นับตั้งแต่ Porche 918 Spyder ได้ถูกยุติสายการผลิตไปเมื่อหลายปีก่อน เราก็แทบไม่ได้เห็นวี่แววการทำรถซุปเปอร์คาร์เทคโนโลยีล้ำใดๆจากทางค่ายอีกเลย จนกระทั่งการเผยโฉมครั้งแรกของ Porsche Mission X
Porsche Mission X คือรถคันใหม่ล่าสุด ที่ทางค่ายเจ้าชายกบพึ่งทำการเผยโฉมมันออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งแม้ทางค่ายจะระบุว่ามันยังเป็นเพียงรถต้นแบบเท่านั้น แต่เมื่อมองจากรายละเอียดต่างๆของตัวรถแล้ว เราก็จะเห็นได้ว่ามันได้รับการตกแต่งและติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆที่ใกล้เคียงกับคำว่า “ตัวขายจริง” เป็นอย่างมาก
ซึ่งอันที่จริง ทางค่ายก็ยอมรับว่ามันจะกลายเป็นรถโปรดักชันคาร์ ให้เหล่ามหาเศรษฐีได้ซื้อเก็บกันแน่นอนภายในช่วงไม่เกินปลายทศวรรษนี้
และเช่นเดียวกับ 918 Spyder และ Carera GT ตัวรถ Mission X คันนี้ ก็จะกลายเป็นรถยนต์ระดับ “Halo Car” หรือ “เรือธง” ในด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีต่างๆขั้นสุดของรถยนต์จาก Porche ทันทีที่มันถูกขายจริง
นอกจากการเตรียมเป็นรถยนต์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสูงสุดของ Porche แห่งอนาคตอันใกล้ ทางค่ายยังมีเป้าหมายที่สองให้กับเจ้า Mission X คันนี้ด้วยว่า มันจะต้องเป็นรถยนต์โปรดักชันคาร์ที่เร็วที่สุดใน Nurburgring ซึ่งเป็นสนามแข่งขันหากินของทางค่ายมาตลอด และตอนนี้มีเจ้าของสถิติเป็น Mercedes-AMG One ไฮเปอร์คาร์ขุมกำลังตัวแข่ง Formula 1 ที่กดเวลาไปได้ 6’35.183 นาที
และเนื่องจากเจ้า Mission X คันนี้ แท้จริงแล้วจะเป็นตัวรถที่ใช้ขุมกำลังแบบพลังงานไฟฟ้า 100% ดังนั้นมันจึงต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับไฮเปอร์คาร์อีกรุ่น ที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของรถไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า 100% อย่าง Rimac Nevera ที่มาพร้อมกับขุมกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ลูก ที่ให้กำลังรวมกันมากถึง 1,926 PS
แต่ด้วยความที่คู่เปรียบคันดังกล่าว มีน้ำหนักที่มากถึง 2,041 กิโลกรัม จึงทำให้ทาง Porche อาจมองว่ามันหนักเกินไปสำหรับสายต่อของพวกเขา และเลือกที่จะทำให้เจ้า Mission X มีน้ำหนักตอนขายจริงเพียงราวๆ 1,500 กิโลกรัม ส่วนกำลังสูงสุดก็จะถูกปรับจูนให้ได้ตัวเลขที่ราวๆ 1,500 แรงม้า เช่นกัน เพื่อทำให้อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักของรถอยู่ที่ 1:1 ตามฉบับรถตัวจี๊ดหลายๆคันของโลก
ด้านงานออกแบบตัวรถเอง ก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะนอกจากสัดส่วนตัวรถ ที่มาในแบบสปอร์ตจ๋าๆ ตัวแบน ซุ้มล้อล้อใหญ่ อัตราส่วนความยาว ช่วงหน้า-กลาง-ท้าย ของตัวรถมีความสมมาตร ตามฉบับของรถไฮเปอร์คาร์
กรอบไฟหน้าของตัวรถยังเป็นแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แบบ “ตากบ” อีกต่อไป แต่ใช้โคมไฟแนวตั้งลากตั้งแต่ระนาบความสูงเดียวกับขอบล้อด้านบน ไปจนเกือบจะถึงชายล่างกันชนหน้า ซึ่งคาดว่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากตัวแข่งเลอมังส์
ห้องโดยสารเองก็ยังแปลกตา ด้วยประตูแบบ Scissor Door มาพร้อมบานกระจกขนาดใหญ่ ที่เปิดขึ้นไปถึงเหนือศรีษะผู้โดยสาร ซึ่งตัวกระจกที่สามารถเปิดขึ้น-ลงได้จริงๆ จะมีแค่เพียงกรอบเล็กๆ พอสำหรับวางแขนแล้วยื่นออกไปด้านนอกเพื่อรับของ จ่ายเงินค่าทางด่วน เท่านั้น ในลักษณะที่คล้ายๆกันกับ McLaren F1
งานตกแต่งอื่นๆในห้องโดยสารเองก็เน้นความล้ำ ทั้งตัวเบาะนั่ง พวงมาลัยแบบตัวแข่งเลอมังส์ จอมาตรวัดแบบลอยตัว จอระบบอินโฟเทนเมนท์แนวตั้ง พร้อมคันเกียร์แบบยานอวกาศ และที่ขาดไม่ได้คือนาฬิกาบอกเวลาแบบเข็ม ที่คราวนี้ไม่ได้ติดตั้งอยู่ตรงกลางเหนือคอนโซลหน้า แต่เอาไปไว้ที่คอนโซลฝั่งผู้โดยสารแทน พร้อมกับจอขนาดเล็ก ซึ่งดูเหมือนจะมีฟังก์ชันการจับอัตราการเต้นหัวใจ ของผู้ใดผู้หนึ่งที่อยู่ในห้องโดยสารได้ด้วย
ด้านข้อมูลแบตเตอรี่เอง ทาง Porche ก็ยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดมากนัก ว่ามันจะมีขนาดความจุเท่าใด และรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุดมากแค่ไหน แต่บอกได้แค่เพียงว่า มันจะเป็นแบตเตอรี่ที่รองรับแรงดันไฟฟ้าได้มากถึง 900 โวล์ท ซึ่งช่วยร่นระยะเวลาในการชาร์จได้ไวกว่าแบตเตอรี่ใน Porche Taycan ได้ถึงเท่าตัว แม้เจ้ารถตัวเทียบรุ่นนี้ จะมีสถิติเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ได้ไวที่สุดในโลกอยู่แล้วก็ตาม ณ ปัจจุบัน