เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า แรงม้าที่วัดได้จากล้อ ย่อมมีตัวเลขน้อยกว่าแรงม้าที่ผู้ผลิตเคลมไว้ในโบรชัวร์ เพราะเกิดจากการวัดค่าคนละตำแหน่ง แต่นั่นคงไม่บ่อยเท่าไหร่นัก ที่เราจะพบว่ามันมีตัวเลขต่างกันถึงหลักร้อยกว่าตัว เหมือนกับเจ้า 2023 Ford F-150 Raptor R โคตรกระบะคันนี้
2023 Ford F-150 Raptor R ถูกเคลมโดยบริษัท Ford ว่า แม้ขุมกำลังเครื่องยนต์ V8 5.2 ลิตร พ่วงซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ของมัน ที่ถูกยกมาจาก Ford Mustang GT500 จะได้รับการปรับจูนใหม่ให้ทำแรงม้าได้น้อยลง แต่มันก็ยังคงสามารถทำตัวเลขได้ถึง 522 กิโลวัตต์ หรือ 700 HP อยู่ดี เมื่อวัดที่เพลาข้อเหวี่ยง เช่นเดียวกับแรงบิดสูงสุด ที่มีตัวเลขมากถึง 868 นิวตันเมตร
ขณะที่ในส่วนระบบส่งกำลังเอง ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ถูกดัดแปลงและออกแบบใหม่ ให้สามารถส่งกำลังไปยังชุดล้อทั้ง 4 ที่ใช้ยางขนาดใหญ่ถึง 37 นิ้ว แบบ AWD ได้ ตามฉบับของรถกระบะตระกูล Raptor
ทว่าจากเหตุผลในเรื่องของระบบส่งกำลัง จึงทำให้ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นตัว”กินแรง”เครื่องยนต์ไปมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อช่องสื่อฯ Late Model Restoration (LMR) ในระบบยูทูป นำรถ 2023 Ford F-150 Raptor R ไปลองวัดพละกำลังบนเครื่องไดโน่ ผลปรากฏว่าเลขที่ได้นั้นกลับมีความแตกต่างพอสมควร เมื่อเทียบกับตัวเลขที่ทางค่ายเคลมเอาไว้
เนื่องจาก ผลที่ได้จากการทดสอบ แม้ทางสื่อฯช่องดังกล่าว จะได้ทำการทดสอบโดยปรับให้รถส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปขับเคลื่อนเฉพาะล้อหลังเท่านั้น (ลดอัตราการสูญเสียพลังลงจากการส่งกำลังไปขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า) และยังทดสอบด้วยเกียร์ 5 ซึ่งเป็นอัตราทดเกียร์ที่เครื่องยนต์สามารถส่งกำลังมายังชุดล้อได้แบบตรงไปตรงมามากที่สุด (เพราะเป็นอัตราทดเกียร์แบบ 1 : 1)
แต่ตัวเลขแรงม้าที่ได้ กลับหล่นลงมากมากถึง 120 ตัว จากที่เคลม เหลือ 580 HP และแรงบิดสูงสุด ก็ลดลงมาอีก 145 นิวตันเมตร เหลือ 723 นิวตันเมตร
ทั้งนี้ แม้หากมองที่ตัวเลขแบบบวกลบกันตามปกติ อาจจะดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าหากลองมองตามหลักความเป็นจริง ที่ว่าเจ้า Ford F-150 Raptor R ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานเชิงบุกตะลุยพื้นทรายเป็นหลัก ซึ่งต้องมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนที่เน้นความแข็งแรง ทนทาน มากกว่าความเบา
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่พละกำลังเครื่องยนต์จะถูกลดทอนลงไปมาก เมื่อมันต้องถูกส่งผ่านระบบขับเคลื่อนที่มีน้ำหนักมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งชุดล้อยางสุดใหญ่โต หรือถ้าคำนวนเป็นอัตราส่วนการหายไปของพละกำลังแล้วได้ตัวเลข 20% จึงถือว่ามันก็ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่เข้าใจได้อยู่
ติดก็ตรงที่ นี่ยังไม่ใช่ตัวเลขที่มากที่สุด เพราะอย่างที่เราบอกไปว่า พวกเขาไม่ได้วัดเมื่อรถใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่จะมีอัตราการกินแรงเครื่องยนต์มากขึ้นกว่านี้อีกพอสมควร