เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการสวยหรู กัน สำหรับรถกระบะ Ford Ranger ใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ หลังจาก 3 ปีที่แล้ว เคยปรับรุ่นปรุงโฉม ทำให้งานนี้หลายคนจับตามองอย่างมาก และวันนี้เราจะมาพาเพื่อนๆ ไปชมตัวรถในแต่ละรุ่นย่อย ที่เปิดตัวออกมาขายว่า มันแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงรุ่นไหนน่าจะคุ้มค่าน่าคบหา สำหรับคุณ
Ford Ranger 2018 – XL และ XL+
เริ่มต้นกันด้วยรุ่นปกติสำหรับการใช้งาน มอบความคุ้มค่าที่สุด สำหรับใครที่ยังอยากได้กระบะพันธุ์แกร่ง ตอบโจทย์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้วยราคาที่ไม่แพงจนเกินไป
Ford Ranger XL/ XL+ ตอบด้วยเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ลิตร VG Turbo ยกมาจากรุ่นก่อนหน้านี้ ให้กำลัง 160 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร
เรื่องการตบแต่ง มาพร้อม กระจังหน้า มือจับประตู และกระจกมองข้าง สีดำ กันชนหน้าโฉมใหม่และสีเดียวกับตัวรถ กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า (เฉพาะรุ่นโอเพ่นแค็บ) ติดตั้งมาพร้อมล้อกะทะเหล็กขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 215/70/R16
ส่วนในรุ่น XL+ โดดเด่นมากขึ้น ด้วย บันไดข้าง และ ล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้ว พร้อมยาง 255/70/R16
ด้านการตบแต่งภายใน เน้นพอดีในการใช้งาน จัดระบบปรับอากาศ ,เซ็นทรัลล็อก และ วิทยุเครื่องเสียง งวดนี้สามารถรองรับการเชื่อมต่อมาให้แล้ว และในรุ่นโอเพ่นแคป คุ้มค่าน่าใช้มากขึ้น ด้วยระบบกระจกไฟฟ้าสัมผัสเดียวด้านคนขับ (เฉพาะรุ่นโอเพ่นแค็บ)
ส่วนเรื่องความปลอดภัย มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า ,ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD พร้อม ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
XL
Standard Cab
Ford Ranger 2.2L Turbo XL 6 MT ราคาจำหน่าย 559,000 บาท
Open Cab
Ford Ranger 2.2L Turbo XL 6 MT ราคาจำหน่าย 599,000 บาท
XL+
Ford Ranger 2.2L Turbo XL+ Hi-Rider 6 MT ราคาจำหน่าย 649,000 บาท
Ford Ranger 2018 – XLS
จากรุ่นเริ่มต้น สูงขึ้นมาเป็น รุ่น XLS จุดเปลี่ยนสำคัญตทอ กระจังหน้า และกระจกมองข้าง สีเทามาพร้อมไฟตัดหมอกหน้า ให้ล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/70 R16 ได้ ไฟส่องสว่างกระบะท้ายกันชนหลังสีเดียวกับตัวรถ
โดยรุ่น XLS มีการแนะนำ รุ่นขับสองยกสูง Hi-Rider ตอบตลาด ซึ่งมีการติดตั้ง บันไดข้าง เพิ่มเข้ามา และ ล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/70 R16
ด้านในห้องโดยสาร ติดตั้งแปกรณ์ครบครัน มากว่ารุ่น XS เพิ่ม ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมติ Cruise Control ,กุญแจรีโมทแบบพับเก็บได้ บนหน้าปัดให้จอแสดงข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว และ สุนทรีย์ในการขับขี่ด้วย ระบบเครื่องเสียง CD/MP3 แผ่นเดี่ยว พร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ และ ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC
อีกทั้งยังมี จุดยึดสำหรับเบาะนั่งเด็ก ISOFIX (เฉพาะดับเบิ้ลแค็บ)
Open Cab
Ford Ranger 2.2L Turbo XLT 6 MT ราคาจำหน่าย 659,000 บาท
Ford Ranger 2.2L Turbo XLT Hi-Rider 6 MT ราคาจำหน่าย 699,000 บาท
