ท่ามกลาง กระแสตลาากระบะที่กำลังหดตัวลง จากเหตุผลบางประการในปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ฟอร์ด กลายเป็นค่ายชอบทำอะไรสวนทาง ด้วยการเปิดตัวรถระดับไฮเอนด์ มาตอบโจทย์
หนึ่งในนั้น ก็คือ Ford Ranger V6 ที่ถูกปรับเข้ามาขายในไทย หลังจากมีคนจำนวนมาก ถามหา ขายออสซี่ แล้วทำไมไม่ขายไทย วันนี้มาถึงไทยเรียบร้อย อย่างชื่นมื่น
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ ผมเคยไปลองขับ เจ้า Ford Ranger V6 มาแล้วที่เชียงใหม่ ได้เข้าใจตัวรถมากพอตัวในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะ จุขายหลักของรถ เรื่องพละกำลัง การตอบสนองการขับขี่ ที่ถือว่าทำออกมาตรงโจทย์มากขึ้น
ผ่านมาก็หลายเดือน ในวันนี้ตัดสินใจจะมาลองอีกครั้งในรูปแบบการใช้งานจริง และชี้ชะตาว่า รถคันนี้ อาจจะเป็นคู่ใจผมคันใหม่หรือเปล่า
ก่อนอื่น Ford Ranger V6 ถูก บรรจุในรุ่นย่อย Wildtrak ทางฟอร์ด จัดการ นำมันมาแทนที่ รุ่น เครื่องยนต์ 2.0 เทอร์โบคู่รุ่นเดิม ที่เคยได้รับการซูฮก และนิยมจากลูกค้าชาวไทย
ส่วนตัว กระบะเครื่องเทอร์โบคู่ ตอนนี้ ถูกสับหว่าง ให้เหลือเพียงใน Stormtrak เท่านั้น ถ้ายังมองหา ต้องการ ก็สามารถเลือกได้
ตัวรถในปี 2024 มีการถอดสี Sodena Orange ทิ้งไป เนื่องจากไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไร ทางฟอร์ด คงเหลือ 3 สีไว้ทุกข์ และ สีประจำรุ่น Luxe Yellow ออกแนวสีเหลือง อมทอง จนผมตั้งชื่อเจ้า เรนเจอร์ วี 6 ว่า น้องทองดี
กายภายนอก มีเพียง 2 อย่างที่บอกว่า มันคือ V6 อย่างแรกครับ ชุด ล้อขนาด 20 นิ้ว ลายเดียวกับ Ford Everest Wildtrak ถูกโยนเข้ามาใช้ในรุ่นนี้
อีกอย่างก็จะเป็น ตราข้างรถ ตรงซุ้มล้อหน้า ที่จะบอกคุณว่า นี่คือ V6 แต่ก็อีกนั่นแหละ สีตรา ดันทำเป็นสีดำ ซึ่งส่วนตัว ผมกลับชอบตราให้มันเป็นสีเงินมากกว่า มันน่าจะดูดีกว่า
ด้วยการวิจัยตลาดที่ตีโจทย์ ออกมาว่า คนขับกระบะชอบลุคดุดัน แถมยังวางในไวล์ดแทรค หน้าตาตัวรถ ก็เลยออกในแนวทางเดิม กระจังหน้าดำ มีสปอร์ตบาร์ข้างหลัง เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มันเลยไม่ได้เด่นเป็นสง่าเท่าไรนัก
ภายใน เข้ามาแล้ว ก็เรียกว่า เหมือนเดิม จงทุกประการ จะมีอย่างเดียวที่ คนส่วนอาจจะแทบไม่ทันสังเกต นั่นคือคันเกียร์ไฟฟ้า ใส่มาแล้วในรุ่นนี้ โดยคันเกียร์ไฟฟ้ากลายเป็นจุดขายสำคัญของฟอร์ด บางคนอาจจะคิดว่ามันมีดีแค่สวยงาม แต่จริงๆ ยังปลอดภัยด้วย
เช่น คุรขับรถมา แล้วเกิดเบลอด เปิดประตูลงจากรถ โดยยังเข้าเกียร์ D ข้างอยู่ คันเกียร์ จะปรับ มาตำแหน่ง P ให้เอง ซึ่งน่าจะถูกใจ ใครหลายคนมากมายอย่างแน่นอน
ลองใช้งานจริง อัตราเร่งเป็นอย่างไร
