ในปีที่ผ่านมา Nissan เป็นบริษัทรถยนต์ที่ทำให้ตลาดรถยนต์อีโค่คาร์ต้องเขย่าอีกครั้ง เมื่อพวกเขาหาญกล้าเปิดรถยนต์ Nissan Note ใหม่ออกมาอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางกระแสตลาดที่กำลังถดถอย การ์ดใบสุดท้ายโครงการรถยนต์อีโค่คาร์ระยะแรกถูกใช้กับนิสสัน โน้ต ด้วยความหวังว่ามันจะสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม หากด้วยปัจจัยหลายอย่างในช่วงเปิดตัว ทำให้รถไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
ในช่วงกลางปีหลังจากเปิดตัว นิสสัน โน้ตมาได้สักระยะใหญ่ ทางนิสสันหิ้วนักข่าวไปงานเปิดตัว Nissan Leaf ใหม่ พร้อมประกาศกร้าวในการดำเนินรอยตามกรอบของรัฐบาลที่สนับสุนให้บริษัทรถยนต์ชั้นนำเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดในประเทศ ไม่น่าแปลกใจเลยที่นิสสันจะเลือกเส้นทางนี้ เนื่องจากพวกเขามีความพร้อมทางด้านผลิตภัณฑ์มายาวนาน และนิสสันประกาศทันทีเลยว่าจะนำรถยนต์ Nissan Leaf เข้ามาให้คนไทยได้สัมผัสอย่างแน่นอน แต่ที่ดูจะน่าสนใจไปกว่าเจ้ารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าชั้นนำรายนี้ ก็คงไม่พ้น รถยนต์ Nissan Note E Power ที่เปิดตัวมาสักระยะเมื่อปีกลายในญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ดี รวมถึง นิสสันมีแผนในการขยายระบบ อีพาวเวอร์วางจำหน่ายในรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในอนาคตด้วย
ทีแรก.. ผมยอมรับว่า การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งทำรีวิวทดสอบรถให้มากความ ด้วยความตั้งใจของเราคือการมางาน โตเกียว มอเตอร์โชว์ งานแสดงรถยนต์ครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยพร้อมกันนี้ถือว่าเป็นกำไรที่จะหารถขับเที่ยญี่ปุ่นไปด้วย หลังจากมาประเทศนี้เป็นรอบที่ 3 แล้วไม่เคยได้ไปไหนไกล นอกจากจ้ำเท้าอยู่บนรถไฟฟ้าในมหานครโตเกียว การเดินทางของผมงวดนี้จึงตัดสินใจแน่วแน่ ที่จะเช่ารถขับเที่ยว และไหนๆ จะเช่าทั้งที ก็ให้มันได้งานด้วย ตัวเลือก Nissan Note E Power จึงผุดขึ้นมา ท่ามกลางรถยนต์นั่งขนาดเล็กมากมาย ที่มีให้เช่าตามอัธยาศัย และกำลังทรัพย์ที่คุณมี
ตั้งแต่ก่อนมา ผมยอมรับว่าค่อนข้างสนใจระบบ E Power ของนิสสันอย่างมาก เนื่องจากนิสสันเป็นบริษัทที่ตั้งมั่นในการพยายามพัฒนาระบบขับเคลื่อนแนวใหม่ ทั้งระบบไฮบริด ไปจวบจนระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน
การแจ้งเกิดระบบ E Power ของนิสสัน ถือว่าเขย่าวงการรถยนต์นั่งขนาดเล็กทั่วโลกพอสมควร แม้ว่าทีแรกทางนิสสันจะยังไม่กล้าแนะนำระบบนี้ออกสู่ประเทศอื่นนอกจากวางขายในบ้านเกิดของตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดด้วยกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ทำให้ นิสสัน ตัดสินใจเตรียมวางจำหน่ายขายมันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเราเองก็มีโอกาสที่จะเข้ามาขายในอนาคตอีกไม่นานเกินรอ
แนวความคิดระบบ อี พาวเวอร์ ของนิสสัน นั้นเรียบง่ายมาก พวกเขาไม่ทำตามบริษัทรถยนต์รายอื่น ซึ่งทุกคนต่างพัฒนาระบบไฮบริดใหม่ๆ ออกมาจำหน่ยอย่างโจ่งครึ้มมากมาย ระบบไฮบริดส่วนใหญ่ในวันนี้ ที่อยู่ในรถยนต์หลายรุ่น เป็นระบบไฮบริดแบบคู่ขนาน กล่าวคือ ระบบจะใช้เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยการขับเคลื่อนเพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพในการประหยัด ตลอดจนสมรรถนะในการขับขี่สูงสุด