Ford Ranger 2.2L Turbo XLT Hi-Rider 6 AT ราคาจำหน่าย 739,000 บาท
Double Cab
Ford Ranger 2.2L Turbo XLS Hi-Rider 6 MT ราคาจำหน่าย 789,000 บาท
Ford Ranger 2018 – XLT
ทางฟอร์ด เปิดเผยว่าในบรรดารถที่ขายดีที่สุดในกระบะ Ford Ranger รุ่น XLT ถือเป็นรถที่เติมเต็มความต้องการ และได้รับความนิยมมากที่สุดจากผู้ใช้
ในรุ่นนี้ ตัวรถแตกต่าง ด้วยโคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ ,ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ,ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ,กระจังหน้าโครเมียม และกระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้า รวมถึงยังติดตั้งล้ออัลลอยขอบ17 นิ้ว พร้อมยาง ล้อขนาด 265/65 R17
ภายในห้องโดยสาร เพิ่มกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ รวมถึงพวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง ด้านความปลอดภัย ให้ระบบสัญญาณเตือนกะระยะถอยหลังมาเพิ่มเติม
Open Cab
Ford Ranger 2.2L Turbo XLT Hi-Rider 6 MT ราคาจำหน่าย 749,000 บาท
Ford Ranger 2.2L Turbo XLT Hi-Rider 6 AT ราคาจำหน่าย 789,000 บาท
DoubleCab
Ford Ranger 2.2L Turbo XLT Hi-Rider 6 MT ราคาจำหน่าย 829,000 บาท
Ford Ranger 2.2L Turbo XLT Hi-Rider 6 AT ราคาจำหน่าย 869,000 บาท
Ford Ranger 2018 – Limited
ใน Ford Ranger รุ่นปรับโฉมปี 2018 ทางฟอร์ดได้เพิ่มรุ่นใหม่ “Limited” เข้ามา เสริมไลน์อัพสินค้า
จุดเด่นที่สำคัญของ Ford Ranger Limited อยู่ที่การติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว ให้กำลัง 180 แรงม้า ให้แรงบิด 420 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด
ไฟหน้าได้ชุดไฟหน้าแบบ HID พร้อมไฟ Day Time Running Light และมาพร้อมระบบไฟท้าย Easy Lift
ส่วนภายในห้องโดยสาร ได้กุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ สะดวกสบายด้วย ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา ,เบาะหนัง ,คอนโซลทำความเย็น Cool Box ,ระบบกุญแจ My Key มาพร้อม หน้าจอข้อมูลบนหน้าปัดแบบสี ขนาด 4.2 นิ้ว 2 จอ
ทางด้านเครื่องเสียง มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC™3 ภาษาไทย และจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
แง่ความปลอดภัย Ford Ranger XLT มาพร้อมระบบ ช่วยโทรฉุกเฉิน Emergency Assistance ติดตั้ง กล้องมองหลังขณะถอยจอด ,ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control ,ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HLA) ระบบช่วยการทรงตัวขณะลากจูง (TSC) และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (ROM) และติดตั้ง สัญญาณกันขโมย
ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเพิ่ม ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC และ เฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป ให้ความมั่นใจในการขับขี่ทางลุย
Open Cab
Ford Ranger 2.0 L Turbo Limited 4X4 6 MT ราคาจำหน่าย 889,000 บาท
Double Cab
Ford Ranger 2.0 L Turbo Limited Hi-Rider 6 MT ราคาจำหน่าย 899,000 บาท
Ford Ranger 2.0 L Turbo Limited Hi-Rider 10 AT ราคาจำหน่าย 949,000 บาท
Ford Ranger 2.0 L Turbo Limited 4X4 10 AT ราคาจำหน่าย 1,029,000 บาท
Ford Ranger 2018 – Wild Trak
เวอร์ชั่นแต่งพิเศษ งวดนี้ยังกลับมาเอาใจสาวกเหมือนเดิม กับ Ford Ranger Wildtrak พกความหล่อเหลาในตัวมาให้ได้ชื่นชมกัน