ใต้เรือนร่าง Ford Ranger V6 Wildtrak มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V 6 3.0 ลิตร เทอร์โบเดียว ในรหัส Lion เจ้าสิงโตรหัสร้อนบล็อกนี้ เคยประจำการใน Ford F-150 มาแล้ว วันนี้ มันถูกโยนมาใส่ เรนเจอร์ ตอนพลังขับลงมาบ้าง เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดตัวรถ
เรื่องกำลังวังชา ตั้งแต่ ลองครั้งแรกที่เชียงใหม่ ผมก็ไม่มีปัญหาใดๆ มันขับดี กว่า 2.0 เทอร์โบคู่ ที่ฟอร์ด เคยเชิดหน้าชูตา ตามภาษ เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ต่อยหนัก
แต่ประเด็น อยู่ที่ว่า นิสัยเครื่องใหญ่ 6 สูบ คนไทย จำนวนมากไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไรนัก มันออกตัวไม่กระฉับกระเฉง ว่องไวเท่าเครื่องยนต์ 4 สูบ แต่พอวิ่งลอยตัวปุ๊ป ทีนี้กดเป็นมา ใช้ยาวๆ ไปจนถึงรอบสูงได้อย่างสบายๆ
ถ้าจะคุยกันที่เรื่องตัวเลข อัตราเร่ง เจ้า Ford Ranger V6 ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ในบรรดา กระบะท๊อปคลาส ที่ขายกันในวันนี้ ส่วนใหญ่ ตัวเลข จะอยู่ราวๆ 11-12 วินาที แล้วแต่ว่า ยี่ห้อ พลังขับเท่าไร
เจ้า เรนเจอร์ วี 6 เป็นรถรุ่นแรก ทุบกำแพงเลขตัวเดียวกลุ่มกระบะใช้งาน หากเราไม่นับแรพเตอร์เบนซิน ที่ได้รับความสนอกสนใจ จากขาซิ่งทั้งหลาย
ในการลองของผม แบ่ง เป็น 2 โหมด คือขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4A
ในการลองโหมด 2 ล้ออัตราเร่ง 0-100 จะได้ราวๆ 9.6 วินาที และ 80-120 ก.ม./ช.ม. จะอยู่ที่ 6.5 วินาทีโดยประมาณ
พอปรับ มาเป็น อัตราเร่ง ในโหมด 4A ผล คือ อัตราเร่ง ลดลงอีก 0.3 วินาที สามารถ 0-100 เร็วขึ้นเป็น 9.3 วินาที เทียบกับ ขนาดและน้ำหนักตัวรถ ราวๆ 2.3 ตัน ถือว่า มันเร็วแล้วแหละครับ อาจจะเร็วมที่สุดในกระบะเดิมๆจากดรงงาน
แต่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเร็ว มาจากนิสัยเครื่องยนต์ 6 สูบ ที่ต้องเดิน ช่วงรอบกำลังขึ้นไปถึงรอบสูง เมื่อประกอบกับ มันติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดมาด้วย ก็เลยทำให้ มันค่อนข้างจะนุ่มนวลไปสักหน่อย คุณอาจไม่รู้สึกว่า 250 ม้า เร่งแรงแซงสนุก แบบรถสปอร์ต
แต่มันอยุ่ตรงนั้นพร้อมใช้ เมื่อกดคันเร่งลงไป เจ้านี่ ก็พร้อมให้คุณมันส์ในทุกเส้นทางเสมอ
อัตราประหยัดรับได้
ทางด้านอัตราประหยัด เป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่หลายคนถามหา ตั้งแต่ได้ลองในหนก่อน งวดนี้ ผมลอง ทดสอบดู โดยแบ่งขับ เป็น ระหว่างในเมือง และ การเดินทางไกล หรือ นอกเมืองดู ตามวิธีการใช้งานจริงหลายคน
โอเคร ในความจริงคือ คุณอาจไม่ได้ ซื้อรถแบบ V6 ไว้ขับใช้งานในเมืองเท่าไรนัก แต่ถ้าวันใดจำเป็นต้องไปขับรถเข้าเมือง จากที่ผมลองขับ จากเสน้ศรีนครินทร์กลับบ้าน ย่านคลองหลวง เป็นแนว Extra Urban หรือ ชานเมืองเข้าเมือง
Ford Ranger V6 คันนี้ มอบอัตราประหยัด 11.4 ก.ม./ลิตร จากการเติมคืนถังจริง จนผมต้องลองซ้ำอีก 2-3 รอบ เพื่อเช็คให้ชัวร์ ว่าข้อมูลถูกต้อง