สำหรับใครที่เคยผ่านมือระบบไฮบริด คงจะพอทราบว่าระบบไฮบริดส่วนใหญ่จะใช้มอเตอร์ฟ้าที่ความเร็วต่ำเพื่อการออกตัวที่ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ ก่อนที่เครื่องยนต์จะเข้ามาทำงานเสริมช่วยในการ-ทำงานในบางจังหวะ อาทิ ระหว่างการเร่งแซง หรือเมื่อต้องเดินทางยาวๆ ด้วยความเร็วสูง ก็จะเป็นบทบาทหน้าที่ของบรรดาเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ติดตั้งเข้ามาร่วมกันทำงานกับระบบ
หากทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ใช่แนวทางของ Nissan ที่คิดค้นระบบ อี พาวเวอร์ขึ้นมาตอบตลาด พวกเขาต้องการสร้างสิ่งใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะปัญหาสำคัญของนิสสัน ก็ยังหนีไม่พ้นโจทย์สำคัญที่วางจะทำอย่างไร ให้คนหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น และพวกเขาปิ๊งไอเดียเด็ด .. ทำไมเราไม่ทำระบบไฮบริดที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนใช้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ขึ้นมาล่ะ !!!
จุดกำเนิดของระบบ E Power เกิดขึ้นตรงแนวความคิดนี้ นิสสัน พยายามต้องการสร้างรถยนต์ที่ขับประหยัด มีสมรรถนะดี และคล้ายรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า หากแต่แตกต่างตรงที่ระบบ อี พาวเวอร์ ไม่ได้ออกแบบมาให้สามารถเสียบปลั้กชาร์จไฟฟ้า ได้ แต่พวกมันอาศัยพลังงานไฟฟ้ามมาจากเครื่องยนต์ ที่ติดตั้งไว้เพื่อปั่นไฟฟ้าเข้าสุ่แบตเตอร์รี่เท่านั้น
ส่วนระบบขับเคลื่อนจริงๆ ของรถ จะเป็นเพียงระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ดึงเอาพลังงานจากแบตเตอร์รี่มาใช้ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องระยะทางการขับขี่ ซึ่งเป็นข้อจำกัดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ตลอดจนวิธีการใช้รถยนต์ของผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปจากปัจจุบัน แต่อย่างใด
แนวความคิดของ Nissan E Power นี้ ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจง่ายคือ การพัฒนาระบบไฮบริดแบบอนุกรม โดยอาศัยเครื่องยนต์มาเป็นเพียงเครื่องปั่นไฟฟ้า เข้าสู่แบตเตอร์รี่เท่านั้น แต่ก็ยังต้องมีทั้งระบบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงาน จึงยังไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แถมไม่สามารถเสียบปลั้กชาร์จไฟฟ้าได้ เหมือนรถไฟฟ้าขนานแท้ ที่บริษัทวางจำหน่ายคู่กัน
ผมเองยอมรับว่าค่อนข้างสนใจระบบ E Power มาก เนื่องจากแนวคิดของระบบขับเคลื่อนนี้เปรียบเหมือนบันไดก้าวไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่แท้จริง ตั้งแต่เปิดตัวออกมาในปี 2016 หลายสำนักข่าวต่างประเทศ ที่มีโอกาสไปทดสอบรถรุ่นนี้ที่ญี่ปุ่น ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ระบบ E Power น่าจะเป็นบันไดสำคัญสู่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ดังที่นิสสัน ตั้งปณิธานเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มของการพัฒนา และพวกเขาน่าจะทำสำเร็จด้วย แต่ว่า ความจริงจะเป็นอย่างไร .. ผมตัดสินใจว่าจะต้องลองสัมผัสด้วยตัวเอง
ก่อนอื่นของเรียนให้ทราบว่า การทดสอบทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบทความรีวิวชิ้นนี้ เป็นการขับจริง บนสภาพถนนจริงที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความแตกต่างจากประเทศไทย อยู่ 2-3 ประการ
1.การใช้ความเร็วในประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างจริงจังเรื่องจำกัดความเร็ว ในเมือง ใช้ความเร็วได้เต้มที่ ไม่เกิน 60 ก.ม./ช.ม. และนอกเมืองวิ่งบนถนนไฮเวย์ได้ความเร็วไม่เกิน 80 ก.ม./ช.ม. (บางทางด่วนให้ไม่เกิน 110 กม./ช.ม.)
