Home » Exclusive Drive :  Nissan Note E Power   … แรงประหยัด ครบเครื่อง !!!
Bust First Drive รีวิว

Exclusive Drive :  Nissan Note E Power   … แรงประหยัด ครบเครื่อง !!!

ในปีที่ผ่านมา  Nissan   เป็นบริษัทรถยนต์ที่ทำให้ตลาดรถยนต์อีโค่คาร์ต้องเขย่าอีกครั้ง เมื่อพวกเขาหาญกล้าเปิดรถยนต์  Nissan  Note  ใหม่ออกมาอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางกระแสตลาดที่กำลังถดถอย การ์ดใบสุดท้ายโครงการรถยนต์อีโค่คาร์ระยะแรกถูกใช้กับนิสสัน โน้ต ด้วยความหวังว่ามันจะสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม หากด้วยปัจจัยหลายอย่างในช่วงเปิดตัว ทำให้รถไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

ในช่วงกลางปีหลังจากเปิดตัว นิสสัน โน้ตมาได้สักระยะใหญ่ ทางนิสสันหิ้วนักข่าวไปงานเปิดตัว   Nissan Leaf  ใหม่ พร้อมประกาศกร้าวในการดำเนินรอยตามกรอบของรัฐบาลที่สนับสุนให้บริษัทรถยนต์ชั้นนำเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดในประเทศ ไม่น่าแปลกใจเลยที่นิสสันจะเลือกเส้นทางนี้ เนื่องจากพวกเขามีความพร้อมทางด้านผลิตภัณฑ์มายาวนาน และนิสสันประกาศทันทีเลยว่าจะนำรถยนต์   Nissan  Leaf   เข้ามาให้คนไทยได้สัมผัสอย่างแน่นอน แต่ที่ดูจะน่าสนใจไปกว่าเจ้ารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าชั้นนำรายนี้ ก็คงไม่พ้น รถยนต์   Nissan Note E Power   ที่เปิดตัวมาสักระยะเมื่อปีกลายในญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ดี รวมถึง นิสสันมีแผนในการขยายระบบ อีพาวเวอร์วางจำหน่ายในรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในอนาคตด้วย

ทีแรก.. ผมยอมรับว่า การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งทำรีวิวทดสอบรถให้มากความ ด้วยความตั้งใจของเราคือการมางาน โตเกียว มอเตอร์โชว์ งานแสดงรถยนต์ครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี  โดยพร้อมกันนี้ถือว่าเป็นกำไรที่จะหารถขับเที่ยญี่ปุ่นไปด้วย หลังจากมาประเทศนี้เป็นรอบที่ 3 แล้วไม่เคยได้ไปไหนไกล นอกจากจ้ำเท้าอยู่บนรถไฟฟ้าในมหานครโตเกียว การเดินทางของผมงวดนี้จึงตัดสินใจแน่วแน่ ที่จะเช่ารถขับเที่ยว และไหนๆ จะเช่าทั้งที ก็ให้มันได้งานด้วย ตัวเลือก   Nissan  Note E Power   จึงผุดขึ้นมา ท่ามกลางรถยนต์นั่งขนาดเล็กมากมาย ที่มีให้เช่าตามอัธยาศัย และกำลังทรัพย์ที่คุณมี

Nissan Note E Power

ตั้งแต่ก่อนมา ผมยอมรับว่าค่อนข้างสนใจระบบ   E Power   ของนิสสันอย่างมาก เนื่องจากนิสสันเป็นบริษัทที่ตั้งมั่นในการพยายามพัฒนาระบบขับเคลื่อนแนวใหม่ ทั้งระบบไฮบริด ไปจวบจนระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน

การแจ้งเกิดระบบ   E Power  ของนิสสัน ถือว่าเขย่าวงการรถยนต์นั่งขนาดเล็กทั่วโลกพอสมควร แม้ว่าทีแรกทางนิสสันจะยังไม่กล้าแนะนำระบบนี้ออกสู่ประเทศอื่นนอกจากวางขายในบ้านเกิดของตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดด้วยกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ทำให้ นิสสัน ตัดสินใจเตรียมวางจำหน่ายขายมันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเราเองก็มีโอกาสที่จะเข้ามาขายในอนาคตอีกไม่นานเกินรอ