สาเหตุที่ มันสามารถทำอัตราประหยัดได้ดี ก็มาจากการติดตั้งระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราว ซึ่งใน เครื่องยนต์ 2.0 เทอร์โบคู่ไม่มี และระบบนี้ทำงานค่อนข้างเร็ว
ทันทีที่คุณขับมาถึงความเร็วต่ำรถหยุดปั๊ปเครื่องดับปุ๊บ ไม่เสียเวลา รีรอพร้อมทำงานอยู่เสมอ
นอกจากนี้ ระบบนี้แม้ว่าคนไทย จะขยาด ไม่ชอบมาแต่ไหนแต่ไร ทำงานเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับรถสั่นเป็นเจ้าเข้าตลอด พอระบบนี้มาอยู่ในเครื่องยนต์ 6 สูบ มันกลับทำได้ดี ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ ค่อนข้างนิ่งในยามสตาร์ทเริ่มการทำงาน คุณจึงไม่รู้สึกกังวล กับระบบนี้ในการใช้งานนัก
ด้านการเดินทางไกล Ford Ranger V6 ทำอัตราประหยัด ได้ดีเกินคาด จากที่ลองขับเดินทางไกลยาวๆ ดู มันทำอัตราประหยัด 10.88 ก.ม./ลิตร ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ เมื่อแลกกับพลังขับ ความมั่นใจ ตัวเลขนี้ ไม่ได้ขี้เหร่เลย
เท่าที่สังเกต ทางวิศวกร จะพยายามเซทให้รอบเดินนิ่งช่วง 2000 รอบต่อนาที ในระหว่างการขับขี่ รอบเครื่องจะเปลี่ยนน้อยมาก เว้นเราจะย่ำเท้าลงไปจริงจัง ชุดเกียร์จะเปลี่ยนลงไป 2-3 อัตราทด แล้วพาเราบินไปบนถนนอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยามขับขึ้นเขา ตั้งแต่รอบที่แล้ว ชุดเกียร์ จะพยายามลากสุดกำลัง ไม่ยอมเปลี่ยนอัตราทด ยกเว้นว่า กำลังไม่พอจริงๆ ซึ่งก็ต้องเป็นเนินชัน ถึงชันมาก
ในงวดนี้ ผมอาจจะยังไม่ได้ทดลองขับ รถทางไกล ขึ้นเขาลงห้วย ซึ่ง น่าจะโชว์ให้เห็นศักยภาพของมัน มากกว่านี้อีก รวมถึง อัตราประหยัดที่อาจจะไม่ได้ซดมาก อย่างที่เราคิด
และจากอัตราประหยัดที่เราเห็น ได้ทดสอบ ถ้าเทียบกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ในอดีต 5 สูบ 3.2 ลิตร ที่เคยทำตลาดตอบลูกค้าชาวไทย อัตราประหยัด Ford Ranger V6 ทำอัตราประหยัดดีขึ้นราวๆ 17 % เลยทีเดียว ซึ่งก็น่าจะมีส่วนมาจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ และ ชุดเกียร์ใหม่ เมื่อเทียบกับ รุ่นเดิมที่ยังเป็นเพียงเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เท่านั้น
ช่วงล่างเป็นกระบะ สิ่งที่ตกม้าตาย
อย่างไรก็ดี ,ผมเองกล้าบอกกับทุกคนว่า ส่วนตัว สนใจ Ford Ranger V6 มากๆครับ ตอนนี้ที่บ้านรถอเนกประสงค์ เริ่มไม่พอ มีลูก มีกิจกรรมเยอะขึ้น รถกระบะกลายเป็นคำตอบในใจขึ้นมาทันที
ยอมรับว่า ตอนไปขับที่เชียงใหม่ ชอบมาก เครื่องยนต์ตัวนี้ ขับสนุกขับมันส์ นิ่งด้วย อยากได้สุด การรีวิวยืมเดี่ยวครั้งนี้ จึงตั้งใจว่าเอารถมาให้ภรรยานั่ง เผื่อจะมีน้องหใม่เข้ามาบ้านในช่วงปลายปีนี้
