หลังมีเสียงเรียกร้องจากเหล่าสาวก แถมยังมีการนำรถมาโชว์ตัวในประเทศไทยอยู่เป็นพักๆ ล่าสุดก็มีข้อมูลยืนยันแล้วว่า Toyota Motor Thailand ได้มีการเตรียมพร้อมที่จะนำตัวรถ Toyota Prius โฉมล่าสุดเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วเป็นที่เรียบร้อย ด้วยโควต้าเพียง 200 คัน
โดยสำหรับ Toyota Prius เจเนอเรชันล่าสุดที่กำลังจะถูกนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆนี้ ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2022 โดยถือเป็นตัวรถเจเนอเรชันที่ 5 ของตระกูล และถือว่าเป็น 2 เจเนอเรชันถัดมาจากตัวรถรุ่นสุดท้ายที่ขายในไทย และความแตกต่างของมันในครั้งนี้ เมื่อเทียบกับเจเนอเรชันก่อนหน้า (เจเนอเรชันที่ 4) ก็เรียกได้ว่าเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่แบบแทบจะ 100% อีกด้วย
และแม้มันจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้าง TNGA-C ดังเดิมกับรุ่นพี่ แต่แท้จริงแล้วไส้ในของมันได้ถูกปรับใหม่หมด จนภายนอกที่มาพร้อมกับหน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่องด้วยไฟหน้า LED รูปตัว C พร้อมไฟ DRL แบบ LED ในโคมเดียวกัน ล้อมรอบด้วยชุดกรอบไฟหน้าแปะตราโลโก้สามห่วงกลมกลืนกับชุดฝากระโปรงหน้าชุดกันชนหน้าออกแบบลงตัว
ด้านหลังมาในแบบไฟท้าย LED พาดเต็ม รูปตัว A โดยไส้ในของชุดไฟท้ายออกแบบมาเป็นแนวเรียวยาว พร้อมตราชื่อรุ่น Prius ติดเว้นช่องไฟดูสวยงามขึ้น รับกับชุดกันชนท้าย ตกแต่งกรอบป้ายทะเบียนสีดำตัวใหญ่ ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 19 นิ้ว กับขนาด 17 นิ้ว หลังคารถลาดลงขึ้นกว่าเดิมแถมที่เปิดประตูในส่วนผู้โดยสารตอนหลังออกแบบให้ที่จับติดกระจกเสา C
ขณะที่ภายในมีแผงคอนโซลหน้าพร้อมจอสัมผัสระบบความบันเทิงขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว มาตรวัดดิจิทัล TFT LCD อยู่ตำแหน่งเดียวกับ Head-Up Display ขนาด 7 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้าน พร้อมเบาะนั่งดีไซน์ทรงสปอร์ต เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 ปรับเอนได้หนึ่งระดับหุ้มวัสดุหนัง มีไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light มาให้ หลังคาพาโนรามิกคู่แบบตายตัว เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone ที่ชาร์จมือถือไร้สาย Wireless Charger
โดยหากอิงจากข้อมูลในประเทศญี่ปุ่น เราก็จะพบว่าตอนนี้ Pirus รุ่นล่าสุดถูกวางจำหน่ายด้วยทางเลือกขุมกำลัง 3 แบบ ได้แก่
ขุมพลัง Hybrid มีสองแบบเริ่มที่เบนซินดั้งเดิม 1.8 ลิตร 2ZR-FXE พัฒนาใหม่ให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้น 98 แรงม้า แรงบิด 142 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบ/นาที ภาคเครื่องยนต์จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่ล้อหน้ารุ่น 1VM 95 แรงม้า แรงบิด 185 นิวตันเมตร และหลังสำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ E-Four รุ่น 1WM 41 แรงม้า แรงบิด 84 นิวตันเมตร ได้แรงม้ารวม 140 แรงม้า
ตามด้วย Dynamic Force Hybrid 2.0 ลิตร M20A-FXS 151 แรงม้าแรงบิด 190 นิวตันเมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า กำลัง 109 แรงม้า แรงบิด 202 นิวตันเมตรและ มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังให้กำลังมากถึง 41 แรงม้า ในรุ่น E-Four พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน โดยทำงานร่วมกันให้พลังมากสุด 196 แรงม้า
และท้ายสุดคือ ขุมกำลัง PHEV ที่เป็นการจับคู่ระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน M20A-FXS แบบ 4 สูบเรียง ความจุ 1,986cc จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด D-4S ที่แม้จะเป็นลูกเดิม แต่ถูกปรับจูนใหม่ให้กำลังสูงสุดน้อยลงนิดหน่อย จาก 152 PS เหลือ 151 PS ที่ 6,000 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดเท่าเดิม ด้วยตัวเลข 188 นิวตันเมตร ที่ 4,400-5,200 รอบ/นาที
กับฝั่งมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีการปรับเพิ่มความแรง จากเดิมในตัวไฮบริด ขับสองล้อหน้า จะใช้มอเตอร์กำลังสูงสุด 113 PS กับแรงบิดสูงสุด 206 นิวตันเมตร คราวนี้ก็ขยับขึ้นมาเป็น 163 PS กับแรงบิดสูงสุด 208 นิวตันเมตร ซึ่งเมื่อทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ทำงานร่วมกันอย่างเต็มกำลังแล้ว มันก็จะให้แรงม้าสูงสุดที่ 223 PS
แต่เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากขึ้นถึง 150 กิโลกรัม เพราะ แบตเตอรี่ลูกใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จาก 4.08 Ah (ราวๆ 1 kWh) เป็น 51 Ah (ราวๆ 11 kWh) จนถังน้ำมันต้องลดความจุลงนิดหน่อย จาก 43 ลิตร เหลือ 40 ลิตร นั่นก็ทำให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย ตามมาตรฐาน WLTP ของมัน ทำได้ด้อยกว่ารุ่น Hybrid ธรรมดา นั่นคือ จาก 28.6 กิโลเมตร/ลิตร เหลือ 26.0 กิโลเมตร/ลิตร หรือสามารถเพิ่มได้เต็มที่ เป็น 30.1 กิโลเมตร/ลิตร หากลูกค้าต้องการรถที่ประหยัดจริงๆ ด้วยการเลือกซื้อออพชันล้อ 17 ใส่แทนล้อ 19 เดิม
ทว่าด้วยแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จึงทำให้มันสามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วน ได้ไกลสุด 87 กิโลเมตร หากติดตั้งล้อขนาด 19 นิ้ว และจะเพิ่มขึ้นเป็น 105 กิโลเมตร หากติดตั้งล้อขนาด 17 นิ้ว ที่กินกำลังมอเตอร์น้อยกว่า
ทั้งนี้ เนื่องจากแหล่งข้อมูลต้นทาง ยังไม่สามารถระบุได้ว่าตัวรถ Toyota Prius ที่จะถูกนำมาวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น คือตัวรถรุ่นย่อยใด มาพร้อมกับขุมกำลังใด ดังนั้นเราจึงยังคงต้องรอติดตามข้อมูลกันต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงกำหนดการเปิดรับจองจริงๆซึ่งจะเกิดขึ้นภายในช่วงสิ้นปีนี้