Home » แรกสัมผัส MG HS โฉมไทย งานนี้เอสยูวีญี่ปุ่นมีหนาว!!
Bust First Drive

แรกสัมผัส MG HS โฉมไทย งานนี้เอสยูวีญี่ปุ่นมีหนาว!!

MG HS เอสยูวีคันใหม่ตัวแทน GS เพิ่งให้สื่อมวลชนได้สัมผัสก่อนเปิดตัว มาครั้งนี้ทั้งความสวยหรูตั้งแต่ภายนอกถึงข้างใน ตลอดจนใส่เครื่องเทอร์โบกับอุปกรณ์ล้นคัน

ถ้าคุณจับตามองแบรนด์รถยนต์เอ็มจี นับจากวันแรกที่พวกเขาจำหน่าย MG 6 คันแรกตอนปี 2014 พัฒนาที่รถยี่ห้อนี้ได้ทำผ่านมาถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเขารู้รสนิยมคนไทยว่าอยากได้อะไรเมื่อต้องซื้อรถยนต์หนึ่งคัน และในวันนี้เจ้าเอสยูวีขนาด C-SUV คันใหม่ล่าสุด MG HS ที่เพิ่งให้สื่อไทยได้สัมผัสก่อนเปิดตัวในวันที่ 25 กันยายน ก็บอกกับเราเบื้องต้นแล้วว่า วงการรถยนต์ต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง…

การมาถึงของ HS มีจุดประสงค์หลักเพื่อแทนที่ MG GS ซึ่งเคยถูกตำหนิติเตียนในหลายประเด็น จนพักหลังๆ แทบไม่พบเห็นประชากรรถป้ายแดงรุ่นนี้ออกวิ่งบนถนนเท่าไหร่ และนี่เองคืองานหลักของ HS ในการกอบกู้ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของเอ็มจี ว่าถึงจะเป็นรถสัญชาติจีนเชื้อชาติอังกฤษ แต่ความตั้งใจจริงในการทำรถเพื่อตอบสนองลูกค้า จุดนี้จะทำให้คนที่มองเอ็มจีภาพลบคลายอคติลง เมื่อได้สัมผัสกับอเนกประสงค์คันใหม่ล่าสุด

เพื่อไม่เสียเวลาการอ่านอันมีค่าของผู้อ่าน เส้นสายภายนอกของ MG HS หลายคนที่มองก็ต่างตัดสินกันเองไปแล้วว่า เหมือนรถยุโรปผสมแบรนด์ญี่ปุ่น นำมาคลุกเคล้ารวมกันเขย่าจนออกมาเป็นเอสยูวียี่ห้อเอ็มจีคันนี้ ส่วนตัวแล้วด้านหน้ารู้สึกเหมือนกับเอา ZS มาขยายร่าง แต่เสริมความมีระดับด้วยไฟหน้าแอลอีดีพร้อมแถบไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ซึ่งทำงานเป็นไฟเลี้ยวในเวลาเดียวกัน

ตัวรถด้านของทางทีมงานระบุว่า HS ไม่ได้เน้นเส้นสายเฉียบคมเหมือนที่เคยปรากฏอยู่บน GS อีกต่อไป คราวนี้พวกเขาทำรถให้ออกมาดูโค้งมนกลมกลืนไปทุกสัดส่วน เหมือนกับรู้ใจลูกค้าชาวเอเชียส่วนใหญ่ว่าชอบการออกแบบรถสไตล์นี้ ดูไปดูมาแอบคล้ายกับเอสยูวีจากเมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน ทั้งนี้ ล้ออัลลอยให้เป็นขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง 235/50 R18 พะยี่ห้อ Goodyear รุ่น EfficientGrip ครบสี่ล้อ

เดินช้าๆ วนมาดูด้านท้ายรถจะพบกับโคมไฟท้ายแอลอีดีที่มีไฟเลี้ยวแบบวิ่งหรือ Sequential led tail lights แบบรถยุโรปราคาแพง ซึ่งดูแล้วเหมือนกับโคมลักษณะนี้เหมือนหยิบยืมมาจากรถค่ายใบพัดฟ้าขาวใช่ไหมล่ะ? ถัดลงมาจะเป็นปลายท่อไอเสียคู่ออกสองฝั่งซ้ายขวา งานนี้เป็นท่อคู่จริงๆ มีลมไอเสียปล่อยมาทั้งสองฝั่ง