ช่วงล่างของ เรนเจอร์ วี 6 ถ้าถามว่า มันปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง ก็ต้องบอกว่าจริงๆ แทบไม่ต่างจากเดิม ช่วงล่างด้านหน้า แบบ ปีกนกอิสระ 2 ชั้น ด้านหลัง ยังเป็นแหนบหลายแผ่นซ้อน โช๊คอัพ Monotube ติดตั้งด้านนอก
งวดนี้ ฟอร์ด ตัดสินใจ อัพคอม้าอลูมิเนียมเข้ามา เพื่อลดน้ำหนักใต้สปริง หรือ Un Sprung Weight ทำให้การตอบสนองตัวรถดีขึ้น
ถามว่าขับแล้วดีกว่า รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรใหม่ ตอบเลยว่าดีกว่า ช่วงล่างดูนุ่มนวลขึ้น กลายเป็นกระบะขับสบายเหมือนเดิม
ทว่าด้วยการอัพล้อ มาเป็นขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางแก้มบางลง ทำให้ในบางจังหวะ จะรู้สึกว่ารถดูตึงตังมากขึ้น ไม่สบายเหมือน รุ่นล้อ 18 ที่ นั่งสบายกว่านี้
ถ้าคุณเป็นคนขับตอนหน้า ก็ถือว่ารับได้ กับอาการสะเทือนที่เกิดขึ้น แต่แล้วการโดยสารตอนหลัง ล่ะ นั่นกลายเป็นปัญหาในชีวิตผมทันที
ต้องยอมรับว่า รถกระบะใ่วงล่างแหนบ เพื่อตอบสนองในการบรรทุกสิ่งของ จากอดีต จนถึงปัจจุบัน และด้วยข้อบังคับของหน่วยงานรัฐ ทำให้กระบะสี่ประตูบ้านเรายังใช้แหนบเสียส่วนใหญ่ จะมีก็ฟอร์ด แหกม่านประเพณี ทำแรพเตอร์ ออกมานี่แหละ
ช่วงล่างแหนบ มีข้อเสียคือมันสะเทือนมาก เวลาตกหลุมกระแทก หรือ คุณกระโดดคอสะพาน แล้วยิ่งคันนี้ใส่ล้อ 20 มาด้วย ทำให้ผู้นั่งโดยสารตอนหลังรู้สึกสะเทือนนั่งไม่สบาย ยิ่งตอนนี้ภรรยาผม ต้องนั่งกับเจ้าตัวเล็กทางด้านหลัง ใช้คำว่าบ่นอุบ
ต้องยอมรับว่า ช่วงล่างแหนบกับล้อ 20 นี่มันไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ ต้องยอมรับข้อนี้ แม้ว่าเหมือนจะเป็นความหวังดี อยากให้มันดูพิเศษ ล้อใหญ่ดูลงตัวขึ้น แต่พอในแง่การใช้งานจริงการโดยสาร มันกลับกระแทกสะทือน จนในสายตาคนนั่ง กระบะคันนี้ ถึง จะนิ่งแต่ เรื่องความสบายในการโดยสารสอบตก
อาจจะด้วยว่า ครอบครัวผม เคยนั่งแรพเตอร์มาก่อนแล้ว มันนั่งสบายกว่า ในแง่การโดยสาร เมื่อมาเจอ เรนเจอร์ช่วงล่างแหนบ ก็เลยรู้สึกว่ามันสะเทือนไปสักหน่อย
4A ระบบขับสี่จริงๆที่ควรเข้าใจ
ถึงแม้ช่วงล่างจะทำให้มันสอบไม่ผ่านสายตา ภรรยาผมที่ยังมองว่า ยังไง มันก็คือช่วงล่างกระบะอยู่ดี
แต่กลับมาว่ากันที่การขับขี่ สิ่งที่ Ford Ranger V6 มีดี ติดปลายนวมมาด้วยก็หนีไม่พ้นเจ้าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4A นั่นเอง
ระบบ 4A เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเดียวกับที่ติดตั้งใน Ford Ranger Raptor และ Ford Everest สาเหตุที่ทางฟอร์ด ใส่เข้ามาในรุ่นนี้ เพื่อให้มันมั่นคงออกตัวมั่นใจ โดยเฉพาะสายลากจูง ต้องการอัตราเร่ง
ย้อนไปตอนทดลอง อัตราเร่ง ผมพบว่า ถ้าคุณปิดระบบ 4A อัตราเร่งจะเพิ่มขึ้น 0.3 วินาที ในโหมดขับเคลื่อนสองล้อ ถือว่าเป็นเวลาที่เร็วกว่าพอสมควร เพียงแค่เปิด/ ปิด ระบบเท่านั้น
ในการใช้งานจริงๆ ผมพบว่า ระบบจะช่วยขับสี่ ในช่วงออกตัว ไปจนถึง ความเร็วราวๆ 80-90 จากนั้น ระบบจะตัดเป็นขับเคลือนสองล้อ สำหรับการใช้งานในทางตรง
