การบุกตลาดรถยนต์ทั่วโลกโดยผู้ผลิตสัญชาติจีน ถือเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตสัญชาติอื่น โดยเฉพาะญี่ปุ่นต้องเตรียมการรับมือการยกใหญ่ แต่ดูเหมือนว่ามันอาจไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ Mazda ในออสเตรเลียต้องกังวลใจเท่าไหร่นัก

จากการให้สัมภาษณ์ของนาย Alastair Doak ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ Mazda Australia กับสื่อ Drive ถึงผลกระทบจากการเข้ามาของเหล่าผู้ผลิตสัญชาติจีนหน้าใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มีอาวุธการขายสำคัญคือเรื่องของราคาวางจำหน่ายที่จับต้องได้ง่ายกว่ารถยนต์แบรนด์ตนเอง รวมถึงแบรนด์อื่นๆที่มีอยู่ดั้งเดิมในตลาด ว่าน่ากลัว หรือน่าหวั่นใจมากน้อยแค่ไหน ?

“ตลอด 23 ปีที่ผมอยู่ที่นี่, เราก็ต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้ผลิตหน้าใหม่ หรือผู้ผลิตที่ผันตัวเอง ไม่ก็ผู้ผลิตที่ปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆมากมายโดยตลอดอยู่แล้ว”, “ดังนั้น, ถ้าคุณถามว่าเรากังวลมากน้อยแค่ไหน ?, ไม่เลย, มันก็แค่ส่วนหนึ่งของเกม (ที่เราต้องแก้อยู่แล้ว)” Alastair Doak กล่าว

“คุณแค่ต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้าให้ดีที่สุด, สิ่งหนึ่งที่เราพยายามทำอยู่ตลอดคือการอยู่กับเกม(การตลาด)ของเรา”, “ถ้าคุณเริ่มเหลือบมองไปข้างหลังในทุกห้านาที, คุณอาจจะสูญเสียเส้นทางของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว”

“เราจึงยึดมั่นกับ(แนวทาง)เกมของเราต่อไป, เราต้องการทำสิ่งที่เราจะทำให้เต็มที่ (ก็แค่นั้น)”

นอกจากนี้ ทางสื่อต้นทาง ยังสอบถามเพิ่มเติมถึงประเด็นการทำสงครามราคา ที่ด้วยปัญหาเรื่องต้นทุนค่าขนส่ง และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จนทำให้หากผู้ผลิตยังคงอยากได้กำไรเท่าเดิม พวกเขาก็ต้องเพิ่มราคารถที่วางขายไปโดยปริยาย และเป็นเหตุทำให้ผู้ผลิตสัญชาติจีน ยิ่งสามารถเอารถยนต์ของตนเองมาเสียบขายในช่วงราคาเดิมได้ง่ายขึ้น

แต่ในมุมมองของ Doak กลับระบุว่า จริงๆแล้วค่ายจีนเองก็ต้องยอมแลกกับการแบกยอดกำไรที่ต่ำลงเช่นกัน หากไม่ยอมขยับราคารถของตนเองให้ขายด้วยราคาที่ควรจะเป็น

“หลากหลายแบรนด์ที่คุณยกตัวอย่างมา, พวกเขาต่างมีการปรับราคาขายรถให้ถูกลง, แต่นั่นไม่ใช่ราคาที่พวกเขาควรจะตั้งขาย, ดังนั้นทุกคนต่างก็มีแรงกดดันจากปัญหาช่วงว่างระหว่างราคาเอากำไร กับต้นทุนที่สูงขึ้นคล้ายๆกัน”

ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังระบุอีกว่า “ด้วยเป้าหมายยอดขายของเรา ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องขายรถให้ได้ 100,000 คัน ภายในปีนี้, เรายิ่งไม่สามารถปรับราคารถให้อยู่ในจุดที่ไม่อาจยอมรับเช่นนั้นได้ (เพราะถ้าลดราคาลงไปสู้ อาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี)”

นอกจากการมองสถานการณ์ทางการตลาดที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย และเป็นเช่นนี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว กับเรื่องของการแบกต้นทุนการขายที่แม้ค่ายจีนจะกล้าลดราคาผลิตภัณฑ์ตัวเองลงได้ต่ำกว่า แต่ก็ต้องแบกส่วนต่างเพื่อเอากำไรได้ไม่ต่างกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้บริหารจาก Mazda ไม่กังวลใจถึงสถานการณ์การตลาดของตนเองในประเทศออสเตรเลีย ก็คือการที่ตอนนี้ยอดขายรถยนต์ของพวกเขายังคงดำเนินไปได้ด้วยดี และมีทีท่าว่าจะไปจบที่ราวๆ 100,000 คัน ได้จริงตอนสิ้นปีตามที่วางแผนไว้

โดยตอนนี้พวกเขามียอดขายสะสมในปี 2024 เป็นรองแค่เพียง Toyota และ Ford เท่านั้น และยังคงนำหน้าทั้ง Hyundai กับ KIA อยู่ ซึ่งอันที่จริงทั้ง 4 แบรนด์นี้ รวมถึงตัว Mazda เอง ก็มีการปรับราคารถยนต์ของตนเองสูงขึ้นเรื่อยๆตามต้นทุนการผลิตและการขนส่งอย่างชัดเจนในตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมานี้เช่นกัน

แต่ด้วยความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ต่อชาวออสเตรเลีย จึงทำให้เรายังเห็นว่าพวกเขายังคงสามารถทำยอดขายเป็นอันดับต้นๆของตลาดได้อยู่ดี แม้ตอนนี้ตลาดรถถยนต์ประเทศดังกล่าวจะถูกรุกหนักโดยผู้ผลิตชาวจีนแล้วก็ตาม