ตั้งแต่มีกระแสข่าวว่า nissan Serena จะเข้ามาขายในไทย ก็มีหลายคนให้ความสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายครอบครัวทั้งหลายที่ต่างรุ่นให้ รุ่นไฮบริด Nissan Serena e-Power เข้ามาขายในไทย
การไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่นของผม ใเดือนตุลาคม 2024 ปีนี้ มีโอกาสได้สัมผัส Nissan Serena e-Power ก่อนที่มันจะขายจริงในไทย แม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่า นิสสัน จะเอาตัวนี้มาขายหรือไม่ แต่เมื่อมันมีการเปิดตัวไปแล้วในอินโดนีเซีย ก้มีโอกาส 50/50 ที่ทางนิสสัน ประเทศไทย จะวางจำหน่ายรุ่นนี้ในบ้านเรา
และหลังจากลองขับตลอด 3 วัน ในรูปแบบการใช้งานจริง ที่ประเทศญี่ปุ่น ต้องยอมรับว่า มันน่าสนใจกว่าที่คิด และน่าจะถูกใจสายพ่อบ้านแน่นอน
สูงโปร่ง คือไฮไลท์
ใครไปใครมาในญี่ปุ่น ก็คงจะชินกับ Nissan Serena ทั้งเก่าและใหม่ ที่มีเกลื่อยนถนน สำหรับรถรุ่นปัจจุบันได้วางจำหน่ายมาเป็นเจนเนอร์ชั่นที่6 แล้ว ภายใต้รหัสตัวถัง GC28 ปัจจุบันผลิตจำหน่าย อยู่ที่เดียว จากโรงงานในเมืองคันดะ จังหวัด ฟูกูโอกะ ,ประเทศ ญี่ปุ่น ยังไม่มีแหล่งผลิตอื่น
แม้ว่ามีกระแสว่า ทางนิสสัน อาจจะให้ โรงงานมาเลเซียผลิตรถรุ่นนี้วางจำหน่าย แต่ ปัจจุบัน ทางนิสสัน มาเลเซีย ยังคงขายรุ่นเก่าอยู่ ดังนั้น อาจะมีความเป็นไปได้ที่ไทย จะต้องขายรถรุ่นนี้ในสไตล์นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น
หน้าตาตัวรถ ได้องค์ประกอบ Nissan V Motion 2.0 ให้ความรู้สึกทันสมัย หรูหรา แอบดูสปอร์ต ด้วยกระจังหน้าที่มีขนาดใหญ่ สีดำเปียโนแบล็ค สอดรับ กับไฟหน้าที่มีขนาดใหญ่ พร้อมโคมโปรเจคเตอร์ 2 ดวง ส่องสว่างด้วยไฟ LED
ด้านล่างมี ไฟตัดหมอกมาให้ 2 ดวง ตอบการใช้งาน ยามทัศนวิสัยต่ำ
ทรงรถเป็นสไตล์กล่องขนานแท้ ความกว้างตัวรถ อยู่ที่ 1.7 เมตร ความยาวอยู่ที่ 4.7 เมตร และ ความสูง 1.8 เมตร มองแล้วจะรู้สึกถึงความสูงโปร่ง ตามสไตล์ รถ MPV
ในขณะที่ล้ออัลอย ทุกรุ่นในญี่ปุ่น รวมถึง ตัวที่เปิดในอินโดนีเซีย มอบขนาด 16 นิ้ว ให้ยางขนาด 205/65/R16 บ่องบอกถึงการเน้นความนุ่ในวลในการขับขี่ และดูแลง่าย ยางขนาดนี้ในไทย เส้นล่ะ 4000 กว่าบาทเท่านั้น มีให้เลือกหลายรุ่นหลายยี่ห้อ
ด้านช้างเสน้สายเน้นความคลีน ทรงกล่องตอบการใช้งาน ประตูสไลก์ด้านข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง เปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า
ในส่วนฝาท้ายรุ่นที่เราเช่ามาขับ แอบดูสเป็คที่ญี่ปุ่นเป็นตัวเริ่มต้น ประตูท้าย จึงเป็นประตูท้ายเปิดมือ แถมบานฝาท้ายเปิดได้สูงมาก มันดีพอจะเป็นที่อิงแอบสายฝนและลมแดด แอบเหมาะกับสายแคมป์เบาๆ
