หลังมีข้อมูลหลุดออกมาเมื่อกลางปี ล่าสุดตอนนี้ทางค่ายก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่า Ford Ranger Super Duty จะถูกทำออกมาขายจริงแน่นอนในอีก 2 ปีข้างหน้า
จากข้อมูลโดย Ford ประเทศไทย ระบุอย่างชัดเจน พร้อมขึ้นภาพทีเซอร์ของ Ford Ranger Super Duty จะพร้อมวางจำหน่ายและเปิดตัวเป็นที่แรกในประเทศออสเตรเลียช่วงปี พ.ศ. 2569 หรือปี พ.ศ. 2026 โดยมีฐานการผลิตหลักเป็นประเทศไทยของเรา เพื่อส่งออกรถไปวางจำหน่ายทั่วโลก
โดยแม้ทางค่ายจะไม่มีการระบุข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับตัวรถเพิ่มเติม แต่ด้วยการพ่วงรหัส “Super Duty” เข้าไปหลังชื่อรุ่น ย่อมหมายความว่าพวกเขาจะทำการอัพเกรดตัวรถ Ford Ranger ในด้านสมรรถนะการบรรทุก รับน้ำหนัก และการลากจูงของตัวรถ ให้สูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งหลายคนอาจเคยได้เห็นและคุ้นชินกันอยู่แล้ว ในกระบะม้างานรุ่นใหญ่กว่า อย่าง F-250 Super Duty รวมถึง F-350/F-450/F-550/ และ F-600 ที่วางจำหน่ายในประเทศบ้านเกิดของแบรนด์
และหากอิงจากข้อมูลที่หลุดมาก่อนหน้านี้ ตัวเลขระดับขีดความสามารถของ Ranger Super Duty ก็คาดว่าจะถูกอัพเกรดให้อยู่ในระดับราวๆ 4,500 กิโลเมตร ในส่วนของน้ำหนักการลากจูงสูงสุด, 4,500 กิโลกรัม ในส่วนของน้ำหนักบรรทุกสูงสุด (ซึ่งถือว่าเยอะกว่ารถกระบะที่เราใช้กันทั่วไปกว่าตัว 3 เท่า), และ 8,000 กิโลกรัม ในส่วนของน้ำหนักบรรทุกและน้ำหนักลากจูงสูงสุดรวมกัน
โดยตัวเลขทั้งหมดนี้ จะเป็นตัวเลขที่ทำได้โดยตัวรถสเป็คเดิมๆจากโรงงาน ซึ่งถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก และคาดว่าจะเหมาะกับเหล่าผู้ใช้กระบะขนส่งสินค้าในไทยมากเลยทีเดียว
ด้านวิธีการปรับปรุงตัวรถ ให้สามารถรองรับการใช้งานแบกหามของหนักในระดับดังกล่าว ก็แน่นอนว่าจะต้องมาจากทั้งการเสริมความแข็งแรงแชสซีย์ ระบบช่วงล่างเป็นหลัก และแน่นอนว่าจะต้องรวมถึงการปรับปรุงระบบส่งกำลัง รวมถึงขุมกำลัง ซึ่งอาจจะเป็นการปรับจูนเครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร เทอร์โบ ให้มีแรงบิด แรงม้าสูงขึ้นจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือไม่แน่ว่าอาจเป็นการยัดขุมกำลังลูกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมอีกก็เป็นได้
ส่วนการปรับปรุง หรือการตกแต่งตัวรถภายนอก ณ ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุข้อมูลอื่นใดเพิ่มเติมได้ นอกจากภาพที่เราเห็นกันจากทีเซอร์โดยทาง Ford ซึ่งเผยให้เห็นว่าตัวรถจะใช้ไฟหน้าแบบเดียวกับ Ranger รุ่น Sport ลงไป มาพร้อมกับกระจังหน้าแบบใหม่เฉพาะตัว และได้ชุดคิ้วซุ้มล้อขนาดใหญ่ ซึ่งเผลอๆอาจทำให้ตัวรถดูกว้างกว่า Ranger Raptor เสียอีก ซึ่งเข้าใจได้ว่าอาจมาจากการขยายความกว้างของฐานล้อด้านข้างออก เพื่อให้ตัวรถมีความมั่นคงมากขึ้นในตอนแบกสัมภาระหนักๆนั่นเอง
