นอกจากคำว่า “ในที่สุด !!” อีกหนึ่งคำที่พูดได้คงเป็น “น่าใจหาย” เมื่อล่าสุด Nissan ได้มีการประกาศเตรียมยุติการทำตลาดสปอร์ตคาร์สเป็คไล่ซุปเปอร์คาร์อย่าง Nissan GT-R R35 ภายในสิ้นปีนี้แล้ว หลังมันถูกลากขายมายาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ

ก่อนหน้าที่รุ่นพี่ของมันอย่าง Nissan Skyline GT-R R34 จะถูกยุติการผลิตไปเพียงไม่นานในปี 2002 ทาง Nissan ได้มีการเผยโฉม GT-R R35 ต่อสายตาสาธารณะชนครั้งแรกเมื่อปี 2001 ในฐานะรถคอนเซปท์คาร์ ณ งาน Tokyo Motor Show ภายใต้ชื่อ “GT-R Concept”

โดยจุดขายสำคัญของตัวรถต้นแบบคันนี้คือการที่มันมาพร้อมกับเส้นสายซึ่งดูบึกบึนและใหญ่โตขึ้นมากกว่ารุ่นพี่ โดยเฉพาะในส่วนของกันชนหน้า และแก้มข้างหน้า-หลัง โดยยังคงกลิ่นอายความเป็นรถยนต์ตระกูล GT-R เอาไว้ดังเดิม ด้วยวกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู และไฟท้ายโดนัท 4 ดวง ทางด้านหลัง

แต่เนื่องจากหลังคาตัวรถ ดูโค้งมนมากเกินไป จนคล้ายกับสปอร์ตคาร์รุ่นรองอย่าง Nissan 350Z ที่วางขายจริงในปี 2002 จึงทำให้ต่อมา ในปี 2005 คราวนี้ Nissan ก็ได้มีการนำเสนอตัวรถ GT-R ใหม่อีกครั้ง แต่ในคราวนี้เป็นการปรับรายละเอียดและประกอบจนตัวรถดูใกล้เคียงเวอร์ชันขายจริงมากขึ้น นั่นคือ Nissan GT-R Proto ด้วยเส้นสายที่ดูเหลี่ยมสัน แต่ลงตัวมากกว่าเดิม โดยเฉพาะในส่วนไฟหน้า และหลังคาที่ดูเข้ากันกับสัดส่วนต่างๆรอบคันของตัวรถมากยิ่งขึ้น

จนกระทั่งเมื่อถึงปี 2007 ตัวรถ Nissan GT-R ร่างขายจริงก็ได้เปิดตัวต่อหน้าสาธารณะชนเป็นครั้งแรก ณ งาน Tokyo Motor Show เช่นเดิม ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจบนเจ้ารถคันนี้ก็มีมากมาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการที่ทาง Nissan ตัดสินใจถอนเอาชื่อ “เส้นขอบฟ้า” หรือ “Skyline” ทิ้ง ให้ไปอยู่กับรถยนต์แบรนด์ลูกอย่าง Infinity เท่านั้นแทน แต่ยังคงนับเลขลำดับรหัสต่อท้ายเป็น “R35” ต่อจากรุ่นปีรหัส R34 เช่นเดิม เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นรถยนต์ตระกูลซิ่งของแบรนด์ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969

