หลังเปิดตัวในตลาดโลกไปตั้งแต่ปี 2021 ในที่สุด Mercedes EQB ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่า มันกำลังจะได้ฤกษ์ถูกนำมาเปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศไทยของเรากันบ้าง
Mercedes-EQB เปรียบเสมือนกับรถเอสยูวีในระดับเดียวกันกับ Mercedes-GLB ด้วยขนาดตัวและจำนวนที่นั่งภายในห้องโดยสารทั้งหมด 7 ตำแหน่ง แต่จุดแตกต่างที่แน่นอนที่สุดของมัน ก็คือการที่เจ้าตัวรถรุ่นนี้ จะเปลี่ยนมาใช้ขุมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ดึงพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า 100% แทนตามชื่อตระกูล “EQ”
แต่ถึงเราจะบอกว่ามันคือรถที่มาพร้อมกับโครงสร้างใหม่ ทว่าในส่วนงานออกแบบภายนอกของมัน กลับมีแค่เพียงชุดกระจังหน้ากับโคมไฟหน้า ที่ใช้งานดีไซน์แบบคันธนูโค้งกลับ และไฟท้าย LED แบบเชื่อมต่อกันเป็นแนวเดียวจากด้านซ้ายไปด้านขวา แล้วมีการปรับรายละเอียดกันชนหน้า-หลังใหม่ เพื่อให้เข้ากับงานออกแบบชิ้นส่วนที่เปลี่ยนไปในข้างต้น ตามฉบับของรถยนต์จากตระกูล EQ ก็เท่านั้น
นอกนั้นในด้านสัดส่วนตัวรถ, คิ้วซุ้มล้อ, บานกระจกต่างๆรอบคัน, หรือแม้กระทั่งชิ้นส่วนสปอยเลอร์หลังของมัน ล้วนยังคงมีเส้นสายแบบเดียวกันกับ Mercedes-GLB ทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งงานออกแบบชิ้นส่วนต่างๆภายในห้องโดยสาร ที่เรียกได้ว่าแทบจะใช้ชิ้นส่วนร่วมกันได้เกือบทั้งหมด เว้นเพียงชุดหน้าจอแสดงผลที่ถูกปรับอินเตอร์เฟซใหม่ให้เป็นแบบเฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าก็เท่านั้น
ด้านขุมกำลัง และสมรรถนะในภาพรวม หากอิงตามสเป็คของตัวรถที่วางจำหน่ายในต่างประเทศก่อนหน้านี้ มันก็จะมีรุ่นย่อยให้ลูกค้าได้เลือกหลัก 2 แบบด้วยกัน
เริ่มจาก Mercedes-EQB 300 4Matic ที่ได้ขุมกำลังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด สำหรับแยกส่วนกันขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า กับคู่หลัง (AWD) และให้พละกำลังสูงสุดรวมกันที่ 225 HP กับแรงบิดสูงสุด 390 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 ในเวลา 8.0 วินาที และมีการจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนรุ่นถัดมาคือ Mercedes-EQB 350 4Matic ซึ่งก็จะได้ขุมกำลังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด สำหรับแยกส่วนกันขับเคลื่อนชุดล้อคู่หน้า กับคู่หลัง (AWD) เช่นกัน แต่จะถูกปรับจูนให้สามารถเบ่งพละกำลังสูงสุดรวมกันได้มากขึ้นเป็น 288 HP กับแรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร พร้อมทำอัตราเร่งจาก 0-100 ในเวลา 6.2 วินาที และจะยังคงมีการจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่าเดิม
ด้านแบตเตอรี่ของตัวรถทั้งสองรุ่น จะมีขนาดเท่ากันคืออยู่ที่ 66.5 kWh และจะรองรับระยะทางในการใช้งานสูงสุด 419 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP เหมือนกันทั้งคู่ และสามารถชาร์จไฟจาก 10-80% ด้วยระบบ DC-Charge ได้ภายในระยะเวลาเพียง 32 นาที และสามารถชาร์จไฟสำหรับการเดินทางในระยะ 150 กิโลเมตร ผ่านระบบ DC-Charge ได้ภายในระยะเวลา 15 นาที
โดยรายละเอียดทางเทคนิคต่างๆของตัวรถเหล่านี้ อาจสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมันถูกนำมาวางจำหน่ายในประเทศไทย และเราต้องรออัพเดทข้อมูลกันต่อไป จนกว่าจะถึงกำหนดการเปิดตัวจริง ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม ที่จะถึงนี้