 แนวความคิดระบบ  อี พาวเวอร์ ของนิสสัน นั้นเรียบง่ายมาก พวกเขาไม่ทำตามบริษัทรถยนต์รายอื่น ซึ่งทุกคนต่างพัฒนาระบบไฮบริดใหม่ๆ ออกมาจำหน่ยอย่างโจ่งครึ้มมากมาย ระบบไฮบริดส่วนใหญ่ในวันนี้ ที่อยู่ในรถยนต์หลายรุ่น เป็นระบบไฮบริดแบบคู่ขนาน กล่าวคือ ระบบจะใช้เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยการขับเคลื่อนเพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพในการประหยัด ตลอดจนสมรรถนะในการขับขี่สูงสุด

สำหรับใครที่เคยผ่านมือระบบไฮบริด คงจะพอทราบว่าระบบไฮบริดส่วนใหญ่จะใช้มอเตอร์ฟ้าที่ความเร็วต่ำเพื่อการออกตัวที่ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ ก่อนที่เครื่องยนต์จะเข้ามาทำงานเสริมช่วยในการ-ทำงานในบางจังหวะ อาทิ ระหว่างการเร่งแซง หรือเมื่อต้องเดินทางยาวๆ ด้วยความเร็วสูง ก็จะเป็นบทบาทหน้าที่ของบรรดาเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ติดตั้งเข้ามาร่วมกันทำงานกับระบบ

Nissan Note E Power

หากทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ใช่แนวทางของ   Nissan   ที่คิดค้นระบบ อี พาวเวอร์ขึ้นมาตอบตลาด พวกเขาต้องการสร้างสิ่งใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะปัญหาสำคัญของนิสสัน ก็ยังหนีไม่พ้นโจทย์สำคัญที่วางจะทำอย่างไร ให้คนหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น และพวกเขาปิ๊งไอเดียเด็ด .. ทำไมเราไม่ทำระบบไฮบริดที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนใช้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ขึ้นมาล่ะ !!!

จุดกำเนิดของระบบ  E Power   เกิดขึ้นตรงแนวความคิดนี้ นิสสัน พยายามต้องการสร้างรถยนต์ที่ขับประหยัด มีสมรรถนะดี และคล้ายรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า  หากแต่แตกต่างตรงที่ระบบ อี พาวเวอร์ ไม่ได้ออกแบบมาให้สามารถเสียบปลั้กชาร์จไฟฟ้า ได้ แต่พวกมันอาศัยพลังงานไฟฟ้ามมาจากเครื่องยนต์ ที่ติดตั้งไว้เพื่อปั่นไฟฟ้าเข้าสุ่แบตเตอร์รี่เท่านั้น

ส่วนระบบขับเคลื่อนจริงๆ ของรถ จะเป็นเพียงระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ดึงเอาพลังงานจากแบตเตอร์รี่มาใช้ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องระยะทางการขับขี่ ซึ่งเป็นข้อจำกัดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ตลอดจนวิธีการใช้รถยนต์ของผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปจากปัจจุบัน แต่อย่างใด

แนวความคิดของ Nissan  E Power   นี้ ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจง่ายคือ การพัฒนาระบบไฮบริดแบบอนุกรม โดยอาศัยเครื่องยนต์มาเป็นเพียงเครื่องปั่นไฟฟ้า เข้าสู่แบตเตอร์รี่เท่านั้น แต่ก็ยังต้องมีทั้งระบบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงาน จึงยังไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แถมไม่สามารถเสียบปลั้กชาร์จไฟฟ้าได้ เหมือนรถไฟฟ้าขนานแท้ ที่บริษัทวางจำหน่ายคู่กัน

ผมเองยอมรับว่าค่อนข้างสนใจระบบ   E Power   มาก เนื่องจากแนวคิดของระบบขับเคลื่อนนี้เปรียบเหมือนบันไดก้าวไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่แท้จริง ตั้งแต่เปิดตัวออกมาในปี 2016 หลายสำนักข่าวต่างประเทศ ที่มีโอกาสไปทดสอบรถรุ่นนี้ที่ญี่ปุ่น ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า  ระบบ  E Power   น่าจะเป็นบันไดสำคัญสู่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ดังที่นิสสัน ตั้งปณิธานเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มของการพัฒนา และพวกเขาน่าจะทำสำเร็จด้วย แต่ว่า ความจริงจะเป็นอย่างไร .. ผมตัดสินใจว่าจะต้องลองสัมผัสด้วยตัวเอง

 