2.สภาพอากาศที่ญี่ปุ่นมีความเย็นกว่าบ้านเรามาก ช่วงที่สอบอากาศที่นั่นถือว่าค่อนข้างหนาวมาก เพียง 18 องศาเซลเซียส โดยเฉลี่ยเท่านั้น (บ้านเราโดยส่วนใหญ่ก็จะร้อนตับแลบ 30 องศากว่าๆ )
ดังนั้นในงานรีวิวชิ้นนี้ จึงอยากให้อ่านเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น แล้วรอจนกว่า Nissan Note E Power เปิดตัวในประเทศไทย อีกคราว จึงจะทราบสมรรถนะที่แท้จริง
ท่ามกลางอากาศหนาวๆ ของประเทศญี่ปุ่น ผมกับเดือน เดินเที่ยวย่านที่พักเราแถวเขตชินนะงะวะ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนไปยังร้านเช่ารถ Nissan Ren A Car เพื่อรับรถ Nissan Note E Power เดินทางไปยังเมือง คามาคุระ แล้วต่อไปยังทะเลสาบ คาวากูชิโกะ ก่อนนำรถไปส่งคืนที่ Nissan Rent A car ใกล้สนามบินนาริตะ เพื่อเดินทางกลับประเทศไทย
Nissan Note E Power พร้อมรอเราอยู่แล้ว เจ้ารถ Nissan Note E Power สีแดงคันนี้ จะเป็นเพื่อนคู่ใจในการเดินทาง อีก 2 วัน สุดท้ายก่อนเดินทางกลับไทย
มองตัวรถดูหน้าตาแล้วก็น่าจะเรียกว่าถอดแบบ Nissan Note รุ่นปกติมาครบครันไม่มีผิดเพี้ยน หน้าตาเอยเรือนร่างเอย ทุกอย่างค่อนข้างคุ้นหน้าตาจากที่เห็นผ่านตาจากในบ้านเราไม่มีผิดเพี้ยนอะไรนัก ไม่ว่าจะโคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ กระจังหน้า V Motion ด้านหลังให้ไฟท้ายแบบ Led สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปทางภายนอก คือ ล้อรถที่เป็นล้อเหล็กแปะฝากครอบขนาด 14 นิ้ว จัดมาพร้อมยาง 185/70/ R14
เช็ครถเสร็จสรรพ เราขนของขึ้นรถ วันนี้มีกระเป๋าเดินทาง 3 ใบ หิ้วขึ้นรถได้อย่างสบายไร้ปัญหา เรื่องความอรรถประโยชนืในห้องโดยสารก็เรียกว่าเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยความยาวของห้องโดยสารของ Nissan Note เป็นทุนเดิม เมื่อบวกกับความสามารถพับเบาะ เราจึงสามารถขนสัมภาระทั้งหมดได้อย่างสบายไร้ปัญหาใดๆ
ส่วนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมื่อก้าวเข้าสู่ในห้องโดยสาร Nissan Note E Power มี 2 ประการ คือ 1. คันเกียร์ใหม่เป็นแบบจอยสติ๊ก เห็นกลมๆ มีปุ่มกดแบบนี้ หายคนอาจจะงง วิธีการใช้งาน เมื่อไม่มีด้านเกียร์หรือ Shifter ให้ใช้ แต่วิธีการใช้งานของมันนั้นง่ายมาก และออกแบบมาให้คล้ายรถยุโรป อย่าง Mercedes Benz ด้วยการผลักชิดขวา แล้วลากไปตำแหน่งต่างๆ ได้แก่
– ลากขึ้นบน เมื่อต้องการถอยหลัง
– ลากไปข้างขวาตรงๆ เมื่อต้องการเข้าสู่เกียร์ว่าง