ประตูท้ายยังมีฟังชั่นสำคัญ ที่เป็นเอกลักษณ์ คือ บานกระจกหลังเปิดได้
มันดีสำหรับคนที่มีของที่ต้องหยิบใช้ประจำแต่ไม่อยากออกแรงเปิดประตูบานใหญ่ ซึ่งของอาจจะล่วงหล่นจนเสียเวลาเก็บข้าวของ ก็สามารถก็เปิดบานกระจกตรงโลโก้ ช่วยเพิ่มความสะดวกมากขึ้น
สบายทันสมัย ภาพลักษณ์ใหม่ เซเรน่า
ทางด้านในห้องโดยสาร ทางนิสสัน จัดการปรับปรุงงานออกแบบตัวรถ ให้น่าสนใจมากขึ้น หนนี้มุ่งเน้นการให้ความทันสมัยมากกว่ารุ่นเดิม
หนนี้ทางนิสสัน เปลี่ยนมาใช้ชุดจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว 2 จอ โดย จอหนึ่งเป็นของผู้ขับขี่ บอกค่าการทำงานระบบ ,ข้อมูล , รวมถึง เรื่องฟังชั่น ความปลอดภัย มีขนาดใหญ่ดูง่ายสบายตา
จอที่ 2 จะวางไว้ตรงกลางเป็นจอสำหรับการเชื่อมต่อ และระบบความบันเทิง ในญี่ปุ่นจอนี้จะมาพร้อมแผนที่ในตัว ไม่แน่ใจว่าในไทย จะมาในอพพชั่นแบบหรือไม่ ประการใด
ตัวแผนที่ดูเหมือนจะประยุกต์ใช้จากของ Google แต่ต่างออกไปตรงไม่ใช่ระบบ Google Built in แบบที่หลายค่ายนำเสนอ มันแค่เพียงใช้การดึงข้อมูลจาก Google ในบางส่วนเพื่อประมวลผลเท่านั้น
ใช้การเชื่อมต่อ Apple Carplay , Android Auto เพื่อช่วยให้ความสะดวกมากขึ้น แผนที่ยังถูกเชื่อมต่อมาที่จอผู้ขับขี่ เพื่อบอกเสน้ทางแบบ Turn by Turn ทำให้ เราไม่ต้องละสายตาไปที่เครื่องเสียงด้วย
คอนโซลกลางถูกออกแบบใหม่ ให้หยิบจับใช้งาน ของจำเป็นง่าย ประกอบด้วย เกียร์ปุ่ม , โหมดขับไฟฟ้า และ E-pedal ที่เหลือ คือฟังชั่นระบบปรับอากาศ ให้แอร์แยกปรับอิสระ ซ้าย-ขวา ใช้งานค่อนข้างง่ายและสะดวกพอสมควร
ด้านตัวเบาะนั่ง ในรุ่นที่เราเช่ามาขับ เป็นตัวเริ่มต้น ทุกอย่างเลยปรับมือ เริ่มตั้งแต่เบาะนั่งคู่หน้ายันคู่หลัง แม้กระทั่งแถว 3
ข่าวดี สำหรับสายเดินทาง ตัวเบาะมีขนาดใหญ่ ให้ความสะดวกในการเดินทาง เบาะนั่งไม่นิ่ม หรือ แข็งเกินไป นั่งเดินทางขับนานๆ 2-3 ชั่วโมงได้สบาย ไม่มีปัญหากวนใจ
เบาะคู่หน้ามีที่เท้าแขนมาให้เพิ่มความสบาย ส่วนเบาะแถว 2 มองเผินๆ อาจจะเป็น Bench Seat แต่ความจริง ที่นั่งตรงกลาง มันสามารถ ปรับลงมา ทำให้ เป็นเบาะแบบแยกตอนได้
ที่ปักเบาะนั่งเด็กมีแค่แถว 2 เท่านั้น มีมาให้ 2 จุดซ้ายขวา การปรับปรับ สามารถทำได้ 60/40 ส่วนเบาะแถว 3 ปรับมือพับได้ 50/50 ฟิกตำแหน่งท่านั่ง การจะเพิ่มพื้นที่ในการโดยสาร ต้องทำจากแถว 2 เท่านั้นครับ
อย่างไรก็ดี ถ้าพูดถึง ความสะดวกสบาย ตอนหลัง มีมาให้เท่าที่ใช้ ไม่ว่าจะช่องชาร์จอุปกรณ์ไร้สาย รวมถึง ที่วางแก้วน้ำที่มีมากถึง 17 ตำแหน่งทั่วทั้งคัน