การเข้าสู่ตัวรถทำได้สะดวกสบายตามสมัยนิยม ด้วยกุญแจทรงใหม่แบบ Keyless Entry เพียงใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปใกล้รถ ก็สามารถปลดล็อคแล้วเปิดประตูเข้านั่งในตัวรถได้แล้ว ขอบอกว่าน้ำหนักบานประตูไม่ได้หนักมากแต่รู้สึกกำลังพอดี ส่วนเสียงเปิดปิดประตูถือว่าทำได้แน่นไม่กลวงแต่อย่างใด

ทันทีที่เปิดโลกเข้าสู่ห้องโดยสาร HS บรรดาหนังหุ้มสีแดงบริเวณแผงประตู คอนโซลกลาง ตลอดจนเบาะนั่ง ทำให้บรรยากาศของรถคันนี้ต่างจาก GS โดยสิ้นเชิง ยิ่งพอได้ลองจับลูบคลำผิวสัมผัสของหนังที่หุ้มมาแล้ว เราบอกได้เลยว่าตัวจริงสวยกว่าในรูปถ่าย ซึ่งเบาะนั่งทรงบักเก็ตซีทคู่หน้า ในฝั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง ฝั่งคนนั่งข้างปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง นั่งแล้วรู้สึกโอบกระชับให้ฟีลเหมือนกับขับรถสปอร์ต แต่มีความสบายไม่บีบรัดสรีระมากเกินไป

ประเด็นการออกแบบแผงแดชบอร์ดด้านหน้า คราวนี้ HS ลบภาพเดิมๆ ที่ลูกค้าเคยบ่นบน GS ได้ดีมาก เพราะเส้นสายภายในดูเรียบหรูไม่ได้มีปุ่มกดจำนวนมากเหมือนอย่างเคย ทุกสิ่งย้ายไปใส่บนหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว ที่ใช้ควบคุมระบบสาระบันเทิง เครื่องเสียง เครื่องปรับอากาศ โดยการตอบสนองจัดว่าลื่นไหล แล้วตัวอินเทอร์เฟสเองก็ดูง่ายสบายตาแถมมีความทันสมัยอีกต่างหาก เกือบลืมบอกไปว่าครังนี้ HS เขามอบกล้องมองภาพรอบคัน ที่จะแสดงผลผ่านจอกลางพร้อมกับโมเดลรถ 3 มิติ เฉกเช่นรถยี่ห้อหรูที่เขาชอบทำกัน

แน่นอนว่าระบบ i-Smart ที่เอ็มจีภาคภูมิใจยังคงติดตั้งเช่นเดิม โดยฟีเจอร์สำคัญๆ อย่างการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเพื่อเช็คสถานะรถ หรือจะเป็นเรื่องของการฟังเพลงผ่านแอพฯ Truemusic ก็มีครบถ้วน ซึ่งรายละเอียดอื่นๆ ที่อาจมีเพิ่มเติมต้องรอการระบุตอนวันเปิดตัวอีกที

พวงมาลัยรูปทรงยังคงคล้ายกับที่อยู่บน ZS เอสยูวีรุ่นเล็กตัวขายดี แต่จากการสัมผัสจริงรู้สึกว่าหนังหุ้มมีความเนียนมือกว่า แถมด้วยการติดตั้งปุ่ม SuperSport สีแดง ที่เมื่อกดใช้งานจะไปปรับการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ คันเร่ง น้ำหนักพวงมาลัย หน้าจอแสดงผล รวมถึงไฟสร้างบรรยากาศในตัวรถ ให้มีลักษณะการทำงานเพื่อความแรงโดยเฉพาะ

เงยหน้าขึ้นไปนิดหน่อยจะพบกับจอสีแสดงข้อมูลสำคัญของรถ พร้อมด้วยมาตรวัดความเร็วกับรอบเครื่องอยู่ด้านซ้ายขวา ซึ่งต่างจากเวอร์ชั่นจีนที่ให้จอขนาดใหญ่ TFT เต็มตา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการแสดงข้อมูลต่างๆ ในจอกลางอาจเล็กไปซักนิดสำหรับผู้ใช้ที่สายตาไม่ค่อยดี แต่โดยรวมตัวฟร้อนหนังสือยังอ่านได้ง่าย ความสว่างสู้แสงเวลากลางวันทำได้เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนรูปแบบการแสดงข้อมูลได้ อาทิ ข้อมูลเดินทางโดยรวม ระยะห่างของระบบ Adaptive Cruise Control หรือระบบแจ้งเตือนวัดลมยาง TPMS

