อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าในปัจจุบัน Mercedes-Benz ได้มีการวางจำหน่ายรถยนต์ซีดานระดับเรือธงถึง 2 แบบด้วยกัน นั่นคือ S-Class รุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม และ EQS รุ่นขุมกำลังไฟฟ้า โดยมีเพียงชื่อท้ายเท่านั้นที่ใช้ร่วมกันโดยตรง แต่หลังจากนี้มันอาจไม่เป็นแบบนั้น

เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์มีรูปแบบการพัฒนาที่ชัดเจน Mercedes ได้มีการเปิดเผยกับสื่อว่าพวกเขาวางแผนที่จะรวมรถยนต์ในตระกูล S-Class และ EQS เข้าไว้ด้วยกัน หลังจากที่ใช้แผนการทำตลาดแยกกัน นับตั้งแต่การเผยโฉม EQS ออกมาครั้งแรกเมื่อปี 2021 เพื่อให้ลูกค้าได้รู้จักรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์อย่างเฉพาะเจาะจงมาโดยตลอด

โดยแม้ Mercedes จะระบุว่าตอนนี้ลูกค้า รู้จักความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าของตนแบรนด์ได้ดีพอ จึงตัดสินใจค่อยๆปรับงานออกแบบของรถยนต์ในตระกูล EQ โดยเฉพาะ EQS ใหม่ ให้มีความใกล้เคียงกับรถ S-Class มายิ่งขึ้น โดยจะเห็นได้จากการปรับโฉมล่าสุดไม่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้

แต่เหตุผลที่แแท้จริงของการปรับรวบไลน์อัพรถยนต์ S-Class กับ EQS เข้าไว้ด้วยกัน คราวนี้ อาจมีเหตุผลจากเรื่องยอดขายของรถที่ไม่เป็นไปตามเป้ามากกว่า ไม่ว่าจะด้วยยอดขายรถยนต์ในกลุ่ม S-Class ที่ลดลงกว่า 22 % ในช่วงครึ่งปีแรก เมื่อเทียบกับปีก่อน และยอดขายของรถ EQS ที่ไม่ได้เปรี้ยงปร้างมากพอ จนใกล้กับคำว่ามันจะกลายเป็นรถที่สามารถสร้างยอดขายส่วนหนึ่งให้กับผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าแตะหลัก 50% ของแบรนด์ในปี 2025 ได้

ดังนั้น การรวบเอาตัวรถทั้ง 2 โมเดลมารวมเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้มันอาจช่วยลดต้นทุนในการทำตลาดได้ดียิ่งกว่า และอาจจะรวมถึงต้นทุนการผลิตก็ด้วย

เพราะแม้ข้อมูลเบื้องต้น จะระบุว่าตัวรถ S-Class และ EQS เจเนอเรชันใหม่ ที่จะถูกรวบไลน์อัพเข้าไว้ด้วยกัน จะยังคงถูกสร้างบนโครงสร้างพื้นฐานคนละแพลตฟอร์ม เพื่อความเหมาะสมกับรูปแบบขุมกำลัง และรูปแบบระบบขับเคลื่อน

แต่ชิ้นส่วนงานออกแบบภายนอก และภายในจะถูกทำให้สามารถใช้งานร่วมกันได้เกือบทั้งหมด ซึ่งมันจะช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาและการผลิตได้เป็นอย่างดี ซี่งอันที่จริง มันก็เป็นแนวทางเดียวกันกับที่แบรนด์คู่แข่งอย่าง BMW ใช้อยู่แล้วในการทำตลาด 5 Series กับ i5 และ 7 Series กับ i7

รวมถึงอาจทำให้ลูกค้าสามารถเปิดใจกับรถยนต์ซีดานไฟฟ้ารหัส “S” ได้ง่ายขึ้นด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา อาจมีลูกค้าหลายคนมองว่าการยังไงหากจะซื้อรถยนต์เรือธงจาก Mercedes ก็ควรเป็น S-Class แท้ๆไว้ก่อนดีกว่า

และในขณะที่กำหนดการ รวบเอารถยนต์ตระกูล S-Class และ EQS เข้าไว้ด้วยกัน คือช่วงปี 2030 ระหว่างนี้ทางค่ายก็จะทำการปรับโฉมตัวรถทั้ง 2 รุ่น เพื่อกระตุ้นยอดขายของเจเนอเรชันในช่วงครึ่งหลังของอายุตัวถังอีกหน่อยก่อน