ตัวรถรุ่นนี้ จัดเต็ม ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะ
เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว VG Turbo intercooler ให้กำลัง 180 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลัง 213 แรงม้า ทำแรงบิด 500นิวตันเมตร ติดตั้งในรถรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อตอบโจทย์ทุกร่นด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential
ด้านรายละเอียดตัวรถเพิ่มเติมจากรุ่น Limited ด้วย ตัวตนความแกร่งดูสปอร์ต เสริมไฟตัดหมอก LED พร้อม ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ และสปอร์ตบาร์ – ราวหลังคา ครบครันด้วยพื้นปูกระบะที่มีช่องเสียบไฟ 12 โวล์ตมาให้
ในห้องโดยสารดูพิเศษด้วยชุดไฟ Ambient Light มาพร้อมช่องปลั้กไฟ 230 โวล์ต เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมการตบแต่งภายในเฉพาะรุ่น เครื่องเสียงเดิมเพิ่มเติมด้วยระบบนำทาง และยังมีฟังชั่นพิเศษ เฉพาะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ อาทิ ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ และระบบตัดเสียงรบกวนในขณะขับขี่
ส่วนเรื่องความปลอดภัยจัดเต็มพิกัด ถุงลมนิรภัยเพิ่มเป็น 6 จุด: คู่หน้า / ด้านข้าง / และม่านถุงลมนิรภัย พกสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า ตลอดจนเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ (Advanced- Driving Assist technology) หลายรายการ ได้แก่
– ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB)
– ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control)
– ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)
– ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System)
– ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System)
– ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control)
Ford Ranger Wildtrak 2.0 L 4X2 Hi-Rider ราคาจำหน่าย 1,029,000 บาท
Ford Ranger Wildtrak 2.0 L Bi Turbo 4X4 ราคาจำหน่าย 1,265,000 บาท
Ford Ranger 2018 – Raptor
ในรุ่นท๊อปออพชั่น Ford Ranger Raptor ที่เปิดตัวออกมาตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี ถือว่าเป็นรถที่ให้ความพิเศษครบครัน เปี่ยมด้วนสมรรถนะในการขับขี่เต็มพิกัด ตัวรถพัฒนาจากทีม Ford Performance ที่รับผิดชอบในการพัฒนารถสปอร์ตของบริษัท
ตัวรถพกเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลัง 213 แรงม้า ทำแรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมระบบเกียร์อัตโนมติ 10 สปีด เข้ามาตอบโจทย์ในการขับขี่
จัดเต็มสมรรถนะในการขับขี่ด้วยการพัฒนาโครงสร้างแชสซีใหม่รองรับการขับขี่อันหนักหน่วงตอบโจทย์ในเดินทางสายลุยหรือบนถนน ด้วยความพิเศษ ของระบบกันสะเทือนจาก Fox Racing ที่มีระบบการทำงานของชุดวาล์ว Internal By Pass ภายในโช๊คอัพ ใช้ลูกสูบขนาดใหญ่ 46.6 มม. รวมถึงระบบช่วงล่างหลังยังเปลี่ยนจากระบบโช๊คอัพพร้อมแหนบ ไปสู่ระบบคอยย์สปริง ติดตั้งวัตต์ลิงค์ ช่วยในการทรงตัวอันสมบูรณ์มากกว่าเดิม
และเพื่อตอบสนองในการลุยสูงสุด ยังติดตั้งชุดบังกันกระแทกใต้ท้องรถมาให้ ตัวแผ่นกันกระแทก ทำมาจาก วัสดุ HLSA
(High-Strength Low-Alloy) ความหนา 2.3 มม. รองรับได้ดี เมื่อมีการกระแทก จากการขับขี่ในเส้นทางสุดโหด