ถัดมาบริเวณคันเกียร์จะเห็นว่ามีการหุ้มหนังสลักสัญลักษณ์ยี่ห้อ MG ไว้ ด้านข้างเป็นที่วางปุ่มไฟฉุกเฉิน ปุ่มปรับโหมดขับขี่ ปุ่มเปิดฝาท้าย ปุ่มใช้งานกล้องรอบคัน และปุ่มเบรกมือไฟฟ้า กับระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติ สำหรับคนที่ต้องเจอสภาพการจราจรติดขัดในเมืองบ่อยครั้ง

ไม่รอช้ารีบไปนั่งเบาะหลังเพื่อซึมซับความสบายทันที ผลคือตัวเบาะหลังมีฐานรองนั่งที่นุ่มกำลังดีไม่ยวบ ความยาวในการรองรับช่วงขาสำหรับคนตัวสูงทำได้ค่อนข้างโอเค ส่วนพนักพิงเบาะเองปรับเอนได้เล็กน้อย ตรงกลางให้ที่วางแขนพร้อมช่องวางแก้วน้ำที่ต้องกดปุ่มเพื่อเปิดใช้งาน กับฝาปิดที่ใส่ของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนเป็นรายละเอียดที่เอ็มจีทั้งใจทำกับ HS แบบชัดเจน

ว่ากันด้วยเรื่องพื้นที่นั่งด้านหลัง ต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนตัวสูง 170 เซนติเมตร นั่งแล้วที่วางขาเหลือเยอะมาก ส่วนด้านบนเหนือศีรษะแม้จะมีหลังคากระจกพาโนรามิกซันรูฟที่อาจเบียดที่อยู่บ้าง แตการใช้งานจริงต้องบอกว่าพื้นที่เหนือศีรษะขึ้นไปให้มาเหลือเฟือ คนตัวสูงนั่งได้ไม่ติดหลังคาแน่นอน เกือบลืมบอกไปว่า HS มอบช่องเป่าลมแอร์ด้านหลัง กับช่องเสียบ USB ไว้ชาร์จสมาร์ทโฟนจำนวน 2 ช่องให้มาด้วย

ลองขับเครื่องเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร 169 แรงม้า บล็อกเดิม…

ก่อนการทดลองขับ MG HS วนสองรอบสนาม ทางทีมงานไม่ได้เปิดเผยถึงสเป็คเครื่องยนต์บนรถคันที่ให้บรรดาสื่อได้ขับ แต่จากการเปิดดูฝากระโปรงหน้ารถแล้วพบกับเครื่องยนต์ ก็พอระบุได้ว่ามันเป็นเครื่องเบนซินเทอร์โบ 4 สูบเรียง แบบฉีดตรง ขนาด 1.5 ลิตร ที่อยู่บน GS มาก่อน ทั้งนี้ หากอ้างอิงตามตัวเลขแรงม้าบน HS โฉมจีน ขุมพลังตัวนี้ปั่นกำลังสูงสุด 169 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 275 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,000 รอบต่อนาที แล้วจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ DCT 7 สปีด ผ่านไปยังระบบขับเคลื่อนสองล้อหน้า

ว่ากันเฉพาะเรื่องการตอบสนองของเครื่องกับเกียร์ลูกเดิมนี้ก่อน ตอนแรกคิดว่าทางเอ็มจีคงได้ทำการบ้านจาก GS ซึ่งถูกหลายคนบ่นไปหนาหู มาคราวนี้ตอนที่เรากดคันเร่งมิดเพื่อออกตัวจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยังพบอาการหน่วงคิดก่อนจะปล่อยพลังพรวดสู่ล้อหน้า อารมณ์คล้ายกับตอนขับ GS ตัวเก่า เพียงแต่การคิดมีความไวมากขึ้น การสับเปลี่ยนเกียร์เมื่อกดเต็มเท้าทำได้ลื่นไหลไม่พบอาการกระตุก ทว่าตัวเลขน่าจะทำได้ดีขึ้นมาอยู่ในตัวเลขระดับไม่เกิน 11 วินาที