-ลากไปทางขวา แล้วลงล่าง เมื่อต้องการเข้าสู่เกียร์ D และ B
นอกจากคันเกียร์ที่เปลี่ยนไปแล้ว หน้าปัดเรือนไมล์ ยังดูดีมีความทันสมัยมากขึ้นด้วย เรือนไมล์ Nissan Note E power ใหม่ เปลี่ยนจากเดิมที่ดูโบราณคร่ำครึ มาเป็นเรือนไมล์แบบรถไฮบริด ที่บอกเพียงค่าความเร็วขณะขับขี่ ไร้รอบเครื่องยนต์ ส่วนตรงกลางเรือนไมล์ในช่องกลมๆ เป็นชุดหน้าจอแสดงข้อมูลอัจฉริยะ สามารถบอกข้อมูลได้หลายแบบ เช่นระยะทางในการขับขี่ที่เหลือ เป็นต้น
กดปุ่มสตาร์ท เครื่องยนต์ทำงานยังคงเป็นความคุ้นเคยบ่งบอกว่ารถพร้อมเดินทางแล้ว แต่มันจะทำงานเพียงสักครู่เดียวก็ดับ กลายเป็นความเงียบเข้ามาแทนที่ จนในระหว่างการเดินทางหลายครั้งผมเองไปกดสตาร์ทซ้ำ จึงรู้ว่านี่เราสตาร์ทรถแล้ว..
ได้อีพาวเวอร์มาทั้งที จะขับให้มันรู้ก็คงต้องขับในพื้นที่ลักษณะเมือง การเดินทางของเราวันนี้ปลายทางจะไปดูทะเลญี่ปุ่นที่ชายหาดเมือง คามากุระ ทีแรก ผมวางแผนเอาไว้อย่างดีว่า เราจะขึ้นทางด่วนไปมันจะได้เร็ว แต่แล้วเราก็พบว่า ร้านรถเช่าไม่ได้ให้ ETC Pass สำหรับขึ้นทางด่วนมาด้วย เราจึงตัดสินใจเดินทางด้วยเส้นทางธรรมดาที่มีระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร และทั้งหมด เป็นการขับขี่ผ่านเมือง
กวาดพวงมาลัยออกเดินทาง แรกๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการทำงานของระบบ E Power นัก และยังกังวลเรื่องการใช้งานอยู่บ้าง เนื่องจากระบบ E Power เป็นนวัตกรรมการขับขี่ใหม่ ถึงจะเรียนรู้วิธีการทำงานของระบบ ที่ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบแถวเรียงขนาด 1.2 ลิตร ที่เราคุ้นเคย HR12 DE มาควบกล้ำกับแบตเตอรืรี่ เพื่อปั่นไฟฟ้าส่งต่อเข้าแบตเตอร์รี่ไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าใช้ แต่หากเทียบกับระบบไฮบริดแบบอื่นๆ แล้วถือว่า แตกต่างโดยสิ้นเชิง
ช่วงแรกที่ขับออกมา ยอมรับว่ารู้สึกแปลกๆที่รถวิ่งด้วยความรู้สึกเหมือนรถไฟฟ้ามากๆ การใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้มันออกตัวได้เร็ว จนไม่ต้องใช้คำพูดว่า “กระทืบคันเร่ง” แค่แตะเบาๆ รถก็พร้อมจะออกตัวอย่างรวดเร็วทันที แถมด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนทำให้รถเดินทางแบบนุ่มนวลไร้รอยต่อเกียร์ ไม่มีอาการสะดุดกระตุกใดๆ ให้น่ารำคาญใจ
เส้นทางขับในวันแรก เป็นแบบเมืองทั้งหมด การขับในเมืองที่ญี่ปุ่นให้ใช้ความเร็วเต็มที่ไม่เกิน 70 ก.ม./ช.ม.
