แม้ BMW จะเป็นผู้ผลิตสัญชาติเยอรมัน แต่จากความจริงที่ว่าพวกเขามีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์หลากหลายรุ่นจากประเทศจีน ไปวางจำหน่ายในยุโรป จึงทำให้พวกเขาย่อมเดือดร้อนจากนโยบายกับแพงภาษีของสหภาพยุโรปไปด้วย
จากการรายงานข่าวโดย Reuters ระบุว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา BMW ได้มีการเตรียมเข้าร่วมกลุ่มกับเหล่าผู้ผลิตสัญชาติจีน ได้แก่ BYD, Geely, และ SAIC เพื่อเจรจากับสหภาพยุโรปในวันอังคารนี้ เกี่ยวกับเรื่องของมาตรการขึ้นกำแพงภาษีรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากประเทศจีน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายในวันพุธนี้ หรือคือเป็นการเจรจาก่อนบังคับใช้เพียง 1 วันเท่านั้น
สาระสำคัญของการเจรจาในครั้งนี้ เกิดจากการที่ทั้ง 4 ผู้ผลิต มองว่าวิธีการที่ทางสหภาพยุโรป โดยหน่วยงาน European Commission ใช้ในการคิดเพิ่มอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากจีน ไม่เป็นธรรมต่อพวกเขานัก และด้วยการเพิ่มอัตราภาษีสูงสุดกว่า 35.3% เอง ก็เป็นตัวเลขที่เพิ่มมากเกินไปจนทำอาจทำให้ราคารถสูงเกินไปจากที่ควรจะเป็นอีกด้วย
โดยสัดส่วนการประเมินอัตราภาษีที่ควรถูกเรียกเก็บเพิ่มจากผู้ผลิตที่มีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ของหน่วยงานข้างต้น หลักๆแล้วจะคิดจาก ระดับการได้รับความช่วยเหลือด้านเงินทุน หรือต้นทุนการผลิตจากภาครัฐจีน ของแต่ละผู้ผลิต
ไม่ว่าจะเป็น การทำสินเชื่อเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากภาครัฐจีนเพื่อสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ หรือเอาเงินที่ได้ไปก่อตั้งโรงงานแแห่งใหม่ในประเทศ หรือบางรายอาจจะได้รับเงินอุดหนุนในด้านต้นทุนการผลิต ซึ่งทำให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนยิ่งมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตในประเทศอื่นๆมาก จนทำให้เหล่าผู้ผลิตสามารถทำราคารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้ต่ำ
และจากเหตุผลในข้างต้น ทางภาครัฐของของสหภาพยุโรป จึงมองว่ามันเป็นการทำตลาดรถโดยการตั้งราคาขาย ซึ่งไม่ได้มาจากต้นทุนการผลิตที่แท้จริงเช่นผู้ผลิตอื่นๆที่ไม่ได้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีน และทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการค้าระหว่างทั้งสองฝั่งนั่นเอง
จากการประเมินด้วยเงื่อนไขข้างต้น ทำให้ตอนนี้ BYD ได้ถูกคิดเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าตัวรถอีก 17% จากอัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศสู่ยุโรปที่มีการคิดอัตราภาษีอยู่แล้ว 10% ขณะเดียวกันทางฝั่ง Geely ก็โดนบวกภาษีเพิ่มไป 18.8% และเป็นทาง SAIC ที่โดนบวกไปมากที่สุดถึง 35.3% ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะพวกเขาได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากรัฐบาลจีนมากที่สุด แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการสนับสนุนดังกล่าวให้ทางคณะผู้ประเมินได้ตรวจสอบเลยตั้งแต่แรกต่างหาก
ส่วนทาง BMW เอง แม้หลายคนจะมองว่าพวกเขาควรเป็นฝ่ายที่ได้ผลประโยชน์จากการขึ้นภาษีนำเข้าของเหล่ารถยนต์ไฟฟ้าที่มาจากประเทศจีน
แต่ด้วยความที่ทาง MINI ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของ BMW ต้องวางจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ด้วยการนำเข้าจากโรงงานผลิตในประเทศจีน จึงทำให้พวกเขาเอง ก็จะได้รับผลกระทบจากการคิดอัตราภาษีใหม่นี้ด้วยเช่นกัน อย่างน้อยก็จนกว่าพวกเขาจะก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของตนเองในสหราชอาณาจักรได้ ซึ่งคาดว่าจะต้องเกิดขึ้นไม่เร็วกว่าในปี 2026
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือแแม้ Mercedes-Benz จะไม่ได้มีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจีนไปวางจำหน่ายในทวีปยุโรป แต่พวกเขาเองก็ไม่สนับสนุนนโยบายการขึ้นภาษีในลักษณะนี้ของสหภาพยุโรปเช่นกัน โดยพวกเขาก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นการเสียเปรียบด้านการค้ามากนัก แม้ผู้ผลิตในจีนจะได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากรัฐบาลจีนที่สูงมากก็ตาม
ในขณะเดียวกัน หากการเจรจาลดหย่อน หรือยกเลิกนโยบายขึ้นภาษีครั้งนี้ไม่เป็นผล ผู้ผลิตสัญชาติจีนส่วนหนึ่งก็ได้มีการหาทางหนีทีไล่เอาไว้บ้างแล้ว ด้วยการเตรียมเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง ในประเทศต่างๆที่อยู่ในยุโรปหรือใกล้เคียง เช่น Chery ที่เตรียมใช้โรงงานเก่าของ Nissan ในประเทศสเปนเป็นฐานการผลิต และ BYD ที่เตรียมสร้างโรงงานใหม่ในฮังการีไม่ก็ตุรกี ซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นผลดีตามที่ทางสหภาพยุโรปต้องการให้เกิดขึ้นมากเลยทีเดียว