ส่วนการขับในทางโค้งจากที่ลองก่อนหน้านี้ พบว่า ระบบจะช่วยทำงานตลอดเวลา โดยดู การเดินคันเร่ง การคัดพวงมาลัย การโคลงตัวของรถ นับว่าดีมากๆ
สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ คือระหว่างที่ขับทดสอบหลายครั้งพบว่า ต้องขับท่ามกลางฝนตก เราคงคิดว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วยให้รถมั่นใจ และไม่เสียอาการง่ายๆ
หากความจริง ฝนไม่ได้มีผล กระตุ้นการทำงานของมัน ให้เป็นขับสี่ มันยังคงทำงานตามเงื่อนไขเดิม ถึงความเร็วก้ปรับเป็นขับสอง นั่นเท่ากับว่า เวลา คุณขับด้วยความเร็วเดินทางฝ่าฝน คุณขับด้วยโหมดขับสอง
นั่นต่างจากคู่แข่ง อย่าง มิตซูบิช ที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแปรผันได้ เพียงแต่จะต้องเลือกเองตามภาวะการขับขี่ ซึ่งระบบจะล็อกขับสี่ให้ และ ทำงานแบบ ระบบ All Wheel Drive
ระบบ 4A ของ ฟอร์ด เป็นระบบที่ต้องพูดว่าเป็นแนวก้ำกึ่ง มันไม่ได้ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา แต่ทำในช่วงที่เงื่อนไขกำหนด แล้วเงื่อนไขนี้ดันไม่รวมภาวะถนนลื่น เช่นในยามฝนตกถนนลื่น นับว่าน่าเสียดายมากๆ
อาจจะด้วยมองว่า น่าจะต้องเป็นหน้าที่ของระบบควบคุมการทรงตัวและป้องกันการลื่นไถล ทว่าด้วยอำนาจความสามารถของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ช่วยป้องกันการลื่นไถลได้ ถ้ามันถูกนำมาใช้อย่างถูกต้องก็นับว่า น่าสนใจจะดีไม่น้อย
สรุป Ranger V6 Wildtrak มีดีที่พลัง อย่างอื่นอยู่ที่มุมมอง
หลังจากลองขับ Ford Ranger V6 ตามการใช้งานจริง แม้จะโดนภรรยาปัดตกจากเรื่องช่วงล่าง จากความกระเทือนแบบกระบะ ผมว่ามันก็ยังเป็นกระบะที่น่าซื้อ
ด้วยความทรงพลัง ซุ้มเสียงที่แตกต่าง และความนิ่งขับสบายของรถรุ่นนี้เหมาะมาก กับใครที่มองหารถกระบะสักคันใช้เดินทาง
เรื่องช่วงล่างที่กระแทกสะเทือน ส่วนตัวผมมองว่ายังมีวิธีแก้อยู่ อาจจะเปลี่ยนล้อและยางใหม่เพื่อให้สอดรับมากขึ้น หรือ จะเปลี่ยนช่วงล่างใหม่ ใช้เงินแก้ปัญหากันไป ก็พอจะมีทางออกอยู่บ้าง
อย่างไรก็ดี ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ ของดีที่เข้ามาในรุ่นนี้ อาจทำให้หลายคน งุนงง กับ เงื่อนไข และ วิธีการใช้งาน มันก็มีดีในแบบของมัน แต่ในบางเงื่อนไขมันกลับไม่เป็นขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยเฉพาะกลางฝน ทั้งที่มันน่าจะทำได้ และด้วยความสามารถการแปรผันได้ด้วย ก็น่าจะช่วยมอบความมั่นใจในการขับขี่ดีขึ้น
ภาพรวม กับราคา 1,529,000 บาท ที่มีการปรับขึ้นมาล่าสุด Ford Ranger V6 กลายเป็นกระบะที่น่าใช้อีกรุ่นด้วยความครบครันแบบฟอร์ด ความลงตัวสมรรถนะ อาจจะมีบ้างที่มันยังต้องการคำว่าไปต่อ หากรวมๆ นับเป็นรถกระบะที่น่าใช้ อีกรุ่นที่มีขายในไทย