หากญี่ปุ่น มี Toyota เป็นหัวหอกสำคัญที่ยืนยันว่าตนเองจะนำเสนอผลิตภันฑ์หลากหลายทางเลือกด้านขุมกำลัง ฝั่งยุโรปเอง ก็มี BMW เช่นกัน ที่ยืนยันจะนำเสนอทิศทางการตลาดเช่นนี้ให้กับลูกค้า

อย่างไรก็ดี เหตุผลที่ BMW ใช้ในการยืนยันแนวคิดนี้ อาจไม่ใช่เรื่องของเป้าหมายการลดการปลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ แต่เป็นเรื่องของ “ทิศทางตลาดรถยนต์ทั่วโลก” ที่ยังคงผันผวน ไม่ได้มีการหันไปด้านใดด้านหนึ่งอย่างชัดเจนมากนัก ระหว่างรถเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ยังคงจำเป็น ไว้ใจได้ และสะดวกต่อการใช้งาน กับขุมกำลังไฟฟ้าล้วน ที่เป็นเทรนด์ใหม่ ประหยัดพลังงาน ทันสมัย หรือ ขุมกำลังไฮบริด ซึ่งอยู่จุดกึ่งกลางระหว่างทั้งสองขุมกำลังก่อนหน้า

Bernd Körber ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ BMW กล่าว “พวกเขาก็มองโลกในแง่ดีกันเกินไป” ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ AutoCar เมื่อสื่อฯต้นทางได้มีการสอบถามถึงสิ่งที่ผู้ผลิตอื่นๆประเมินว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องเติบโตอย่างต่อเนื่องแน่นอนในช่วงขวบปีที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าในตอนนี้มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด

ดังนั้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของ BMW ยังคงสามารถขายได้อย่างครอบคลุมกับความต้องการของเหล่าลูกค้า พวกเขาจึงยืนยันว่าตนเองจะยังคงขายรถยนต์ของตนเองทุกซีรีย์ ให้มาพร้อมกับรูปแบบขุมกำลังที่ครอบคลุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่อไป อย่างเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้ (เช่น i7/7, i5/5, iX3/X3, iX5/X5 เป็นต้น)

“อะไรก็ตามที่ยังขายได้ในตอนนั้น ก็อยู่ในแผนการตลาดของเรา” Körber กล่าวเสริม “สำหรับเรา, มันชัดเจนอยู่แล้วว่าการพัฒนา(ตัวรถ)สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก เพราะมันขึ้นอยู่กับข้อกฏหมาย และความต้องการของลูกค้า (ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา), และสำหรับในอนาคตที่เรายังพอคาดการณ์ได้, เราจะใช้วิธีการพัฒนาเทคโนโลยี(ผลิตภัณฑ์)ที่ยืดหยุ่น”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงสร้างรถที่มาพร้อมทุกรูปแบบขุมกำลัง ในไลน์ผลิตเดียว”

และ Körber ยังระบุอีกว่า ข้อดีของการขึ้นไลน์ผลิตในลักษณะดังกล่าว ยังทำให้ “บริษัทไม่จำเป็นต้องปิดโรงงานเพื่อลดกะการทำงาน” เพราะหากตลาดเปลี่ยนไปยังอีกทางเลือกขุมกำลังหนึ่งพวกเขา ก็สามารถ “ปรับไลน์ผลิตไปยังรถอีกขุมกำลัง” ได้เลยในทันที