ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า การมาของ Honda Civiv Type R รุ่นใหม่ล่าสุดนั้น ทำให้เกิดกระแสความเคลื่อนไหวจากเหล่าสาวกมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งในประเทศญี่ปุ่น ที่ล่าสุดมีรายงานเปิดเผยออกมาว่าลูกค้าต้องใช้เวลารอรถกันนานถึงครึ่งปี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นรายงานข้อมูลจากสื่อในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ทำการระบุว่า ในตอนนี้ ทาง Honda บริษัทแม่ สามารถผลิตรถ Civic Type R ในโรงงานเมืองไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อวางจำหน่ายได้เพียง 400 คันต่อเดือน เท่านั้น จากปัญหาอะไหล่ที่อยู่ในสภาวะขาดแคลน
ยังไม่รวม ระยะเวลาในการขนส่งรถไปยังดีลเลอร์ทั่วประเทศ และในยุโรป กับสหรัฐอเมริกา, เรื่องการเตรียมความพร้อมของดีลเลอร์สำหรับการวางขายตัวรถ (เช่นการอบรมความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเซลล์ และช่างเซอร์วิสต์รถ) จึงทำให้กว่าตัวรถคิวแรกจะพร้อมสำหรับการส่งมอบให้กับลูกค้าชาวญี่ปุ่นจริงๆ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง 6 เดือน หลังจากที่มีการเปิดจองเมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา
โดย Civic Type R รุ่นใหม่ นอกจากการปรับโฉมภายนอกใหม่ทั้งหมด จนตัวรถดูมีความสุขุมนุ่มลึกมากยิ่งขึ้นแล้ว มันยังได้รับการปรับปรุงในเรื่องของระบบกันสะเทือน กับระบบเบรกใหม่ ให้ตัวรถมีความสามารถในการบังคับเลี้ยวที่เฉียมคมยิ่งขึ้นและที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ขุมกำลังของมัน จะยังคงเป็นบล็อค K20C1 รหัสเดิมกับ Civic Type R รหัส FK8 แต่ทาง Honda ก็ได้ทำการปรับจูนไส้ในและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องใหม่แทบทั้งหมด
โดยเฉพาะในส่วนของเทอร์โบชาร์จเจอร์ ที่ถูกปรับปรุงให้สามารถสร้างแรงดันอากาศในช่วงรอบเครื่องยนต์ที่กว้างขึ้น, ท่อไอเสียใหม่ รับกับการทำงานของเทอร์โบ, หม้อน้ำใหม่ใหญ่กว่าเดิม, ฟลายวีลใหม่ ที่เบาลง จนส่งผลให้เครื่องยนต์ลูกนี้สามารถทำแรงม้าได้มากขึ้นกว่าเดิม 9 ตัว เป็น 315 HP ที่ 6,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดที่เพิ่มขึ้นอีก 20 นิวตันเมตร เป็น 420 นิวตันเมตร ที่ 2,600 – 4,000 รอบ/นาที และยังมีการปรับปรุงอัตราทดเกียร์ 1-6 ใหม่ รวมถึงปรับปรุงระบบเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปใหม่ เพื่อการถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ลงสู่ล้อที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย
โดย 2023 Honda Civic Type R ที่มาพร้อมกับรหัสประจำตัวว่า FL5 ถูกตั้งราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่น ที่ 4,997,300 เยน หรือราวๆ 1,288,000 บาท ส่วนการวางจำหน่ายในบ้านเราโดย Honda ประเทศไทย ยังไม่มีวี่แววใดๆทั้งสิ้น แต่หากใครสนใจ เชื่อว่าตอนนี้อาจมีบางบริษัทนำเข้า เปิดรับจอง เพียงแต่อาจจะต้องรอรับรถกันนานหน่อย และต้องจ่ายค่าตัวรถด้วยเม็ดเงินบาทด้วยตัวเลขเดียวกันกับเงินเยนเป็นอย่างน้อยก็เท่านั้น
ข้อมูลจาก Carwatch
