ขณะที่ Nissan Navara ในประเทศไทย ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว แต่ในสหรัฐอเมริกา ตัวรถโมเดลคู่ขนานของมันอย่าง Nissan Frontier ก็ได้รับการปรับโฉมแล้วเป็นที่เรียบร้อยสำหรับโฉมปี 2025

2025 Nissan Frontier หากว่ากันตามตรง จริงๆแล้วมันก็ยังคงเป็นตัวรถที่ใช้พื้นฐานเดียวกันกับ Frontier ที่เผยโฉมมาตั้งแต่ปี 2021 ดังนั้นด้วยการปรับโฉมในช่วงเวลา “ครึ่งอายุตัวถัง” เช่นนี้ การปรับเปลี่ยนโดยหลักของมันจึงเป็นเพียงการปรับโฉมในระดับ Minor Change เท่านั้น

อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นเพียงการเปลี่ยนโฉมแบบ “ปรับเล็ก” แต่ด้วยหน้าตาและรายละเอียดโดยรวมของตัวรถดั้งเดิมที่ค่อนข้างลงตัวอยู่แล้วจึงยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก ทั้งจากกันชนหน้าใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับชุดแผงกันกระแทกที่ใหญ่กว่าเดิม แถมยังเชื่อมต่อกับแนวกระจังหน้าแบบใหม่เป็นชิ้นเดียวและช่วยเพิ่มความบึกบึนให้กับตัวรถขึ้นไปอีกขั้นได้เป็นอย่างดี

อีกสิ่งที่เปลี่ยนไปคือชุดฝากระบะท้าย ที่มีการเพิ่มแผ่นคาดกลางกระบะเข้ามาในแบบที่รถกระบะขาลุยจริตคนอเมริกาฯควรจะเป็น ซึ่งมีให้เฉพาะในรุ่นย่อยใหม่อย่าง Pro-X (Pro-2X) และ Pro-4X เท่านั้น ตามด้วยชุดล้อขอบ 17 นิ้วลายใหม่ และสีทางเลือกใหม่ Afterburn Orange

ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับตัวรถรุ่นย่อยใหม่อย่าง Pro-X กับ Pro-4X รวมถึงรุ่นบนตัวท็อปอย่าง SL ก็จะมาพร้อมกับออพชันใหม่ติดรถมากมาย ทั้ง เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง, ระบบแท่นไวร์เลสชาร์จ, และกล้อง 360 องศา

นอกจากนี้ตัวรถทุกรุ่นย่อยยังได้รับการอัพเกรคอพวงมาลัย ให้เป็นแบบที่สามารถปรับระยะใกล้-ไกลได้แล้ว จากเดิมที่ปรับได้แค่เพียงระดับสูง-ต่ำ เท่านั้น และยังมีการเสริมลูกเล่นอย่าง ระบบกระจกหลังสไลด์ขึ้น-ลงได้ (เป็นออพชันคล้ายกับที่เคยมีใน Mitsubishi Triton 3.2 4×4 ที่เคยขายในไทยเมื่อหลายปีก่อน และออพชันนี้ยังคงได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาอยู่ต่อเนื่องจนปัจจุบัน)

อีกสิ่งที่ถูกใส่เข้ามาในตัวรถทุกรุ่นย่อยคือระบบความปลอดภัยขั้นสูง หรือระบบ ADAS ซึ่งประกอบปด้วยระบบแจ้งเตือนการหลุดออกนอกเลน และระบบแจ้งเตือนมุมอับ, ระบบแจ้งเตือนวัตถุเคลื่อนที่ด้านหลัง, ระบบเปิด-ปิดไฟสูง อัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ลูกค้าหลายคนเรียกร้องในปีที่ผ่านมา

ในด้านการปรับปรุงรายละเอียดทางเทคนิคเพื่อการใช้งานฉบับรถกระบะ คราวนี้ตัวรถ Frontier รุ่นใหม่ล่าสุด ก็จะมาพร้อมกับกระบะท้ายที่ยาวขึ้นเป็นขนาด 1.83 เมตร ในรุ่นตัวถัง 4 ประตู Crew Cab Long-Wheelbase และยังมีการเพิ่มขีดความสามารถในการลากจูงให้รองรับน้ำหนักได้มากขึ้นอีก 227 กิโลกรัม เป็น 3,243 กิโลกรัม

ขณะที่ขุมกำลังหลักยังคงเดิม ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 3.8 ลิตร ให้กำลังสูงสด 314 PS และแรงบิดสูงสุด 381 นิวตันเมตร พร้อมส่งกำลังไปยังชุดล้อคู่หลัง หรือชุดล้อทั้งสี่ ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ดังเดิมไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนใดๆ

ส่วนราคาสำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขออกมา แต่ทาง Nissan ระบุว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลอีกครั้งในช่วงกำหนดการกระจายตัวรถไปยังดีลเลอร์ทั่วประเทศอีกที ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้