ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าทาง Toyota พยายามเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องยนต์เจเนอเรชันใหม่อยู่เสมอๆโดยระบุว่ามันจะมาพร้อมกับสมรรนะในการใช้งานที่ดีกว่าเครื่องยนต์ยุคปัจจุบันมากนัก โดยเฉพาะประสิทธิภาพเชิงพลังงาน ซึ่งอาจหมายถึงเรื่องของ “ความแรง” ด้วย
ย้อนไปในช่วงเดือนพฤษภาคม กลางงานแถลงข่าวลงนามความร่วมมือกับ Mazda และ Subaru โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการร่วมมือกันพัฒนาขุมกำลังเครื่องยนต์สันดาปภายในเจเนอเรชันใหม่ เพื่อลดการปล่อยมลพิษ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเชื้อเพลิง และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานร่วมกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าในลักษณะของขุมกำลังไฮบริด
โดยสิ่งหนึ่งที่ทาง Toyota นำเสนอข้อมูลออกมาได้ชัดเจนกว่าใครเพื่อน ก็คือเรื่องของทางเลือกขุมกำลังทั้ง 3 แบบ ที่เจ้าตัวตั้งใจให้มันกลายเป็นตัวตายตัวแทนของขุมกำลังเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม
โดยนอกจากเรื่องของแนวโน้มตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่าเดิม ขนาดตัวที่เล็กลง และทำให้ช่วยลดได้ทั้งจุดศูนย์ถ่วง กับแนวความสูงฝากระโปรงที่ลดลง ส่งผลให้รถมีความลู่ลมมากขึ้น เรื่อง “ความแรง” ของเครื่องยนต์เจเนเรชันใหม่ก็เป็นอีกสิ่งที่ทางค่ายระบุไว้พอสังเขป
ว่าเหล่าขุมกำลังยุคใหม่เหล่านี้จะมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าขุมกำลังรุ่นพี่ที่พวกมันจะเข้ามาแทนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะขุมกำลังรุ่นใหญ่สุดอย่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ ที่จะเข้ามาแทนเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.4 ลิตร ยุคปัจจุบัน
และแม้ทางค่ายจะไม่ได้มีการระบุตัวเลขพละกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์เจเนอเรชันใหม่เอาไว้อย่างชัดเจน นอกจากการระบุแบบคร่าวๆว่ามันจะมีพละกำลังมากขึ้นกว่าคู่เปรียบอยู่ราวๆ 20%-30%
ทางสื่อในประเทศญี่ปุ่น BestCarWeb กลับมีการให้ข้อมูลประมาณการเอาไว้ว่า เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ลูกใหม่ที่ว่านี้ จะสามารทำแรงม้าได้อย่างน้อยที่สุดคือราวๆ 300 PS กับแรงบิดสูงสุดอีกราวๆ 400 นิวตันเมตร สำหรับติดตั้งในรถยนต์ที่เน้นการใช้งานทั่วๆไป หรือเต็มที่อาจเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็กที่ไม่ได้ต้องการพละกำลังมากนัก แต่ต้องการเรี่ยวแรงสำหรับการความสนุกสนานในการอัดช่วงรอบเครื่องฯสูงๆก็เท่านั้น
อย่างไรก็ดี หากเป็นกรณีที่เครื่องยนต์ลูกดังกล่าว ต้องถูกนำไปติดตั้งในรถสปอร์ตที่ต้องการกำลังสูงๆไว้ก่อน ทาง Toyota ก็อาจทำการปรับจููนให้มันสามารถทำกำลังได้สูงสุดกว่า 400 PS และให้แรงบิดสูงสุดได้อีกราวๆ 550 นิวตันเมตร โดยที่ยังไม่มีการเสริมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าในภาคไฮบริดใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร ของ Toyota GR Supra
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือหากทาง Toyota ต้องการจะนำเครื่องยนต์ลูกนี้ ไปติดตั้งในตัวแข่ง ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งตัวแข่งในสนามทางเรียบ หรือตัวแข่งในเวที WRC ของ Toyota Gazoo Racing พวกเขาก็อาจปรับจูนมันได้อีกจนตัวเลขพละกำลังสูงสุดอาจแตะหลัก 600 PS กันเลยทีเดียว
จากข้อมูลข้างต้น หากทางสื่อญี่ปุ่นต้นทางวิเคราะห์ออกมาได้ถูกต้องจริง ก็หมายความว่าเครื่องยนต์ลูกนี้ จะกลายเป็นอีกเครื่องยนต์อเนกประสงค์ที่ทาง Toyota เตรียมทำไว้ใช้กับรถยนต์สายสปอร์ตของตนเองหลากหลายรุ่น คล้ายๆกับเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง เทอร์โบ 1.6 ลิตร ที่อยู่ในทั้ง Toyota GR Yaris และ Toyota GR Corolla ณ ปัจจุบัน
เพียงแต่ด้วยคุณสมบัติคือขนาดตัวที่เล็กลง และเบาลงของเครื่องยนต์ยุคใหม่ มันจึงอาจถูกนำไปติดตั้งในรถยนต์ตระกูล MR2 ที่มีแนวโน้มว่าจะถูกนำกลับมาฟื้นตำนานแล้วถือกำเนิดใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รวมถึง Toyota GR Supra เจเนอเรชันใหม่ ที่หากต้องไปต่อ ก็จะไม่มีทาง BMW มาคอยซัพพอร์ทอีกต่อไปแล้ว เพราะฝ่ายหลังเตรียมยกเลิกการทำตลาด BMW Z4 หลังหมดเวลาการทำตลาดของตัวรถเจเนอเรชันปัจจุบัน
และนั่นก็รวมถึง Toyota GR86 เจเนอเรชันถัดไป ที่มีข่าวลือว่าทางค่ายเตรียมแยกทางกันพัฒนากับ Subaru BRZ เช่นกัน หลังวางแผนทำงานด้วยกันมาใน 2 เจเนอเรชันแรก