อยพัฒนาเครื่องยนต์ลูกใหม่ให้ผ่านมาตรฐาน Euro 6 ไปเลยทีเดียว เผื่อสำหรับการบังคับใช้มาตรฐานมลพิษระดับ Euro 7 ที่จะยิ่งเข้มงวดกว่าเดิมขึ้นไปอีกขั้นด้วย
เช่นเดียวกัน แม้ตัวรถกระบะหลายรุ่นจะอยู่ในช่วงสมควรแก่การปรับโฉมใหญ่ได้แล้ว แต่ในเมื่อแผนการพัฒนาเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ จะต้องถูกปรับชุดใหญ่ภายในปี 2026 ตัวถังรถเองก็จะต้องถูกดองไว้ก่อน จนกว่าจะถึงช่วงเวลาดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ซึ่งหากมองจากลิสต์ข้างต้น ก็จะเห็นว่ามีรถที่เข้าข่ายอยู่ 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Toyota Hilux Revo, Isuzu D-Max, Mazda BT-50, และ Nissan Navara นั่นเอง (ส่วน Ford Ranger กับ Mitsubishi Triton ถือเป็นส่วนน้อยที่ชิงปรับใหญ่ไปก่อนแล้ว และขุมกำลังของพวกมัน ก็ดูจะสามารถต่อยอดไป Euro 6 ได้อยู่แล้วเช่นกัน)