Alpine A110 คือรถสปอร์ตเล็กที่อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก แต่ในหมู่คนเล่นรถด้วยกัน ย่อมรู้ดีว่าคือ “รถสปอร์ตเล็กพริกขี้หนู” ที่มาพร้อมกับความเบาเป็นอาวุธ และล่าสุดทางค่ายยังมีการเสริมร่าง “R Ultime” ออกมาอีก เพื่อเสริมกำลังของมันให้ แรง เร็ว ขึ้นไปอีกขั้น

Alpine A110 R Ultime อาจจะถือได้ว่านี่คือร่างสุดยอดของ Alpine A110 เลยก็ว่าได้ เพราะคำว่า Ultime ที่ต่อท้าย ก็คือคำว่า Ultimate ที่แปลว่า “ขั้นสุด” จากไลน์อัพทั้งหมดทั้งมวลที่มีมาไปโดยปริยายอยู่แล้ว
โดยสิ่งที่ทางค่ายได้ทำการปรับเปลี่ยน หรืออัพเกรดลงไปบนรถคันนี้เพื่อให้มันกลายเป็นร่างสุดยอดของตระกูล ก็จะเริ่มจากการที่ขุมกำลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ที่มีขนาดเพียง 1.8 ลิตรของมัน จะได้รับการติดตั้งระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จนทำให้มันสามารถเค้นกำลังได้มากขึ้น จาก 300 PS เป็น 350 PS และยังมีแรงบิดเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 80 นิวตันเมตร เป็น 420 นิวตันเมตร
ซึ่งแน่นอนว่าแม้ตัวเลขดังกล่าวอาจไม่ได้ดูสูงส่งมากนัก แต่เราต้องไม่ลืมว่าตัวรถรุ่นนี้มีน้ำหนักตัวที่เบากว่า 1,100 กิโลกรัม (เลขที่แน่ชัดยังไม่มีการเปิดเผย) จากตัวถังเปลือกนอกที่ทำขึ้นจากคาร์บอนแทบทั้งคัน จึงช่วยให้มันสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 3.8 วินาทีเท่านั้น
นอกจากการเสริมความแรงเพื่อเพิ่มความจี๊ดจ๊าด การเพิ่มความสมดุลในการยึดเกาะเพื่อเข้าโค้งของตัวรถเอง ยังถูกปรับเปลี่ยนจากรุ่น R ทั้งในส่วนของชุดกันชนหน้า ซึ่งถูกออกแบบใหม่ ให้มีครีบรีดอากาศทางด้านข้างในตัว, เสริมครีบลิปสปอยเลอร์คาร์บอนทางด้านล่างกันชนหน้า, ปรับขนาดชายล่างข้างตัวถังงานคาร์บอนเช่นเดียวกันให้ใหญ่ขึ้น
และแน่นอนว่าชุดดิฟฟิวเซอร์ท้าย พร้อมครีบรีดอากาศเอง ที่ทำจากคาร์บอนเช่นกัน ก็ถูกปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นเหมือนกัน แต่ในคราวนี้ มันยังมีการเพิ่มช่องระบายอากาศจากแนวซุ้มล้อหลัง และเพิ่มชุดสปอยเลอร์ตูดเป็ด โดยที่สปอยเลอร์ชิ้นหลักด้านบนเอง ก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิม เพื่อเพิ่มแรงกดอากาศให้มากขึ้นจนแตะหลัก 160 กิโลกรัม เมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง
นอกนั้นทางค่ายยังจัดการอัพเกรดระบบเบรกหน้า-หลังของรถใหม่ เป็นของ AP Racing, เปลี่ยนชุดโช้กอัพและสปริงเป็นของ Ohlins รุ่น TTX ซึ่งเป็นรุ่นสำหรับการลงสนาม, และยังติดตั้งยาง Michelin Pilot Sport Cup 2 ที่เหมาะกับการใช้ทำเวลาเช่นกัน
และจากการอัพเกรดที่เกิดขึ้น ทำให้ตัวรถ Alpine A110 R Ultime สามารถทำสถิติเวลาต่อรอบที่ดีที่สุดในสนาม Nurburgring ไปได้ด้วยตัวเลข 7.15 นาที ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เร็วกว่ารุ่น R ที่เป็นร่างต้นถึง 20 วินาทีกันเลยทีเดียว
ถึงกระนั้น ตัวเลขดังกล่า่ว กลับยังคงถือว่าช้ากว่าคู่แข่งสายตรงอย่าง Porsche Cayman GT4 RS ที่สามารถทำเวลาต่อรอบไปได้ 7.09 นาที ซึ่งอาจจะฟังดูน่าเจ็บใจไปสักหน่อยสำหรับเหล่าสาวก แต่ถ้าเทียบกับความลิมิเต็ดของรถทีท่จะผลิตขึ้นเพียง 110 คัน โดยมีเพียง 30 คัน ในนั้น เท่านั้น ที่ได้ใช้สีตัวถัง La Bleue ก็นับว่ามันยังคงมีความพิเศษติดตัวที่น่าเก็บสะสมมากกว่าอยู่ดี สำหรับเจ้า Alpine A110 R Ultime รุ่นนี้
ส่วนราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หากคิดตัวเลขแบบไม่รวมภาษี มันก็จะมีการเปิดราคาวางจำหน่ายในทวีปยุโรปเริ่มต้นที่ 265,000 ยูโร หรือราวๆ 9.3 ล้านบาท และจะขยับขึ้นเป็น 330,000 ยูโร หรือราวๆ 11.6 ล้านบาท เท่านั้นเอง..
ข้อมูลจาก Alpine