อาจจะจริงอยู่ว่าในปัจจุบัน BMW Z4 จะมีรุ่นย่อย M40i ที่ได้ความแรงเทียบเท่ากับ Toyota Supra แต่มันก็อาจแรงไม่พอในสายตาสาวกบิมเมอร์ และอยากให้ทางค่ายช่วยทำตัวรถรหัส Z4 M จริงๆออกมาอีกครั้ง…
เพราะนับตั้งแต่ที่ BMW Z4 M ได้ถูกยุติการผลิตไป พร้อมกับ Z4 เจเนอเรชันแรก (E85) เมื่อปี 2008 หลังจากนั้นเป็นต้นมา ตลอดอายุการทำตลาดของ Z4 เจเนอเรชันที่สอง (E89) ระหว่างปี 2009-2016 และ Z4 เจเนอเรชันที่สาม ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุด ตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปัจจุบัน เราก็ไม่เคยเห็นว่ามันจะมาพร้อมกับรุ่นย่อยรหัส M จริงๆอีกเลย
ซึ่งทางวิศวกรของ BMW อย่าง Michael Wimbeck ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าโปรเจ็กท์การพัฒนา BMW Z4 รุ่นปัจจุบัน ก็ได้ออกมายอมรับกับสื่อสายตรง BMW Blog ว่า แท้จริงแล้ว ก็ใช่ว่าทีมของพวกเขาเอง จะไม่สนใจ หรือไม่อยากทำตัวรถ Z4 ที่มาพร้อมรหัส M อีกครั้ง แต่ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่พวกเขาเสนอไอเดียให้กับบอร์ดบริหารไป สุดท้ายโปรเจ็กท์นี้ก็โดนปัดตกในท้ายที่สุดอยู่ดี
โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็แน่นอน ว่าจะต้องเป็นเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน เพราะดูเหมือนว่าในสายตาของเหล่าผู้บริหาร จะมองตัวรถ Z4 รุ่นย่อยต่างๆที่มีอยุ่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะรหัส M40i ก็ให้สรรถนะที่เกินพอสำหรับการเป็นรถโรดสเตอร์เปิดประทุนแล้ว เพราะมันก็มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ให้แรงม้าถึงเกือบ 400 ตัว และยังได้กลไกระบบกันสะเทือนที่คล้ายกับ M3 กับ M4
และในขณะเดียวกันการทำ BMW Z4 M ออกมาขาย ในยุคที่รถยนต์แนวโรดสเตอร์ไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนเมื่อก่อน อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับตัวรถรุ่นนี้เลย และท้ายที่สุดก็จะทำให้พวกเขาสามารถผลิตขายมันได้เพียงจำนวนหยิบมือเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ต่อเม็ดเงินที่ต้องทุ่มลงไปเพื่อการพัฒนา
และถึงแม้หลายคน(ที่อยู่นอกแบรนด์)อาจมองว่า การทำ Z4 M ไม่เห็นยาก ก็แค่เอาเครื่องยนต์ S58 หกสูบเรียง เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุดราวๆ 500 PS บวกลบอีกนิดหน่อย จาก BMW M3, M4, X3 M, หรือ X4 M มาใส่ก็เพียงพอแล้ว
แต่เราต้องไม่ลืม และย้ำกันอีกครั้งว่าตัวรถรหัส Z4 คือรถที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลังล้วนๆ ไม่ได้มาพร้อมกับโครงสร้างที่รองรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ xDrive แล้วค่อยปรับไปใช้โหมดขับเคลื่อนล้อหลังระหว่างขับขี่เป็นบางเวลาได้ตั้งแต่แรก
ดังนั้นด้วยพละกำลังแรงม้าที่เพิ่มขึ้นอีกร้อยกว่าตัว ทางวิศวกรจึงมีความจำเป็นจะต้องพัฒนารถใหม่ให้มั่นคงกว่าเดิมมาก บนพื้นฐานของคำว่า “ขับหลัง” ซึ่งเอาจริงๆก็คงไม่ใช่เรื่องที่ไม่สามารถทำได้เลย สำหรับเหล่าวิศวกรหัวกะทิของ BMW
แต่ค่างบประมาณที่ต้องใช้ไปกับการพัฒนาต่างหาก ที่อาจจะมีตัวเลขสูงเกินไป จนไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน เพราะสุดท้ายก็จะกลับมาที่ลูกค้าในตลาด ซึ่งมีน้อยเกินไปกว่าที่จะทำออกมาขายแล้วได้กำไรนั่นเอง