นอกจากนี้ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นมาก จึงทำให้มันไม่อาจใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 2.6 ลิตร เทอร์โบคู่ ระดับตำนานเจ้าเก่าอย่าง RB26DETT อีกต่อไป แต่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ตำนานลูกใหม่ คือ VR38DETT ที่ใช้เลย์เอาท์ V6 ขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่แทน ซึ่งในเวอร์ชันแรกมีกำลังให้มา 480 PS และยังสามารถกดเวลาใน Nurburgring ได้ด้วยตัวเลข 7’38.540 นาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่า Porsche 911 Turbo ได้อีก จนเกิดศึก “กันดั้ม ปะทะ เจ้าชายกบ” อยู่ต่อเนื่องหลายปีด้วยกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยชื่อชั้นดั้งเดิมระดับสปอร์ตคาร์ แต่สมรรถนะที่ให้มากลับสามารถไล่ตบรถซุปเปอร์คาร์ในยุคปี 2010’s ในสนามแข่งขันได้สบายๆหลายคัน ไม่เว้นแม้กระทั่ง Buggati Veyron จนได้ชื่อเล่นอีกชื่อว่า “Baby Veyron” จึงทำให้ GT-R R35 ยิ่งเป็นที่โจษจันในโลกรถยนต์สมรรถนะสูงมากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ดี แม้จะมีการปรับโฉม และอัพเดทตัวรถอยู่เรื่อยๆ กว่า 3 Facelift หรือหากนับครั้งย่อยๆก็อีกราวๆ 8 รอบ ยังไม่นับการทำรุ่นย่อยสเป็คพิเศษออกมามากมาย ตั้งแต่แบบเน้นความพรีเมียม “Egoist Spec / Premium Spec”, แบบเสริมความแรงตามฉบับดั้งเดิม “V-Spec”, แบบเน้นซิ่ง “Track Edition”, แบบหล่อ แรง ลิมิเต็ด “T-Spec”, ไปจนถึงแบบตัวซิ่งจ๋าสูงสุดของทุกเวอร์ชัน “Nismo Spec”

ซึ่งในแต่ละเวอร์ชัน ก็มีการใส่ออพชันเสริมจากร่างต้นในตอนแรกเข้าไปมากมาย เพื่อให้รถตอบโจทย์ลูกค้า และมีความตรงยุคตรงสมัย ณ เวลาที่มันถูกวางจำหน่ายอยู่เรื่อยๆ รวมถึงขุมกำลังเอง แม้จะเป็นบล็อคเดิม แต่ก็ได้รับการปรับจูน ปรับเซ็ทใหม่อยู่เสมอๆ จนในเวอร์ชันล่าสุด (และเวอร์ชันสุดท้าย) มาพร้อมกับแรงม้าหลัก 570 PS

ไม่เพียงเท่านั้น จากข้อมูลในเชิงลึก ยังระบุอีกว่า แม้ตัวรถเปลือกนอกจะดูคล้ายเดิม แต่ใส่ในโครงสร้างตัวรถเองก็ได้รับการปรับปรุง ปรับเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อยๆในหลายๆจุด แต่เมื่อมองในภาพรวม มันก็ยังคงเป็น “R35” ที่ถูกลากขายมาเกือบ 2 ทศวรรษอยู่ดี

จึงทำให้ตอนนี้ควรค่าแก่เวลาแล้วที่ทางค่ายจะต้องตัดสินใจยุติการผลิตตัวรถรุ่นนี้สักที หลังจากมีรุ่นย่อยที่คาดว่าจะเป็น Final Edition ออกมาอยู่หลายรอบ (โดยรุ่นที่ถูกเก็งซ้ำๆอยู่บ่อยครั้งคือ T-Spec ที่ตอนนี้มี 2 เวอร์ชันด้วยกัน ได้แก่เวอร์ชันปี 2022 ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวสุดท้ายจริงๆ แต่จู่ๆก็มีรถเวอร์ชันปี 2023-2024 ออกมาเพิ่ม)

และจากข้อมูลโดย Nissan USA ระบุว่าตัวรถ Nissan GT-R R35 จะถูกยุติการทำตลาดในช่วงเดือนตุลาคม ที่จะถึงนี้แล้ว ส่วนในประเทศบ้านเกิดอย่างญี่ปุ่นเอง ก็คาดว่าจะมีการยุติการทำตลาดหลังจากนั้นอีกไม่นานเท่าไหร่นัก ซึ่งคาดว่าจะไม่เกินช่วงสิ้นปีนี้อยู่ดี หรือไม่แน่ว่าอาจปิดไปพร้อมกับตลาดสหรัฐอเมริกาทีเดียวเลยก็ได้

ส่วนข้อมูลของ GT-R R36 หรือ GT-R เจเนอเรชันถัดไปเอง ก็ยังคงต้องรอดูกันต่อไปอีกสักพักใหญ่ เพราะตัวต้นแบบของมัน อย่าง Nissan HyperForce Concept เอง ก็ยังอยู่ในสถานะที่ “อีกนานกว่าจะพร้อมขายจริง” กันอยู่นั่นเอง

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่