ก่อนอื่นของเรียนให้ทราบว่า การทดสอบทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบทความรีวิวชิ้นนี้ เป็นการขับจริง บนสภาพถนนจริงที่ประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งมีความแตกต่างจากประเทศไทย อยู่ 2-3 ประการ

1.การใช้ความเร็วในประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างจริงจังเรื่องจำกัดความเร็ว ในเมือง ใช้ความเร็วได้เต้มที่ ไม่เกิน 60 ก.ม./ช.ม. และนอกเมืองวิ่งบนถนนไฮเวย์ได้ความเร็วไม่เกิน  80 ก.ม./ช.ม. (บางทางด่วนให้ไม่เกิน 110 กม./ช.ม.)

2.สภาพอากาศที่ญี่ปุ่นมีความเย็นกว่าบ้านเรามาก ช่วงที่สอบอากาศที่นั่นถือว่าค่อนข้างหนาวมาก เพียง 18 องศาเซลเซียส โดยเฉลี่ยเท่านั้น (บ้านเราโดยส่วนใหญ่ก็จะร้อนตับแลบ 30 องศากว่าๆ )  

ดังนั้นในงานรีวิวชิ้นนี้ จึงอยากให้อ่านเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น แล้วรอจนกว่า   Nissan Note E Power   เปิดตัวในประเทศไทย อีกคราว จึงจะทราบสมรรถนะที่แท้จริง

ท่ามกลางอากาศหนาวๆ ของประเทศญี่ปุ่น ผมกับเดือน เดินเที่ยวย่านที่พักเราแถวเขตชินนะงะวะ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนไปยังร้านเช่ารถ   Nissan Ren A Car   เพื่อรับรถ   Nissan Note E Power   เดินทางไปยังเมือง คามาคุระ แล้วต่อไปยังทะเลสาบ คาวากูชิโกะ ก่อนนำรถไปส่งคืนที่   Nissan  Rent A car   ใกล้สนามบินนาริตะ เพื่อเดินทางกลับประเทศไทย

Nissan Note E Power

Nissan  Note  E Power   พร้อมรอเราอยู่แล้ว เจ้ารถ Nissan  Note E Power   สีแดงคันนี้ จะเป็นเพื่อนคู่ใจในการเดินทาง อีก 2 วัน สุดท้ายก่อนเดินทางกลับไทย  

มองตัวรถดูหน้าตาแล้วก็น่าจะเรียกว่าถอดแบบ   Nissan Note   รุ่นปกติมาครบครันไม่มีผิดเพี้ยน หน้าตาเอยเรือนร่างเอย ทุกอย่างค่อนข้างคุ้นหน้าตาจากที่เห็นผ่านตาจากในบ้านเราไม่มีผิดเพี้ยนอะไรนัก  ไม่ว่าจะโคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ กระจังหน้า   V Motion   ด้านหลังให้ไฟท้ายแบบ   Led  สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปทางภายนอก คือ ล้อรถที่เป็นล้อเหล็กแปะฝากครอบขนาด 14 นิ้ว  จัดมาพร้อมยาง  185/70/ R14   

เช็ครถเสร็จสรรพ เราขนของขึ้นรถ วันนี้มีกระเป๋าเดินทาง 3 ใบ หิ้วขึ้นรถได้อย่างสบายไร้ปัญหา เรื่องความอรรถประโยชนืในห้องโดยสารก็เรียกว่าเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยความยาวของห้องโดยสารของ   Nissan  Note   เป็นทุนเดิม เมื่อบวกกับความสามารถพับเบาะ เราจึงสามารถขนสัมภาระทั้งหมดได้อย่างสบายไร้ปัญหาใดๆ

Nissan Note E Power

Nissan Note E Power

ส่วนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมื่อก้าวเข้าสู่ในห้องโดยสาร Nissan Note E Power   มี 2 ประการ คือ 1. คันเกียร์ใหม่เป็นแบบจอยสติ๊ก เห็นกลมๆ มีปุ่มกดแบบนี้ หายคนอาจจะงง วิธีการใช้งาน เมื่อไม่มีด้านเกียร์หรือ  Shifter  ให้ใช้ แต่วิธีการใช้งานของมันนั้นง่ายมาก และออกแบบมาให้คล้ายรถยุโรป อย่าง   Mercedes Benz  ด้วยการผลักชิดขวา แล้วลากไปตำแหน่งต่างๆ ได้แก่

