ท่ามกลางนโยบายที่ต้องการนำเสนอรถยนต์ที่มาพร้อมกับขุมกำลังหลากหลายทางเลือก MG 4 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่ชาวไทยหลายๆคนให้ความสนใจ และล่าสุด เราก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าทางค่ายพร้อมแล้วที่จะเปิดรับจองมันในอีกไม่ถึงสัปดาห์จากนี้
MG 4 มาพร้อมจุดขายหลักคือการเป็นรถแฮชท์แบ็กพลังงานไฟฟ้าคันแรกของทางค่าย ประกอบกับงานดีไซน์ที่ดูหวือหวา ด้วยเส้นสายแบบใหม่ที่เน้นความโฉบเฉี่ยว ดุดัน เน้นความแหลมคม ในแบบที่ MG ยังไม่เคยใช้กับรถยนต์รุ่นอื่นใดของตนเองมาก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มเซกเมนท์เดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน (ขนาดตัวรถใกล้เคียงกับรถยนต์นั่งในกลุ่ม C-Segment) มักติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาให้ขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า แต่เจ้ารถแฮชท์แบกไฟฟ้าคันนี้ กลับใช้มอเตอร์ไฟฟ้าไปขับเคลื่อนล้อหลัง โดยที่ตัวเลือกพละกำลังต่ำสุดก็มีตัวเลขมากถึง 170 แรงม้า PS แล้ว สำหรับตัวรถรุ่นเริ่มต้นในทวีปยุโรป
ซึ่งหากแค่นั้นยังแรงไม่พอ ก็มีออพชันรุ่นที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 204 แรงม้า PS ให้เลือกซื้อกันอีก โดยที่แรงบิดสูงสุดของขุมกำลังทั้งสองระดับยังคงมีตัวเลขเท่ากันคือ 250 นิวตันเมตร ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ไวสุดภายในเวลา 7.7-7.9 วินาที แล้วแต่รุ่นย่อย
ด้านตัวแบตเตอรี่ที่ให้มา ก็จะมีตั้งแต่ขนาด 51 kWh ที่สามารถรองรับระยะทางในการวิ่งสูงสุด 350 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP สามารถชาร์จไฟแบบ DC (117 kW) จาก 10-80% ได้ไวสุดใน 40 นาที สำหรับรุ่นเริ่มต้น และยังมีรุ่นที่ใช้แบตฯขนาด 64 kWh ที่สามารถรองรับระยะทางในการวิ่งสูงสุด 435-450 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP สามารถชาร์จไฟแบบ DC (135 kW) จาก 10-80% ได้ไวสุดใน 35 นาที
ฝั่งระบบความปลอดภัยขั้นสูง หรือ ADAS ที่ทางค่ายเรียกว่า MG Pilot ที่ให้มาก็จัดว่าครบครัน ทั้ง Adaptive Cruise Control (ACC), Automatic Emergency Braking (AEB), Intelligent High Beam Control (IHC), Speed Assistance System (SAS), Traffic Jam Assistance (TJA), Unsteady Driving Warning (UDW), Lane Departure Warning (LDW), Lane Keep Assistance (LKA) ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานติดรถ
ส่วนระบบ Emergency Lane Keep (ELK), Lane Change Assistance (LCA), Blind Spot Monitoring (BSM), Rear Cross Traffic Alert (RCTA) และ Rear Collision Warning Door Opening Warning (DOW) จะเป็นออพชันเฉพาะรุ่นบนสุดเท่านั้น
โดยจากข้อมูลล่าสุดที่เราได้รับมา ระบุว่าตัวรถ MG 4 ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีแผนการนำไปทำตลาดในหลายประเทศทั่วโลกกว่า 6 ทวีป ซึ่งภายในสิ้นปีนี้ก็จะประเดิมกันก่อนกับเหล่าประเทศในทวีปยุโรป ได้แก่ ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ก ฯลฯ
หลังจากนั้นในปี 2023 ก็จะมีการทยอยนำไปเปิดตัวและวางจำหน่ายใน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาใต้ และสุดท้ายก็คือประเทศไทยของเรา ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่า การเปิดรับจองตัวรถ จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน ผ่านระบบออนไลน์ทาง MG THAILAND Application และ https://www.mgcars.com ส่วนเวลาที่แน่ชัด ยังไม่มีการเปิดเผย แต่คาดว่าจะมีการอัพเดทอีกครั้งในเร็วๆนี้