เกรท วอล มอเตอร์ เผยแผนงานระยะกลาง เตรียมลุยตลาดเมืองไทยอีก 6 รุ่น ชี้ ปีที่แล้ว โต 11 % ขาย 12,840 คัน
นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของเราที่ได้เข้ามาจุดกระแสและผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม เราได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์และเรื่องราวน่าประทับใจมากมาย เราได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของคนไทย พร้อมนำรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ หรือ New Retail Business ด้วยนโยบายราคาเดียว หรือ One Price Policy มาปฏิวัติแนวทางปฏิบัติของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และเป็นมาตรฐานใหม่ของระบบการขายของผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเป็นแบรนด์แรกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังด้านรถยนต์พลังงานใหม่ และเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์แรก ๆ ที่ได้ลงนามกับกรมสรรพสามิตเพื่อเข้าร่วมนโยบายการส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้ง EV 3.0 และ EV 3.5 จน ORA Good Cat ได้ขึ้นแท่นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจดทะเบียนสูงที่สุดในประเทศไทยในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในปีที่ 3 ด้วยการบรรลุ Mission 9 in 3 หรือการเปิดตัวรถยนต์ครบ 9 รุ่น ภายในระยะเวลา 3 ปี อย่างงดงาม
สำหรับในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านทาง ทางบริษัท มียอดขายรถยนต์ทั้งสิ้น 12,840 คัน หรือ เติบโต 11% โดยปีทีผ่านมา ทางบริษัท ได้แนะนำ แบรนด์ใหม่ Tank เข้าเปิดตลากในประเทศไทย รวมถึง แนะนำ รถใหม่ ORA 07 เข้าทำตลาดด้วยเช่นกัน
หากนับ ตลอดระยะเวลา ในการดำเนินงาน GWM ประเทศไทย ได้ ส่งมอบรถไปแล้ว ทั้งสิ้น 28,158 คัน
โดยแบ่งเป็น
ORA Good CAT 10,820 คัน
Haval H6 9,679 คัน
Haval Jolion 6,953 คัน
Tank 500 296 คัน
Tank 300 292 คัน
ORA 07 118 คัน
นอกจากนี้ ทางบริษัท ยังชักชวน บริษัท ที่เกี่ยวเนื่องกับ การผลิตรถยนต์ของบริษัท เข้ามาตั้ง ซัพพลายเชนในประเทศไทย อาทิ บริษัท ผลิต แบตเตอร์รี่ SVolt เป็นตัวอย่าง
ขึ้นอันดับ 3 รถ xEV ในปี 2026
สำหรับ แผนงานระยะกลางของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในก้าวต่อไป ทางบริษัท ได้ตั้งเป้าในการขึ้นสู่อันดับที่ 3 ของ รถยนต์ประเภท ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน หรือ xEV ภายใน 2 ปี หรือ ในปี 2026
โดยต่อจากนี้ ทางบริษัท จะขยายไลน์อัพสินค้า ให้มีทั้งหมด 15 รุ่น จากปัจจุบัน ที่มีอยู่แล้ว 9 รุ่น ภายในปี 2025 พร้อมเตรียมแนะนำ รถยนต์ที่พรั่งพร้อม เทคโนโลยีใหม่ เข้ามา อาทิ ระบบ ขับเคลื่อน Hi-4 รวมถึง เตรียมจะแนะนำ รถยนต์ ที่พัฒนา บน Coffee Platform
ไม่เพียงเท่านี้ ทางบริษัท ยังให้ ความสำคัญกับ บริการหลังการขาย โดยจะเปิด พาร์ทเนอร์สโตร์ เพิ่มเป็น 101 แห่ง ในสิ้นปี 2024 จากปัจจุบัน ที่มีอยู่แล้ว 81 สโตร์ ครอบคลุม พื้นที่ 91% ในไทย พร้อมขยาย จุดให้บริการ G Charge อีก 55 แห่ง