ระบบปรัยอากาศ ผู้โดยสารสามารถแยกปรับเองได้ เป็นแบบแอร์ราว หรือจะให้ผู้ขับขี่ปรับให้ก็ได้ แอร์มีให้ ทั้งตอน 2 และ ตอน 3 ได้ใช้งานอย่างสบาย
มาทางด้านพื้นที่สัมภาะ ถ้าเปิดเบาะแถว 3 ก้ยังดีพอจะจุ กระเป๋า 24 นิ้ว 2 ใบ พร้อมรถดข็นเด็กได้
แต่เนื่องจากทริปนี้ ชาวคณะเราช๊อปปิ้งเยอะ ทั้งหมด จึงมีกระเป๋า 24 นิ้ว 2 ใบ 28 นิ้ว 2 ใบ กระเป๋า งอกย่อย อีก 2 ใบ กระเป๋าเป้ 1 ใบ และ รถเข็นเด็ก
การจะเอาไปหมดนี้ เลยต้องพับเบะา แถว 3 1 ข้าง น่าเสียดายที่เซเรน่ายังพับแบบด้านข้าง แต่ คนญี่ปุ่นเอาออกแบบมาแนวนี้เนื่องจากมันง่ายและสะดวกในการปรับพท้นที่ รวมถึง ของไม่กระแทกกับพลาสติก ด้านข้างทำให้หมดกังวลเรื่องดูแลรักษา ระยะยาว
แต่คนไทย อาจคุ้น กับการพับลงไปทางด้านหน้ามากกว่า ตรงนี้ ในฐานะที่เห็น MPV มาหลายรุ่น ส่วนใหญ่จะเป็นการพับข้างมากกว่า
ขับขี่ลงตัว เน้นนุ่มสบาย
ใต้เรือนร่าง Nissan Serena e-Power 2024 คันนี้ มาพร้อมระบบขับเคลื่อย อีพาวเวอร์ รุ่นใหม่ ล่าสุด ตอบสนองด้วยกำลังขับจากมอเตอร์ สูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร
เครื่องยนต์ปั่นไฟฟ้าเป็นเครื่อง 3 สูบแถวเรียง ขยายขนาด เป็น 1.4 ลิตร ปริมาตรจริงอยู่ที่ 1,433 ซีซี ถ้านับพิกัด มันน่าจะเป็น 1.5 มากกว่า 1.4 ลิตร ถ้ามองตามบ้านเรา
ขุมพลังใหญ่ขึ้นมีดีในแง่ของความเร็วในการปั่นไฟ ตอบสนองดีขึ้นเร็วขึ้น ใช้เวลาน้อยลงในแต่ละครั้ง
เงื่อนไขการทำงานยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือเครื่องแค่ปั่นไฟฟ้า , การขับเคลื่อนทั้งหมดทำโดยมอเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ถ้าคุณกำลังคิดว่า กำลังขับแค่ 163 ม้า มันจะไหวหรือต้องบอกก่อนว่า นิสสัน เซเรน่าไม่ได้หนักมากอย่างที่คิด น้ำหนักมันเพียงราวๆ 1.8 ตันเท่านั้น อีกประการ นี่คือรถพ่อบ้าน เน้ใช้งานไม่ใช่รถซิ่ง ดังนั้นกำลังขับที่ให้มา จัดว่าพอเพียงอยู่แล้วครับ
ช๊อตแรกผมขับในเมืองเกียวโต เพื่อเดินทางไปยัง วัดทอง คินคะคุจิก่อนเราจะออกนอกเมือง ในเมืองญี่ปุ่นความเร็วจำกัด 50-60 ก.ม./ช.ม. ขับๆ เดี๋ยวเบรก เดี๋ยวเร่ง ส่วนใหญ่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ได้ประสิทธิภาพมากๆ
เครื่องยนต์คิดมาชาร์จบ้าง ยามหยุดนิ่ง แต่ส่วนใหญ่จะทำงานเวลาเราขับมากกว่า และจะดับไป เมื่อแบตตเอร์รี่ได้ 80%
ตัวแบตเตอร์รี่เอง อัพเกรดขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แต่ดล็กกว่า นิสสัน คิกส์ มอบขนาด 1.769 kw ตอบการใช้งาน เท่าที่ลองขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วน จะได้ราวๆ 2-3 ก.ม. ไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก
แต่เนื่องจากในญี่ปุ่น เมืองเขาจะมีสภาพทางเขาเยอะ เวลาเราไหลลง จึงได้ไฟมาใช้ เครื่องยนต์จึงติดไม่ค่อยบ่อย หรือ ถี่เท่าในไทยนัก
ส่วนอัตราเร่ง ไม่ได้มีโอกาส มาซัดลอง 0-100 ด้วยข้อจำกัด ของการเดินทางในญี่ปุ่น แต่จากที่เรามีผู้โดยสารและสัมภาระเด็มคัน การตอบสนองไม่ได้ถือว่าอืด อัตราเร่ง มอเตอร์ไฟ้าทำได้ดี ได้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงไม่เชื่องช้า อืดอาดแบบรถพ่อบ้านสายสันดาปดั้งเดิม
จากในเมือง เราออกเดินทางไปนอกเมืองด้วยทางด่วน พอใช้ความเร้วเดินทาง 80-90 ก.ม./ช.ม. เครื่องยนต์จะติดคอยชาร์จไฟตลอดเวลา แต่เนื่องจากเครื่องยนต์มีขนาดใหญ่กว่าเดิมพอสมควร รอบเครื่องจึงต่ำ เราจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากการเดินรอบเครื่อง แต่ไม่ได้ รู้สึกว่ามันเร่งแรงมาก แต่อย่างใด
เว้นแต่ จังหวะขึ้นเขา หรือ เราเร่งแซง โดยกดคันเร่งไปเยอะมากๆ ซึ่งก็ไม่บ่อยมากในทริปนี้ เนื่องจาก คนญี่ปุ่นขับรถมีระเบียบ แซงขวา แล้วเขาซ้าย เราจึงไหลไปตามการจราจรได้เรื่อย
เมื่อกดคันเร่งเยอะ เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาเพื่อปั่นไฟใก้เท่าที่มอเตอร์ไฟฟ้าต้องการใช้ อาจมีเสียบรบกวนบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ได้เยอะมากจนน่ารำคาญ
จนสิ่งที่ประทับใจอย่างแรก คือ ความเงียบในห้องโดยสาร โดยเฉพาะการขับในเมือง ค่อนข้างให้ความรู้สึกสบายตอบโจทย์
ช่วงล่างมันใจ นุ่มสบาย
ทางด้าน ระบบกันะเทือน nissan Serena ใช้ระบบช่วงล่างที่เราคุ้นเคย ช่วงล่างด้านหน้า แม้คเฟอร์สันสตรัท , ด้านหลัง แบบทอร์ชั่นบีม
แม้เซทติ้งช่วงล่างแบบนี้จะอยู่ในซิตี้คาร์และส่วนใหญ่ จะโดนเราสวดว่า มันนั่งไม่สบาย ทว่า เซเรน่ากลับทำให้มันสบายได้
จุดหลักอยู่ที่ชุดล้อและยางนั่งเอง อย่างที่กล่างไป รถรุ่นนี้ให้ล้ออัลลอย 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/65/16 เป็นยางขอบสูง การเก็บอาการหลุมบ่อ ช่วงล่างค่อนข้างทำออกมาได้ดี ซับแรงดี ให้ถึงห้องโดยสารค่อนข้างน้อย
พอขับนอกเมืองใช้ความเร็วก็มีความมั่นคงสูง แม้ว่าเราจะบอกว่า มันเป็นรถทรงกล่องมีความสูง 1.8 เมตร ก็ยังมอบความมั่นใจได้อย่างหน้าตาเฉย
ระหว่างการเดินทาง มีโอกาสใช้ความเร็ว 90-100 ก.ม./ ช.ม. บ้างในบางจังหวะ สัมผัสได้ถึงความมั่นคงในการขับขี่ จังหวะเปลี่ยนเลน การโคลงตัวน้อย เนื่องจากนิสสัน ออกแบบให้รถมีพื้นต่ำ กองน้ำหนักต่างๆ ไว้ติดพื้นมากที่สุด