–  ลากขึ้นบน เมื่อต้องการถอยหลัง

– ลากไปข้างขวาตรงๆ เมื่อต้องการเข้าสู่เกียร์ว่าง

-ลากไปทางขวา แล้วลงล่าง เมื่อต้องการเข้าสู่เกียร์  D   และ  B  

 

นอกจากคันเกียร์ที่เปลี่ยนไปแล้ว หน้าปัดเรือนไมล์ ยังดูดีมีความทันสมัยมากขึ้นด้วย เรือนไมล์   Nissan Note E power   ใหม่ เปลี่ยนจากเดิมที่ดูโบราณคร่ำครึ มาเป็นเรือนไมล์แบบรถไฮบริด ที่บอกเพียงค่าความเร็วขณะขับขี่ ไร้รอบเครื่องยนต์ ส่วนตรงกลางเรือนไมล์ในช่องกลมๆ เป็นชุดหน้าจอแสดงข้อมูลอัจฉริยะ สามารถบอกข้อมูลได้หลายแบบ เช่นระยะทางในการขับขี่ที่เหลือ เป็นต้น

Nissan Note E Power Nissan Note E Power

กดปุ่มสตาร์ท เครื่องยนต์ทำงานยังคงเป็นความคุ้นเคยบ่งบอกว่ารถพร้อมเดินทางแล้ว แต่มันจะทำงานเพียงสักครู่เดียวก็ดับ กลายเป็นความเงียบเข้ามาแทนที่ จนในระหว่างการเดินทางหลายครั้งผมเองไปกดสตาร์ทซ้ำ จึงรู้ว่านี่เราสตาร์ทรถแล้ว..

ได้อีพาวเวอร์มาทั้งที จะขับให้มันรู้ก็คงต้องขับในพื้นที่ลักษณะเมือง การเดินทางของเราวันนี้ปลายทางจะไปดูทะเลญี่ปุ่นที่ชายหาดเมือง คามากุระ ทีแรก ผมวางแผนเอาไว้อย่างดีว่า  เราจะขึ้นทางด่วนไปมันจะได้เร็ว แต่แล้วเราก็พบว่า ร้านรถเช่าไม่ได้ให้   ETC  Pass   สำหรับขึ้นทางด่วนมาด้วย เราจึงตัดสินใจเดินทางด้วยเส้นทางธรรมดาที่มีระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร และทั้งหมด เป็นการขับขี่ผ่านเมือง


กวาดพวงมาลัยออกเดินทาง แรกๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการทำงานของระบบ   E Power   นัก และยังกังวลเรื่องการใช้งานอยู่บ้าง เนื่องจากระบบ  E Power   เป็นนวัตกรรมการขับขี่ใหม่ ถึงจะเรียนรู้วิธีการทำงานของระบบ ที่ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบแถวเรียงขนาด 1.2 ลิตร ที่เราคุ้นเคย  HR12 DE   มาควบกล้ำกับแบตเตอรืรี่ เพื่อปั่นไฟฟ้าส่งต่อเข้าแบตเตอร์รี่ไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าใช้ แต่หากเทียบกับระบบไฮบริดแบบอื่นๆ แล้วถือว่า แตกต่างโดยสิ้นเชิง 

ช่วงแรกที่ขับออกมา ยอมรับว่ารู้สึกแปลกๆที่รถวิ่งด้วยความรู้สึกเหมือนรถไฟฟ้ามากๆ การใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้มันออกตัวได้เร็ว จนไม่ต้องใช้คำพูดว่า “กระทืบคันเร่ง” แค่แตะเบาๆ รถก็พร้อมจะออกตัวอย่างรวดเร็วทันที แถมด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนทำให้รถเดินทางแบบนุ่มนวลไร้รอยต่อเกียร์ ไม่มีอาการสะดุดกระตุกใดๆ ให้น่ารำคาญใจ  

Nissan Note E Power Review

Nissan Note E Power Review

เส้นทางขับในวันแรก เป็นแบบเมืองทั้งหมด การขับในเมืองที่ญี่ปุ่นให้ใช้ความเร็วเต็มที่ไม่เกิน 70 ก.ม./ช.ม.