ช่วยขับความเร็วต่ำความเงียบของการทำงานด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้รถค่อนข้างจะเงียบพอสมควร แต่นั่นก็เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะเมื่อเครื่องยนต์ติดการทำงานขึ้นมาชาร์จไฟฟ้า เสียงเครื่องยนต์จะดังกระหึ่ม จนน่ารำคาญเหมือนกัน แต่ก็เพียงพักเดียวเท่านั้น เครื่องยนต์ก็จะดับการทำงานไป
ช่วงระหว่างขับในเมืองล่องไปตามถนนจากชินนะงะวะ ไปยัง คามากุระ ตลอดทางสภาพเส้นทางเป็นแบบถนน 4 เลน มีไฟแดงตลอดเส้นทาง การขับขี่ของผม ใช้ความเร็วได้สูงสุดเพียง 60 ก.ม./ช.ม. สภาพการจราจรแบบนี้สำหรับบ้านเรา ก็คงจะเรียกว่าเป็นขับในเมืองล้วนๆ ตลอดการขับขี่จนถึงปลายทางเมือง คามากุระ ระหว่างทางอัตราประหยัดโชว์ตัวเลขสุดประทับใจ 23-24 ก.ม./ลิตร
ปลายทางวันแรกที่ชายทะเล เมือง คามาคุระ
เช้าวันต่อมา ผมกับเดือนออกจากเมืองคามาคุระเดินทางต่อไปยังเมืองคาวากูชิโกะ ถนนในวันนี้เรียกว่าเป็นเส้นทางการขับขี่แบบต่างจังหวัดก็ว่าได้
เส้นทางแบบ ถนนเลนสวน เรียกว่าเป็นหนทางปกติที่คุณสามารถพบได้ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น ขับบนเส้นทางแบบนี้ Nissan Note E power ก็มีโหมดการขับขี่ให้คุณเลือกได้ตามต้องการ ช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ คุณสามารถเลือกปรับได้ 2 โหมด ได้แก่ โหมด Eco สำหรับความต้องการความประหยัดสูงสุดในการขับขี่ และโหมด Sport สำหรับเปลี่ยนเจ้าเปี๊ยกคันนี้ให้ขับมันส์สนุกสนานมากกว่าเดิม
การเลือกโหมดการขับขี่ทำได้ง่าย โดยปุ่มเล็กๆ ที่อยู่ตรงคอนโซลกลางถัดลงมาจากตัวคันเกียร์ของรถ เมื่อเลือกโหมดการขับขี่ใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะ Eco หรือ Sport เจ้า Nissan Note E Power จะร่ายมายากลวิเศษในการขับขี่ด้วย E-Pedal
ระบบ E Pedal เป็นระบบช่วยในการขับขี่ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรถยนต์ของนิสสันที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับขี่ ซึ่งอนุญาตให้ผู้ขับขี่สามารถเร่งและเบรก โดยการใช้งานผ่านแป้นคันเร่งเพียงแป้นเดียว โดยไม่จำเป็นต้องใช้เบรกเพื่อ ชะลอ หรือหยุดรถในระหว่างการขับขี่ และเมื่อระบบทำงานไฟเบรกด้านหลังจะติดเพื่อเตือนผู้ขับขี่ด้านหลังอัตโนมัติ คล้ายกับเวลาที่คุณเหยียบเบรก
การทำงานของ ระบบ E Pedal อาศัยแรงต้านในมอเตอร์ไฟฟ้า เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มันมีข้อดีอย่างยิ่งยวดช่วยเพิ่มความสบายในการโดยสารมากขึ้น ยิ่งกับใครที่ขับรถแล้วชอบเบรกจนหัวทิ่วหัวตำ จนโดนแฟนวาดสายตารังสีอำมหิตมาบ่อยครั้ง ระบบนี้นับว่าเป็นผู้ช่วยที่ดีพอสมควร