ทางด้านตัวตน Ford Ranger Raptor มาพร้อมการใส่รายละเอียดคงามบึกบึนเข้ามาเต็มพิกัด สไตล์ที่แตกต่าง เริ่มจาก ขนาดตัวรถที่มีความใหญ่โตมากขึ้น ด้วยความยาว 5398 มม. กว้าง 2,180 มม. และสูง 1,873 มม. ออกแบบให้ดูแข็งแกร่งบึกบึนในการขับขี่มากขึ้น เสริมภาพความแข็งแกร่งในการขับขี่ด้วยกระจังหน้าใหม่ โป่งหน้าถูกยืดออกมา ด้านละ 7.5 ซ.ม. เพื่อเพิ่มระยะกว้างระหว่างล้อเพิ่มขึ้น ช่วยในการทรงตัว ระหว่างการขับขี่ด้วยความเร็ว และติดตั้งชุดตะขอลาก ที่สามารถใช้การลากจูงได้สูงสุด 3.8 ตัน
และด้วยการตบแต่งสุดพิเศษดังกล่าว ทำให้ Ford Ranger Raptor มีความสามารถในการลุยเพิ่มยิ่งขึ้น โดยมีมุมไต่สูงสุด 32.5 องศา , มุมคร่อม 24 องศา และมุมจาก 24 องศา รวมถึง ระยะต่ำสุดจากใต้ท้องรถถึงพื้น เพิ่มเป็น 283 มม. จากรุ่นปกติ ตลอดจน ยังใช้ระบบควบคุมการลุยแบบ Terrain Management System ตลอดจนติดตั่งยาง All-terrain BF Goodrich ขนาด 285/70 R17
ทางด้านในห้องโดยสาร ตบแต่งเฉพาะในสไตล์สปอร์ต ด้วยเบาะนั่งพิเศษเฉพาะรุ่น หุ่มด้วยหนังกลับ Alcantara หยิบมาจากรถสปอร์ตชั้นนำ หลังพวงมาลัยพกระบบเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift รวมถึงตัวพวงมาลัย มีมาร์คบอกตำแหน่งกึ่งกลางพวงมาลัย เพื่อให้รู้ทิศทางควบคุม และเบาะฝั่งคนนั่งปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง มาพร้อมหน้าปัดควบคุมแบบหน้าจอดคู่ Dual TFT และเทคโนโลยีช่วยตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร พร้อมระบบเครื่องเสียงสั่งการด้วยเสียง Sync 3 ทำงานผ่านชุดจอดขนาด 8 นิ้ว
ด้านเทคโนโลยีช่วยเหลือในการขับขี่ให้มาอย่างครบครัน แต่อาจไม่ทันสมัยเท่ากับรุ่นปกติ ในรุ่นนี้จะไม่มีระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติมากให้ หากครบเครื่องด้วยระบบช่วยในการขับขี่ได้อรรถรสทุกเส้นทางได้แก่
-ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
-ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll Mitigation Function)
– ระบบลดอาการส่ายขณะลากจูง (Trailer Sway Control)
-ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control)
-ระบบควบคุมการบรรทุก (Load Adaptive Control)
ตลอดจน ยังพกฟังชั่นในเรื่องความปลอดภัยต่างๆ มากมาย เริ่มจาก ระบบป้องกันล้อล็อคและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD) , ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control)และระบบช่วยการออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) รวมถึง ยังมีถุงลมนิรภัย 6 ลูก บริเวณด้านหน้า ด้านข้าง และด้านข้างกระจก
ราคาจำหน่าย 1,699,000 บาท
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง นักทดสอบรถยนต์ และ คอลัมนิสต์ เว็บไซต์ Ridebuster.com ติดตามผลงานการเขียน และข้อมูลที่น่าสนใจได้ทาง Facebook
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com
[ngg_images source=”galleries” container_ids=”655″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”1″ thumbnail_width=”200″ thumbnail_height=”160″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”20″ number_of_columns=”3″ ajax_pagination=”1″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”0″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”sortorder” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]