แม้ในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีราคาแพง แต่ใครหลายๆคนก็ยังตั้งความหวังว่ามันจะถูกลงในสักวัน ซึ่งทางผู้บริหาร BMW ออกมายืนยันว่ามันจะเป็นเช่นนั้นแน่นอนในสักวัน แต่ก็ยังยืนยันเพิ่มเติมไว้ว่า มันก็ไม่ได้จะลดลงมาจนอยู่ในระดับที่ผู้ใช้รู้สึกว่า “ถูก” อยู่ดี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นการให้ข้อมูลโดย Oliver Zipse ผู้บริหารสูงสุดของ BMW ที่ได้ทำให้สัมภาษณ์กับสื่อดังของสหรัฐอเมริกาอย่าง CNBC ถึงประเด็นเกี่ยวกับทิศทางของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตเอาไว้ว่า “BMW จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าในทุกเซกเมนท์, และแน่นอน, ถ้าเราเพิ่มจำนวนการผลิต, มันก็มีแนวโน้มที่สิ่งนี้จะถูกลง แต่รถยนต์ไฟฟ้าก็จะไม่ถูกอยู่ดี”
“นั่นคือภารกิจต่อไปของบริษัทนี้, เพื่อลดราคาของมันลงในอนาคต”
แน่นอน เมื่อการแสดงความเห็นออกมาเป็นเช่นนี้ ใครหลายคนอาจมองว่า มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะในมุมของ BMW พวกเขาก็มักจะทำตลาดแต่เฉพาะรถยนต์ระดับพรีเมียมที่มีราคาสูงกว่าท้องตลาดทั่วๆไปเป็นทุนเดิม
แต่ในความเป็นจริงทาง BMW ก็ได้มีการเปิดเผยว่า หากถึงเวลาที่บริษัทจะต้องเดินหน้าจับตลาดรถไฟฟ้าแบบเต็มตัวจริงๆ พวกเขาก็ตั้งใจที่จะทำรถยนต์ไฟฟ้าที่ลูกค้าสามารถจับต้องได้ง่าย หรือก็คือจะหันมาทำรถในกลุ่ม Mass Production Cars เพิ่มด้วย
“ต่อให้คุณจะตัดสินใจไปแล้วว่าคุณคือแบรนด์หรูระดับพรีเมียม, แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผิดพลาดหากจะเมินการทำตลาดที่ล่างกว่าไปเลย, มันจะเป็นหัวใจหลักของธุรกิจคุณ(ตัว BMW เอง)ในอนาคต”
โดยสาเหตุที่ทาง BMW มองว่าแม้รถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถมีราคาถูกลงได้ แต่ก็จะไม่อยู่ในขั้นที่ถูก อยู่ดีนั้น หากเราลองวิเคราะห์กันให้ดี เราก็จะพบว่าแม้ต้นทุนในการผลิตของมันจะถูกลง แต่ก็ถูกลงเพียงเพราะการเพิ่มจำนวนการผลิตให้มากขึ้น
ทว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ปัญหาในเรื่องวัตถุดิบหลักที่ใช้งานการสร้าง โดยเฉพาะแร่สำหรับทำแบตเตอรี่ ก็ยังคงไม่มีแนวโน้มที่จะถูกลงไปจนอยู่ในจุดที่เท่าเทียมกับต้นทุนในการสร้างรถเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่ดี
หรือต่อให้การทำแบตเตอรี่แบบใหม่ของหลายๆผู้พัฒนาประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆ จนทำให้มันสามารถใช้วัสดุในการผลิตที่ถูกลงได้ แต่ในช่วงแรกของเทคโนโลยีใหม่ที่ว่านี้ ก็จะยังคงแพงด้วยค่าคิดค้น ค่าออกแบบ ค่าพัฒนา และค่าวิจัยเทคโนโลยีอยู่ดีนั่นเอง