จากที่ผมทดลอง การใช้งาน E Pedal ยังจำเป็นที่คุณจะต้องกะระยะแรงเฉื่อยที่ถูกต้องในระหว่างการขับขี่ เนื่องจากระบบเป็นเพียงการอาศัยแรงเฉื่อยจากมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ได้มีการคำนวณหรือช่วยคุณเบรกให้เทพขึ้นแต่อย่างใด ที่สำคัญแต่ละโหมดการขับขี่ก็จะมีการหน่วงแตกต่างกันด้วย โดยในโหมดสปอร์ตจะมีการหน่วงของ E Pedal มากกว่า โหมดประหยัด อย่างชัดเจน และเมื่อทำความคุ้นเคยแล้ว ระบบ E Pedal ก็จะช่วยให้คุณสามารถขับขี่รถได้นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะกำลังซิ่งในโหมดสปอร์ต หรือขับเป็นยายแก่ในโหมดประหยัด
ไม่นานเราก็เดินทางมาถึงเส้นทางชมวิว ที่เรียกว่า Mazda Sky Way ก่อนต่อเนื่องไปยัง Ashinoko Sky Way เส้นทางแห่งนี้เป็นปลายทางสำคัญวันเสาร์-อาทิตย์ ของคนรักรถหรือเล่นรถที่จะนำรถขึ้นมาขับชมวิวและทดสอบรถกันไปด้วย
โชคดี เจอชายใหญ่ที่ Ashinoko Skyway ระหว่างทางไปเมือง Gotemba
ผมขึ้นเขาด้วยโหมด Eco ยอมรับเลยว่า Nissan Note E Power ไม่ทำให้ผิดหวัง รถสามารถใช้ความเร็วในการขึ้นเขาได้ดีกว่าเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องกำลังที่มีเหลือเฟือ แต่เมื่อขึ้นเขามอเตอร์ไฟฟ้าจะกินกำลังมากกว่าปกติ ทำให้เครื่องยนต์ติดการทำงานตลอดเวลา เพื่อปั่นไฟฟ้าเข้าแบตเตอร์รี่ให้พอการใช้งาน
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังเป็นทุนเดิม อาจจะสร้างความรำคาญใจในระหว่างการเดินทางอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับการพารถยนต์เครื่องเล็กๆ ขึ้นเขาแล้ว คงต้องยอมรับว่า เสียงเครื่องยนต์ที่เดินรอบอยู่ราวๆ ประมาณ 4,000 รอบต่อนาที โดยประมาณ น่ารำคาญน้อยกว่า การที่คุณจะต้องบดคันเร่งติดพื้นในบรรดารถยนต์เครื่องเล็กขนาด 1.2 ลิตร ขึ้นภูเขาชันๆ แบบนี้ แน่นอน
สรุป Nissan Note E Power สมรรถนะดีกว่า … เหลือรอฟังราคาเมื่อมาไทย
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงกลางปี ผมมีโอกาสเอาเจ้า Nissan Note เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ที่เปิดตัวในไทยมาขับ สิ่งที่ผมมักจะออกปากกับผู้ที่สนใจรถรุ่นนี้เสอม คือ เรื่องพละกำลังเครื่องยนต์ที่ทำได้เพียงพอไปวัดไปวา แต่ช่วงล่าง ฟังชั่นการขับขี่ต่างๆ ถือว่าอยู่ในระดับที่เหนือชั้นเมื่อเทียบกับรถอีโค่คาร์หรือแม้แต่กระทั่งซิตี้คาร์ 5 ประตูเครื่อง 1.5 ลิตร ที่ไม่มีระบบอำนวยความสะดวกและปลอดภัยมาให้เทียบเท่าในราคา 6 แสนกว่าบาทกลางๆ
ในระหว่างที่ผมขับ Nissan Note E Power ช่วงสุดท้าย ผมนั่งรำลึกถึงการลองสมรรนถะสั้นๆ 0-100 ก.ม./ช.ม. แบบจับเวลาด้วยนาฬิกา มีผม เดือน และกระเป๋าสัมภาระในการเดินทาง 3 ใบ เราขอลองครั้งเดียวเท่านั้น ผมจับเวลาได้ 9.7 วินาที ถือว่าเร็วมากๆ จนเดือนที่ไม่เคยชอบ Nissan Note ถึงกับออกปาดความน่าเหลือเชื่ออัตราเร่งนี้
มันเร็วกว่า รถเครื่อง 1.5 ลิตร ปัจจุบัน ที่มักจะทำเวลาได้ 14-15 วินาที ถึง 6 วินาที และถ้าเทียบกับ Nissan Note เครื่อง 1.2 ลิตร ที่ทำอัตราเร่งได้เฉลี่ย 17.0 วินาที ก็เท่ากับว่า Nissan Note E Power ทำอัตราเร่งได้เร็วกว่าเกือบเท่าตัว
