เมื่อพูดถึงรถยนต์จาก BMW ส่วนใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากเป็นรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน มักจะมีการห้อยรหัส “i” ไว้เพื่อบ่งบอกชนิดขุมกำลัง แต่ช่วงหลังมานี้รถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ ก็มีการใช้ตัวอักษรหัสเดียวกันบ่งบอกตัวตนเอาไว้ด้วยเช่นกัน
อย่าที่ทุกคนทราบกัน ว่าโดยปกติแล้ว ทาง BMW มักจะมีการใช้ “ตัวอักษรห้อยท้าย ตามหลังตัวเลขรุ่นย่อย” ของรถยนต์โมเดลต่างๆที่ตนเองทำขาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงรูปแบบขุมกำลังที่ติดรถมา ไม่ว่าจะเป็น “d” ที่หมายถึงเครื่องยนต์ดีเซล, “e” ที่หมายถึงรถขุมกำลังปลั๊ก-อิน ไฮบริด (e หมายถึง electric power)
และที่เป็นประเด็นในครั้งนี้ ก็คือ “i” ซึ่งหมายถึงรถที่มาพร้อมกับขุมกำลังเครื่องยนต์เบนซิน โดยตัวอักษร “i” ที่ว่านี้ ย่อมาจากคำว่า innovetive ที่หมายถึงนวัตกรรมเครื่องยนต์อันล้ำสมัยที่มาพร้อมนวัตกรรมน่าตื่นตาตื่นใจของแบรนด์นั่นเอง
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ที่ทาง BMW ได้มีการหันมาพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจัง พวกเขาเองก็ได้มีการใช้ตัวอักษร “i” ไปประกอบในชื่อรุ่นรถยนต์กลุ่มนี้ด้วย เพราะมันก็ คือขุมกำลังที่มีความเป็นนวัตกรรมยุคใหม่เช่นกัน
โดยเริ่มจาก BMW i3 ซึ่งแม้ตัวรถรุ่นนี้จะยังคงมี เครื่องยนต์เบนซิน ติดตัวมา แต่มันก็มีหน้าที่ไว้เป็นเพียงเครื่องปั่นไฟเสริมระยะทางให้กับแบตเตอรี่ ที่เอาไว้จ่ายพลังให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนตัวรถอีกทีเท่านั้น และยังมี BMW i8 ซึ่งเป็นรถซุปเปอร์คาร์ ที่มาพร้อมขุมกำลังปลั๊ก-อิน ไฮบริดตัวแรกๆของแบรนด์
จากนั้น เมื่อถึงเวลาที่ทางแบรนด์จะต้องทำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของตนเองออกมาขายจริงๆ พวกเขาก็เลือกที่จะใช้ตัวอักษร “i” นี้ต่อเพื่อบ่งบอกถึงความพิเศษของขุมกำลังที่ติดรถยนต์เหล่านั้นมา ทว่าเพื่อให้มันแตกต่างจากรถยนต์ขุมกำลังเบนซินล้วน ทางค่ายจึงเอาตัวอักษรดังกล่าว มาเป็น “ตัวอักษรนำหน้าคลาสของตัวรถ” แทน ได้แก่ iX1, iX2, iX, i4, i5, และ i7
ถึงกระนั้น แม้พวกเขาจะใช้วิธีย้ายตำแหน่งตัวอักษร แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจถึงเรื่องนี้ เพราะยังไงสุดท้าย มันก็ยังเป็นตัวอักษรเดียวกัน จนทำให้หลายครั้งพวกเขาพบว่าลูกค้ามักสับสนรุ่นย่อยของตัวรถอยู่บ่อยๆ เช่นระหว่าง BMW i5 กับ BMW 540i หรือ BMW i4 กับ BMW 440i เป็นต้น
ดังนั้น แม้พวกเขาจะอยากเก็บตัวอักษร “i” ไว้ใช้กับรถยนต์ขุมกำลังเบนซินล้วนของตนเองมากแค่ไหน แต่เพื่อลดความสับสนของลูกค้า และเข้าใจได้ว่าในไม่ช้าขุมกำลังนี้อาจไม่มีอีกต่อไป และกลายเป็นขุมกำลังปลั๊กอิน-ไฮบริด ซึ่งใช้รหัส “e” ห้อยท้ายอยู่แล้ว
ทางผู้บริหารจึงตัดสินใจที่จะย้ายเอาตัวอักษรนี้ ไปสงวนไว้ใช้กับรถยนต์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ นั่นคือรถยนต์ขุมกำลังไฟฟ้า 100% เท่านั้นของแบรนด์ โดยคาดว่าทางค่ายจะเริ่มทยอยปรับชื่อรุ่นย่อยของรถยนต์ขุมกำลังเบนซินล้วนทั้งหลายภายในช่วงไม่เกินสิ้นปีนี้