Home » Lamborghini ไม่มีแผนทำ อเนกประสงค์ ที่นั่ง 3 แถว เพราะ “มันไม่ใช่ Lamborghini”
ข่าวต่างประเทศ ข่าวสารยานยนต์

Lamborghini ไม่มีแผนทำ อเนกประสงค์ ที่นั่ง 3 แถว เพราะ “มันไม่ใช่ Lamborghini”

Lamborghini Urus นับเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของแบรนด์ และด้วยความนิยมของมัน จึงทำให้หลายคนมองว่าทางแบรนด์ควรขยายไลน์อัพรถยนต์ในกลุ่มนี้เพิ่ม ทว่ามันอาจไม่เป็นเช่นนั้นได้ง่ายๆ

จากการให้สัมภาษณ์กับสื่อ CarSales.com.au นาย Federico Foschini หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและการขาย ของ Lamborghini ระบุว่า การทำรถอเนกประสงค์ที่ใหญ่ขึ้นกว่านี้จะทำให้มันดูไม่สปอร์ต “มันง่ายมากเลยที่จะทำให้มันดูใหญ่เกินไป” Foschini กล่าว “มันจะไม่ใช่ Lamborghini”

และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าทางค่ายจะเลือกทำรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กกว่า Urus ออกมา โดย Foschini ให้เหตุผลว่าทางแบรนด์ไม่สามารถทำผลิตภัณฑ์ที่เจ้าถึงทรัพยากรในการพัฒนาได้ยาก

และสำหรับเขาแล้ว Urus คือรถที่ “มีขนาดพอเหมาะ” แล้ว สำหรับการทำให้มันเป็นรถอเนกประสงค์ที่ “มอบประสบการณ์การขับขี่แบบรถซุปเปอร์สปอร์ต” และสิ่งที่เป็นตัวบ่งบอกถึง ความสมบูรณ์ของตัวรถ Urus ก็คือการที่ตอนนี้มันมียอดจองสะสมจนลูกค้าคิวหลังๆอาจต้องรอรับรถนานถึงปี 2026 กันเลยทีเดียว

โดยสาเหตุที่ทำให้ตัวรถมีความต้องการสูง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการที่ตัวรถรุ่นล่าสุด Urus SE มาพร้อมกับขุมกำลังปลั๊กอิน-ไฮบริด ซึ่งเป็นการผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 612 แรงม้า ร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 189 แรงม้า

ซึ่งเมื่อทั้งสองขุมกำลังทำงานร่วมกัน ก็จะให้แรงม้าสุทธิที่ 789 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดอีก 950 นิวตันเมตร ช่วยให้รถสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.4 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 312 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ายังรองรับระยะทางการวิ่งสูงสุด 60 กิโลเมตร/ชาร์จ และสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอีก 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือว่าตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้ดีเลยทีเดียว

นอกนั้นในส่วนของรถอเนกประสงค์อีกรุ่นอย่าง Lamborghini Lanzador เอง ก็มีขนาดตัวที่ไม่ต่างจาก Urus มากนัก เพียงแต่มันจะมาพร้อมกับหลังคาที่ดูมีความเป็นรถซีดานมากกว่า และยังมีการจัดสัดส่วนที่นั่งเป็นแบบรถแกรนด์ทัวร์ 2+2 ที่นั่ง ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าทางค่ายจะยังคงยึดมั่นในแนวคิดนี้ต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงปี 2029 ซึ่งเป็นปีที่ตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้วางขายจริงนั่นเอง

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.