แถมเมื่อเทียบกับอัตราประหยัดเฉลี่ยรวมตลอดการเดินทาง 407 กิโลเมตร เราใช้น้ำมันไปเพียง 20.75 ลิตร (เติมด้วยน้ำมัน Regular) เทียบเท่าน้ำมันเบนซิน 91 เราได้อัตราประหยัด 19.61 ก.ม./ลิตร ตลอดการเดินทาง ซึ่งรวมทั้งการขึ้นเขาสู ถึง 2 ครั้ง การขับในเมือง และขับบนเส้นทางด่วนกลับมายังสนามบินนาริตะ อีกด้วย
ถามผม Nissan Note E Power จะเป็นผู้เปลี่ยนเกมรายสำคัญของนิสสัน หากพวกเขาทำการบ้านมาอย่างดีในการนำเสนอรถรุ่นนี้สุ่ตลาดประเทศไทย จากที่ขับผ่านมือมา 2 วันเต็มๆ เป็นที่ชัดเจนว่า รถรุ่นนี้ตอบโจทย์ที่คนส่วนใหญ่มองหา ไม่ว่าจะสมรรนถะในการขับขี่ หรือความสามารถในด้านความประหยัด ก็ทำได้ได้อย่างดีเยี่ยมทั้ง 2 ด้าน
สิ่งเดียวที่จะชี้ชะตา Nissan Note E Power เมื่อเปิดตัวในไทยคือ เรื่องของราคาจำหน่ายของรถ ซึ่งปัจจุบันตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กไฮบริดไม่มีใครทำตลาดแล้ว หลังจากฮอนด้าถอนทัพ Honda Jazz Hybrid ไม่จำหน่ายต่อ
ในตอนที่ Honda Jazz Hybrid เปิดตัวทำตลาด ทางฮอนด้าวางขายด้วยราคา 768,000 บาท จนรถได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อมีโครงการรถคันแรกจากภาครัฐบาล หากนิสสันตั้งใจว่าจะทำตลาดเพื่อกลับมายึดหัวกาดรถยนต์ไฮบริดขนาดเล็ก เป็นเจ้าตลาดกลุ่มนี้ ก็สมควรจะต้องวางราคาในระดับเดียวกัน และไม่ควรแพงกว่า จนชนระดับ 8 แสนบาท เพราะไม่งั้นลูกค้าจะหันไปมองรถอเนกประสงค์เล็ก ที่ทั้งสนองความต้องการเรื่องขนาดและสมรรนถะดีกว่ ผ่อนต่อเดือนก็ไม่แพงกว่ากันมากมาย อะไร
Nissan Note E Power ใหม่ มีกำหนดการเข้าไทยในช่วงต้นปี 2018 ตามที่นิสสันได้ประกาศในการเตรียมตัวพารถเล็กรุ่นนี้เข้ามาให้คนไทยได้สัมผัส แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ในวันนี้ผมกล้าพูดเต็มปากว่า รถเล็กคันนี้ ไม่ธรรมดาเหมือนน่าตา คุณลองหลับตาลง จินตนาการรถเล็กซิตี้คาร์ที่สามารถเร่งได้ระดับเลขตัวเดียว ประหยัดระดับเครื่องดีเซลมีอาย … แค่นี้ ก็คงรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่ามันยอดเยี่ยมสักแค่ไหนกัน
เรื่องและขับทดสอบ ณัฐยศ ชูบรรจง
ติดตามการทดสอบรถยนต์และเรื่องราวยานยนต์ต่างๆ ของเขาได้ ทาง Facebook
หมายเหตุ การขับทดสอบ Nissan Note E Power ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับการสนับสนุนจาก Nissan มอเตอร์ประเทศไทย การทดสอบในบทความเป็นไปอย่างอิสระ ในประเทศญี่ปุ่น
รถรุ่นที่ทำการทดสอบ คือ Nissan Note e – Power รุ่น X ราคาจำหน่ายในญี่ปุ่น 1,965,600 เยน หรือ คิดเป็นเงินไทย 570,000 บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่ 30 บาท / 100 เยน
ช่วยเป็นกำลังใจให้ทีมงาน