โดยในฝั่ง S-Class ที่แต่เดิมมีแผนว่าจะถูกปรับโฉมในระดับ Minor Change ภายในปี 2024 แต้ต้องเลื่อนไปเป็นปี 2026 ก็ถูกระบุว่ามันจะมาพร้อมกับงานออกแบบด้านหน้าและด้านท้ายใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารก็จะมีการเพิ่มเทคโนโลยีขั้นสูง อย่างเช่นระบบขับอัตโนมัติเข้ามา ส่วนขุมกำลังเอง ก็แน่นอนว่าจะต้องถูกปรับจูนใหม่ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดยิ่งขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน แม้ EQS จะพึ่งถูกปรับโฉมเล็กด้วยเปลี่ยนเปลี่ยนหน้าตางานออกแบบภายนอก ภายในใหม่ และใส่ลูกเล่นทันสมัยใหม่ๆเข้ามาบ้างเล็กน้อย เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่แหล่งข้อมูลต้นทางก็ระบุว่ามันจะได้รับการปรับโฉม Minor Change ใหม่อีกครั้งภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยคราวนี้จะมาพร้อมกับการอัพเดทเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าไปในตัวรถเช่นกัน

แต่แม้จะไม่ได้เป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทว่าทาง Mercedes ก็อาจมีการปรับปรุงแพลตฟอร์มโครงสร้างตัวรถขนานใหญ่ ทั้ง การเปลี่ยนสถาปัตยกรรมระบบพลังงานเป็นแบบ 800 โวลต์ จากเดิม 400 โวลต์ เพื่อขีดความสามารถในการชาร์จประจุไฟที่เร็วขึ้น, แบตเตอรี่เปลี่ยนสูตรทางเคมีใหม่ เพื่อเพิ่มระยะทางในการใช้งานต่อชาร์จ, ปรับปรุงระบบขับเคลื่อนใหม่ ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และรวมถึงระบบส่งกำลังจากแบบเกียร์เดินหน้าสปีดเดียว เป็นเกียร์เดินหน้า 2 สปีด

ส่วนข้อมูลของตัวรถ S-Class ทั้งรุ่นขุมกำลังเครื่องยนต์สันดาปภายใน และรุ่นขุมกำลังไฟฟ้า 100% (ตัวแทน EQS) ที่ถูกระบุว่าจะเปิดตัวภายในช่วงหลังปี 2030 ทางสื่อต้นทางก็ระบุว่าในส่วนของแพลตฟอร์มโครงสร้างตัวรถที่เราระบุไว้ก่อนหน้านี้

หากเป็น S-Class รุ่นขุมกำลังสันดาปภายใน ก็จะยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานแพลตฟอร์ม MRA หรือ Modular Rear Architecture ที่ทาง Mercedes ใช้มานานตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันยังคงเป็นแพลตฟอร์มรูปแบบเดิมกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วในอีกราวๆ 6 ปีข้างหน้า แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาทางค่ายยังคงอัพเดท และปรับปรุงมันอยู่ตลอดเพื่อให้รถมีความทันสมัย และให้สมรรถนะในการใช้งานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ส่วน S-Class รุ่นขุมกำลังไฟฟ้า 100% ที่เป็นโมเดลคู่ขนานกัน ใช้เปลือกนอก-ใน เหมือนกันแทบทุกจุด ก็จะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม MB.EA Large architecture ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกระบุว่าทาง Mercedes ตัดสินใจพับโปรเจ็กท์ไป

แต่ในความเป็นจริงคือพวกเขาแค่เก็บมันไว้เพื่อนำงบส่วนหนึ่งมาพัฒนาเครื่องยนต์ให้เหล่ารถสันดาปที่ยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ให้สามารถอยู่รอดปลอดภัยในอนาคตที่เข้มงวดเรื่องมลพิษมากขึ้นเรื่อยๆก่อน

แล้วค่อยๆพัฒนาแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าแบบใหม่นี้ควบคู่กันไปด้วยเพื่อใช้กับรถตัวขายจริงที่จะทำตลาดในช่วงทศวรรษหน้านั่นเอง