ช่วยขับความเร็วต่ำความเงียบของการทำงานด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้รถค่อนข้างจะเงียบพอสมควร แต่นั่นก็เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะเมื่อเครื่องยนต์ติดการทำงานขึ้นมาชาร์จไฟฟ้า เสียงเครื่องยนต์จะดังกระหึ่ม จนน่ารำคาญเหมือนกัน  แต่ก็เพียงพักเดียวเท่านั้น เครื่องยนต์ก็จะดับการทำงานไป

ช่วงระหว่างขับในเมืองล่องไปตามถนนจากชินนะงะวะ ไปยัง คามากุระ ตลอดทางสภาพเส้นทางเป็นแบบถนน  4 เลน มีไฟแดงตลอดเส้นทาง การขับขี่ของผม ใช้ความเร็วได้สูงสุดเพียง 60 ก.ม./ช.ม. สภาพการจราจรแบบนี้สำหรับบ้านเรา ก็คงจะเรียกว่าเป็นขับในเมืองล้วนๆ ตลอดการขับขี่จนถึงปลายทางเมือง คามากุระ ระหว่างทางอัตราประหยัดโชว์ตัวเลขสุดประทับใจ 23-24 ก.ม./ลิตร

Nissan Note E Power Review

ปลายทางวันแรกที่ชายทะเล เมือง คามาคุระ

เช้าวันต่อมา ผมกับเดือนออกจากเมืองคามาคุระเดินทางต่อไปยังเมืองคาวากูชิโกะ ถนนในวันนี้เรียกว่าเป็นเส้นทางการขับขี่แบบต่างจังหวัดก็ว่าได้

เส้นทางแบบ ถนนเลนสวน เรียกว่าเป็นหนทางปกติที่คุณสามารถพบได้ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น ขับบนเส้นทางแบบนี้   Nissan Note E power   ก็มีโหมดการขับขี่ให้คุณเลือกได้ตามต้องการ ช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ คุณสามารถเลือกปรับได้ 2 โหมด ได้แก่  โหมด  Eco   สำหรับความต้องการความประหยัดสูงสุดในการขับขี่  และโหมด Sport   สำหรับเปลี่ยนเจ้าเปี๊ยกคันนี้ให้ขับมันส์สนุกสนานมากกว่าเดิม

การเลือกโหมดการขับขี่ทำได้ง่าย โดยปุ่มเล็กๆ ที่อยู่ตรงคอนโซลกลางถัดลงมาจากตัวคันเกียร์ของรถ เมื่อเลือกโหมดการขับขี่ใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะ  Eco   หรือ   Sport   เจ้า Nissan  Note   E Power  จะร่ายมายากลวิเศษในการขับขี่ด้วย  E-Pedal

ระบบ   E Pedal   เป็นระบบช่วยในการขับขี่ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรถยนต์ของนิสสันที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับขี่ ซึ่งอนุญาตให้ผู้ขับขี่สามารถเร่งและเบรก โดยการใช้งานผ่านแป้นคันเร่งเพียงแป้นเดียว โดยไม่จำเป็นต้องใช้เบรกเพื่อ ชะลอ หรือหยุดรถในระหว่างการขับขี่ และเมื่อระบบทำงานไฟเบรกด้านหลังจะติดเพื่อเตือนผู้ขับขี่ด้านหลังอัตโนมัติ คล้ายกับเวลาที่คุณเหยียบเบรก

Nissan Note E Power Review

การทำงานของ ระบบ   E Pedal   อาศัยแรงต้านในมอเตอร์ไฟฟ้า เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มันมีข้อดีอย่างยิ่งยวดช่วยเพิ่มความสบายในการโดยสารมากขึ้น ยิ่งกับใครที่ขับรถแล้วชอบเบรกจนหัวทิ่วหัวตำ จนโดนแฟนวาดสายตารังสีอำมหิตมาบ่อยครั้ง ระบบนี้นับว่าเป็นผู้ช่วยที่ดีพอสมควร

จากที่ผมทดลอง การใช้งาน   E Pedal   ยังจำเป็นที่คุณจะต้องกะระยะแรงเฉื่อยที่ถูกต้องในระหว่างการขับขี่ เนื่องจากระบบเป็นเพียงการอาศัยแรงเฉื่อยจากมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ได้มีการคำนวณหรือช่วยคุณเบรกให้เทพขึ้นแต่อย่างใด ที่สำคัญแต่ละโหมดการขับขี่ก็จะมีการหน่วงแตกต่างกันด้วย โดยในโหมดสปอร์ตจะมีการหน่วงของ   E Pedal   มากกว่า  โหมดประหยัด อย่างชัดเจน และเมื่อทำความคุ้นเคยแล้ว ระบบ   E Pedal   ก็จะช่วยให้คุณสามารถขับขี่รถได้นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะกำลังซิ่งในโหมดสปอร์ต หรือขับเป็นยายแก่ในโหมดประหยัด

