ขณะที่ประเทศไทยยังคงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กัน Toyota C-HR จะมีโอกาสถูกนำกลับมาทำตลาดในบ้านเราอีกรอบ ล่าสุดในทวีปยุโรป พวกเขากลับเตรียมต้อนรับการมาของ C-HR+ ซึ่งเป็นรถรุ่นใหม่ที่มาพร้อมขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าล้วนแทนเสียแล้ว

Toyota C-HR+ รุ่นใหม่ที่มาพร้อมขุมกำลังพลังงานไฟฟ้าล้วน ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกันกับตัวรถรุ่นไฮบริด ที่เผยโฉมใหม่ในยุโรปไปตั้งแต่ปี 2023 แต่มันได้ถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยแพลตฟอร์ม TNGA 2.0 เหมือนกับ Toyota bZ4X
จึงไม่น่าแปลกใจนักหากเราจะพบว่าพวกมันต่างมีหน้าตาที่ไม่หนีกันมากนัก ไม่ว่าจะทั้งในส่วนของงานออกแบบภายนอก ที่อาจจะดูมีความโฉบเฉี่ยมมากกว่า แต่ก็ยังใช้งานดีไซน์ไฟฟ้าและไฟท้าย Hammer Head ดังเดิม และภายในที่ดูสะอาดตาตามฉบับรถยนต์ไฟฟ้าเองก็ด้วย
แต่ด้วยความที่ตัวรถ ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดเอาไว้ต่ำกว่า bZ4X ลงมา จึงทำให้มันจะมาพร้อมกัะบขนาดตัวที่เล็กกว่า ด้วยตัวเลข 4,520 มิลลิเมตร ในด้านยาว, 1,870 มิลลิเมตร ในด้านกว้าง, 1,595 มิลลิมเตร ในด้านสูง และ 2,750 มิลลิเมตร ในส่วนของระยะฐานล้อ
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า ก็คือ แม้ตัวรถจะมีขนาดเล็กกว่า แต่เพื่อความสนุกสนานในการใช้งาน และเป็นการประหยัดต้นทุนไปในตัว เจ้า C-HR รุ่นพลังงานไฟฟ้าคันนี้ จึงมาพร้อมกับทางเลือกเริ่มต้นซึ่งได้แบตเตอรี่ขนาด 57.7 kWh ซึ่งทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าลูกเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยกำลังสูงสุด 167 แรงม้า PS ทำให้รถสามารถรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 455 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP และมีความสามารถในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 8.6 วินาที
ส่วนรุ่นถัดมา ก็จะได้มอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนล้อหน้าที่มีพละกำลังมากขึ้น เป็น 224 PS ซึ่งจะทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 77 kWh รองรับระยะทางในการวิ่งสูงสุด 600 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP และมีความสามารถในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 7.4 วินาที
ขณะที่รุ่นบนสุด จะใช้แบตเตอรี่ขนาดเท่ากันกับตัวกลาง แต่ด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว สำหรับแบ่งกันขับเคลื่อนชุดล้อทั้ง 4 (AWD) จึงทำให้มันมีพละกำลังเพิ่มขึ้น เป็น 343 แรงม้า PS และสามารถในการเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 5.2 วินาที โดยที่ระยะทางในการใช้งานสูงสุด ก็จะมีตัวเลข 525 กิโลเมตร/ชาร์จ ซึ่งแอบเยอะกว่า bZ4X เล็กน้อย เนื่องจากตัวรถเบากว่านิดหน่อยก็เท่านั้น
ด้านราคา และรายละเอียดทางเทคนิคอื่นๆของตัวรถยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่คาดว่าจะมีการเปิดเผยอีกครั้งเมื่อถึงกำหนดการวางขายจริงในยุโรป ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 นี้