“กระจังหน้าทรงไตคู่” ถือเป็นงานดีไซน์หากินของรถยนต์จาก BMW มานาน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจดูจำเจในสายตาของลูกค้ามากเกินไป นั่นจึงทำให้เหล่าดีไซเนอร์ของแบรนด์ต้องฉุกคิดขึ้นมาว่า มันควรถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะเปลี่ยนแนวคิดนี้
จากการให้ข้อมูลโดย Adrian van Hooydonk หัวหน้าฝ่ายงานออกแบบของ BMW Global กับสื่อฯสายตรงอย่าง BMWBLOG หลังจากที่สื่อดังกล่าวได้มีการถามถึงว่า พวกเขามีความคิดเห็นอย่างไร ? กับข้อถกเถียงเรื่องกระจังหน้าทรงไตคู่ของรถตัวแรง หรือตัวหรูหลายๆคัน ที่มีขนาดใหญ่โตเกินไป เหมือนอย่าง M3 และ M4 รุ่นล่าสุด จนทำให้ลูกค้าไม่ค่อยอภิรมย์เท่าไหร่นัก
“เรารู้อยู่แล้วว่าผู้คนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ เพราะแน่นอนเรารู้(ว่ามันจะเกิดขึ้น)ทุกครั้งที่เรามีการเปลี่ยนแปลง” Adrian van Hooydonk กล่าว “เรายังรู้ด้วยว่าการมีผู้คนบ่นถึงมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น, สิ่งที่แย่คือการที่พวกเขาบ่นแล้วแต่ไม่ซื้อมัน, แต่ถึงพวกเขาบ่น ทว่าก็ซื้อด้วย, ดังนั้นเราจึงยังคงเป็นฝ่ายคิดถูก (ที่ออกแบบกระจังหน้าในลักษณะนี้) อยู่”
และถึงแม้ Adrian มองว่าการออกแบบกระจังหน้าอันใหญ่โต ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่โตมากเท่าไหร่นัก แต่เจ้าตัวก็ยอมรับว่ายังไงงานออกแบบดังกล่าวก็ต้องเปลี่ยนไป และไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเตรียมออกแบบมันให้เฉพาะเจาะจงกับตัวรถเป็นรุ่นๆไปมากขึ้นด้วย ไม่เหมือนอย่างในปัจจุบัน ที่ BMW M3/M4 มีกรอบกระจังหน้าสูงใหญ่คล้าย BMW X7
โดยตัวอย่างเกี่ยวกับแนวคิดนี้ อันที่จริงตัวหัวหน้าฝ่ายงานออกแบบของ BMW คนดังกล่าว ก็ได้มีการบอกใบ้เอาไว้แล้ว กับงานดีไซน์ของรถต้นแบบ BMW i Vision Dee ที่มาพร้อมกับจุดเด่นทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีตัวถังเปลี่ยนสีได้ “e Ink” และงานออกแบบที่ผสานความล้ำสมัย กับย้อนไปสูยุคปี 1970 ได้อย่างลงตัว แถมที่สำคัญคือมันยังมาพร้อมกับกระจังหน้าทรงใหม่ ที่ไม่ใช่แบบเดิมแบบเดียวกับที่เป็นข้อถกเถียงอยู่ในตอนนี้อีกด้วย
“โลกมันเปลี่ยนไปเร็วขึ้นและเร็วขึ้น” Adrian กล่าวเสริม เพื่อให้คำอธิบายเกี่ยวกับงานออกแบบของรถคอนเซ็ปท์คันดังกล่าว “บางอย่างที่ เมื่อปีก่อน บางคนอาจฝันถึงมัน หรือคุณอาจเห็นมันมาแล้วในหนังไซ-ไฟ, ตอนนี้มันใกล้ตัวเรามากขึ้น, มันกลายเป็นจริง, และบางอย่างที่ว่านั้น คุณก็ได้เห็นมันแล้วในตอนนี้”
และนั่นคือความเป็นมาของงานออกแบบตัวรถต้นแบบที่ดูผิดแผกไปจากรถยนต์ในปัจจุบันของทางค่าย จน Adrian ให้คำนิยามว่ามันคือการ “ข้ามรุ่น” นั่นเอง