ไม่นานเราก็เดินทางมาถึงเส้นทางชมวิว ที่เรียกว่า   Mazda Sky Way  ก่อนต่อเนื่องไปยัง  Ashinoko Sky Way  เส้นทางแห่งนี้เป็นปลายทางสำคัญวันเสาร์-อาทิตย์ ของคนรักรถหรือเล่นรถที่จะนำรถขึ้นมาขับชมวิวและทดสอบรถกันไปด้วย

Nissan Note E Power Review

Nissan Note E Power Review

Nissan Note E Power Review

โชคดี เจอชายใหญ่ที่   Ashinoko Skyway   ระหว่างทางไปเมือง   Gotemba  

ผมขึ้นเขาด้วยโหมด   Eco   ยอมรับเลยว่า   Nissan Note E Power  ไม่ทำให้ผิดหวัง รถสามารถใช้ความเร็วในการขึ้นเขาได้ดีกว่าเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรอย่างไม่ต้องสงสัย  เรื่องกำลังที่มีเหลือเฟือ แต่เมื่อขึ้นเขามอเตอร์ไฟฟ้าจะกินกำลังมากกว่าปกติ ทำให้เครื่องยนต์ติดการทำงานตลอดเวลา เพื่อปั่นไฟฟ้าเข้าแบตเตอร์รี่ให้พอการใช้งาน

เสียงเครื่องยนต์ที่ดังเป็นทุนเดิม อาจจะสร้างความรำคาญใจในระหว่างการเดินทางอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับการพารถยนต์เครื่องเล็กๆ ขึ้นเขาแล้ว คงต้องยอมรับว่า เสียงเครื่องยนต์ที่เดินรอบอยู่ราวๆ ประมาณ 4,000 รอบต่อนาที โดยประมาณ น่ารำคาญน้อยกว่า การที่คุณจะต้องบดคันเร่งติดพื้นในบรรดารถยนต์เครื่องเล็กขนาด 1.2 ลิตร ขึ้นภูเขาชันๆ แบบนี้ แน่นอน

สรุป   Nissan  Note E Power   สมรรถนะดีกว่า … เหลือรอฟังราคาเมื่อมาไทย  

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงกลางปี ผมมีโอกาสเอาเจ้า  Nissan Note   เครื่องยนต์ 1.2   ลิตร ที่เปิดตัวในไทยมาขับ สิ่งที่ผมมักจะออกปากกับผู้ที่สนใจรถรุ่นนี้เสอม คือ เรื่องพละกำลังเครื่องยนต์ที่ทำได้เพียงพอไปวัดไปวา แต่ช่วงล่าง ฟังชั่นการขับขี่ต่างๆ ถือว่าอยู่ในระดับที่เหนือชั้นเมื่อเทียบกับรถอีโค่คาร์หรือแม้แต่กระทั่งซิตี้คาร์ 5 ประตูเครื่อง 1.5 ลิตร ที่ไม่มีระบบอำนวยความสะดวกและปลอดภัยมาให้เทียบเท่าในราคา 6 แสนกว่าบาทกลางๆ

ในระหว่างที่ผมขับ   Nissan  Note E Power   ช่วงสุดท้าย ผมนั่งรำลึกถึงการลองสมรรนถะสั้นๆ 0-100 ก.ม./ช.ม. แบบจับเวลาด้วยนาฬิกา มีผม เดือน และกระเป๋าสัมภาระในการเดินทาง 3 ใบ เราขอลองครั้งเดียวเท่านั้น ผมจับเวลาได้ 9.7 วินาที ถือว่าเร็วมากๆ จนเดือนที่ไม่เคยชอบ   Nissan  Note   ถึงกับออกปาดความน่าเหลือเชื่ออัตราเร่งนี้ 

มันเร็วกว่า รถเครื่อง 1.5 ลิตร ปัจจุบัน ที่มักจะทำเวลาได้ 14-15 วินาที ถึง 6 วินาที และถ้าเทียบกับ   Nissan  Note   เครื่อง 1.2 ลิตร ที่ทำอัตราเร่งได้เฉลี่ย 17.0 วินาที  ก็เท่ากับว่า   Nissan Note E Power   ทำอัตราเร่งได้เร็วกว่าเกือบเท่าตัว 