มันยิ่งชัดเจน เมื่องเข้าสู่ทางชนบททางเข้า ไปยังปลายทางหมุ่บ้านมุงจาก เส้นทางแถวนี้เป็นทางเขา คดเคี้ยว จังหวะเข้าโค้ง รถจะมีอาการเอนตัว ตามสไตล์ รถทรงสูง แต่มั่นใจในการขับขี่พอสมควร จังหวะเอี้ยวตัวจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อนไป
สอดคล้องกับอาการพวงมาลัยทำออกมามีระยะฟรีในระดับหนึ่งไม่คมมาก เพื่อให้การเอี้ยวตัวค่อยๆเอน แล้วรับแรงเหว่ยงในการเคลื่อนไหว ไม่เฉียบคมเกินไป ซึ่งจะทำให้รถโคลงตัวและ ผู้โดยสารอาจเมารถได้ง่ายมาก
อัตราประหยัดโดดเด่น แต่ต้องในไทย
ท้ายสุด เชื่อว่าหลายคนอยากรู้ว่าอัตราประหยัด Nissan Serena e-Power แน่ๆ
ตลอดทริป เราขับมาทั้งสิ้น 706.6 กิโลเมตร เติมน้ำมันด้วยน้ำมัน 91 ไป ทั้งสิ้น 39.86 ลิตร (ถ้งน้ำมันขนาด 52 ลิตร) ทำไอัตราประหยัดได้ 17.71 ก.ม./ลิตร
ถ้าเทียบกับการเดินทางด้วยรถทรงกล่องพร้อมผู้โดยสาร 5 คน และ สัมภาระ จัดว่ามันค่อนข้างประหยัดเอาเรื่องอยู่พอสมควร กับตัวรถระดับนี้
แต่เนื่องจากทริปนี้เราขับใช้งานนญี่ปุ่น ซึ่งมีข้อจำกัดความเร็ว และสภาพการจราจร การขับในไทย เมื่อมันขายจริงจะเป็นอย่างไร รอติดตามได้ทาง ridebuster
สรุป Nissan Serena e-Power พ่อบ้านยอดคุ้มน่าใช้ เหลือแค่ราคา
ตลอด 2-3 วันที่ผมได้เช่าเจ้า นิสสัน เซเรน่า อีพาวเวอร์ มาขับ หลังจากใช้ชีวิตกับรถคร่าวๆ ยอมรับว่า มันเป็นรถที่น่าสนใจรุ่นหนึ่งพอสมควร
เซเรน่า มุ่งเน้นในความเป็น MPV ที่เรียบง่ายใช้งานสะดวก มีความประหยัด ฟังชั่นครบครัน ตอบสนองได้อย่างตัว ตามสไตล์นิสสัน ที่มุ่งเน้นทำรถออพชั่นเต็มความคุ้มค่า
สิ่งที่ เซเรน่าโดดเด่น ขึ้นมาทันที คือ ออพชั่น และความเข้าใจ คนต้องการมีรถสไตล์นี้ นั่นคือมใันต้องนังสบายใช้งานง่าย ออพชั่นในห้องโดยสารต้องจัดเต็ม แถม ยังให้ความรู้สึกสบายในการโดยสาร
เรื่องการขับจี่ต้องประหยัด และมีความมั่นใจในทุกเส้นทา งแม้ว่ารถจะสูง 1.8 เมตร นิสสันก้ยังมอบเรื่องนี้ได้อย่างน่าประทับใจ จากการขับในถนนหลายๆรูปแบบในญี่ปุ่น
ส่วนในไทย Nissan Serena จะวางขาย และจำหน่ายเมื่อไร คาดว่า ไม่น่าจะนานเกินรอ คำถามเดียวคือ ราคาของมันจะราคาเท่าไร คือ สิ่งที่นิสสัน อาจจะต้องทำการบ้านเยอะหน่อย
และจากที่เราติดตามข้อมูล ถ้าแหล่งรถผลิตรถรุ่นนี้ยังอยู่แค่ในญี่ปุ่น อาจจะเป็นการนำเข้าทั้งคัน ซึ่งนั่นจะทำให้ราคาค่อนข้างกระโดด แต่ถ้ามันผลิตจากแหล่งใด ในอาเซียน ราคาก็จะน่าคบหามากขึ้น และเชื่อว่าคนตะนิยมมากขึ้น อย่างแน่นอน
เรื่องและขับทดสอบ โดย ณัฐพิพัฒน์ วรโชติโกศล
ข้อมูลตัวรถประกอบบทความจาก Wikipedia , Nissan Japan