แถมเมื่อเทียบกับอัตราประหยัดเฉลี่ยรวมตลอดการเดินทาง 407 กิโลเมตร เราใช้น้ำมันไปเพียง 20.75 ลิตร (เติมด้วยน้ำมัน   Regular)  เทียบเท่าน้ำมันเบนซิน 91  เราได้อัตราประหยัด  19.61 ก.ม./ลิตร ตลอดการเดินทาง ซึ่งรวมทั้งการขึ้นเขาสู ถึง 2 ครั้ง การขับในเมือง และขับบนเส้นทางด่วนกลับมายังสนามบินนาริตะ อีกด้วย

Nissan Note E Power Review

ถามผม   Nissan  Note E Power  จะเป็นผู้เปลี่ยนเกมรายสำคัญของนิสสัน หากพวกเขาทำการบ้านมาอย่างดีในการนำเสนอรถรุ่นนี้สุ่ตลาดประเทศไทย จากที่ขับผ่านมือมา 2 วันเต็มๆ เป็นที่ชัดเจนว่า รถรุ่นนี้ตอบโจทย์ที่คนส่วนใหญ่มองหา ไม่ว่าจะสมรรนถะในการขับขี่ หรือความสามารถในด้านความประหยัด ก็ทำได้ได้อย่างดีเยี่ยมทั้ง 2 ด้าน

สิ่งเดียวที่จะชี้ชะตา   Nissan Note E Power   เมื่อเปิดตัวในไทยคือ เรื่องของราคาจำหน่ายของรถ ซึ่งปัจจุบันตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กไฮบริดไม่มีใครทำตลาดแล้ว หลังจากฮอนด้าถอนทัพ   Honda  Jazz Hybrid   ไม่จำหน่ายต่อ

ในตอนที่   Honda Jazz Hybrid   เปิดตัวทำตลาด ทางฮอนด้าวางขายด้วยราคา   768,000  บาท  จนรถได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อมีโครงการรถคันแรกจากภาครัฐบาล หากนิสสันตั้งใจว่าจะทำตลาดเพื่อกลับมายึดหัวกาดรถยนต์ไฮบริดขนาดเล็ก เป็นเจ้าตลาดกลุ่มนี้ ก็สมควรจะต้องวางราคาในระดับเดียวกัน และไม่ควรแพงกว่า จนชนระดับ 8 แสนบาท เพราะไม่งั้นลูกค้าจะหันไปมองรถอเนกประสงค์เล็ก ที่ทั้งสนองความต้องการเรื่องขนาดและสมรรนถะดีกว่ ผ่อนต่อเดือนก็ไม่แพงกว่ากันมากมาย อะไร

Nissan Note E Power  ใหม่ มีกำหนดการเข้าไทยในช่วงต้นปี 2018 ตามที่นิสสันได้ประกาศในการเตรียมตัวพารถเล็กรุ่นนี้เข้ามาให้คนไทยได้สัมผัส แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ในวันนี้ผมกล้าพูดเต็มปากว่า รถเล็กคันนี้ ไม่ธรรมดาเหมือนน่าตา คุณลองหลับตาลง จินตนาการรถเล็กซิตี้คาร์ที่สามารถเร่งได้ระดับเลขตัวเดียว ประหยัดระดับเครื่องดีเซลมีอาย … แค่นี้ ก็คงรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่ามันยอดเยี่ยมสักแค่ไหนกัน 

 

เรื่องและขับทดสอบ ณัฐยศ ชูบรรจง

ติดตามการทดสอบรถยนต์และเรื่องราวยานยนต์ต่างๆ ของเขาได้ ทาง  Facebook

 

หมายเหตุ การขับทดสอบ   Nissan Note E Power   ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับการสนับสนุนจาก   Nissan   มอเตอร์ประเทศไทย การทดสอบในบทความเป็นไปอย่างอิสระ ในประเทศญี่ปุ่น

รถรุ่นที่ทำการทดสอบ คือ  Nissan  Note e – Power  รุ่น   X   ราคาจำหน่ายในญี่ปุ่น  1,965,600 เยน หรือ คิดเป็นเงินไทย  570,000 บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่ 30 บาท / 100 เยน

ช่วยเป็นกำลังใจให้ทีมงาน



แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.