ขับดีขึ้น พวงมาลัยคล่อง ช่วงล่างแน่น

ต่อเนื่องจากช่วงทดสอบอัตราเร่ง สนามที่เราได้หวด HS มีช่วงโค้งซ้ายขวาให้เราได้เบรกพร้อมกับการกดคันเร่งเติมความเร็วเพิ่ม สิ่งที่เรารู้สึกคือตัวเกียร์ลูกนี้จะไม่ได้ตวัดเปลี่ยนไวเพื่อรองรับการรีดกำลัง กล่าวคือกดลงไปซักพักแล้วเกียร์จะตบเปลี่ยนลงเพื่อปั่นพลังเติมตามเท้า ในบางครั้งอาการเช่นนี้ทำให้เสียจังหวะในการเดินคันเร่งเพื่อนำพารถออกสู่โค้งอยู่บ้าง

ในเรื่องการตอบสนองของพวกมาลัย เป็นจุดที่สร้างความประทับใจแก่ตัวผู้เขียนค่อนข้างมาก เพราะเมื่อนำความรู้สึกตอนได้ทดลองขับ GS ต้องบอกว่า HS พัฒนาในทางดีขึ้นชัดเจน การหมุนควงพวงมาลัยขณะรถจอดทำได้เบามือ การขับที่ความเร็วต่ำๆ จัดว่าเบาคล่องแคล่ว ถ้าคุณผู้หญิงได้ขับอาจพูดออกมาทันทีว่าเบามือถูกใจ แต่พอวิ่งในช่วงความเร็วเดินทางเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความหนืดหน่วงรวมถึงระยะฟรีจะมีเพิ่มขึ้นในปริมาณกำลังเหมาะสม พอถึงช่วงต้องขับทางคดเคี้ยวหักโยกซ้ายขวา ความคมของพวงมาลัยสามารถกะระยะการเลี้ยวได้ง่ายตามใจคิด

ประเด็นช่วงล่างเป็นไปบนทิศทางเดียวกับพวงมาลัย คือให้ความรู้สึกหนึบแน่นแต่ยังมอบความนุ่มสบาย โดยจังหวะการโยนตัวเมื่อหักพวงมาลัยซ้ายขวาเปลี่ยนทิศทาง ตัวรถมีการโคลงตัวอยู่ในระดับดี ไม่ได้ยวบไปมาจนต้องเกร็งมือจับพวงมาลัยเพิ่ม การถ่ายเทน้ำน้ำหนักตัวรถทำได้เป็นธรรมชาติ เรื่องการซับแรงสะเทือนเมื่อผ่านผิวถนนไม่เรียบยังมีความรู้สึกถ่ายเทถึงคนขับอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สะเทือนจนหัวสั่นคลอนแต่อย่างใด

ด้านระบบเบรกทำได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักขณะกดเพื่อหน่วงความเร็วจากระดับเลขสามตัวทำได้เหมาะสม ไม่ได้แข็งหรือนุ่มนิ่มเกินไป ที่สำคัญคือตอนเบรกเต็มเท้าตัวรถเหมือนมีการกระจายน้ำหนักไปยังทั้งสี่ล้อได้ดี อาการเบรกแล้วหัวทิ่มหัวตำไม่ได้ปรากฏขึ้นให้รำคาญใจ

สำหรับประเด็นสุดท้ายที่จะพูดถึง คงหนีไม่พ้นเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัย โดยคราวนี้ HS จัดเต็มมาเพื่องัดข้อกับคู่แข่งสัญชาติญี่ปุ่นเต็มที่ ทั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน และอื่นๆ ที่คาดว่าจะมีระบุอย่างเป็นทางการในวันเปิดตัวอีกที

สรุปแรกสัมผัสของ MG HS รอบนี้รถจากแดนมังกรจะพิสูจน์ให้เห็นว่าหากพวกเขาตั้งใจทำอะไร ผลลัพธ์ตามมาสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ลูกค้ารวมถึงบรรดาคู่แข่งในตลาดได้เสมอ ส่วนราคาเปิดตัวคาดว่าจะอยู่ในช่วง 9xx,xxx-1,3xx,xxx บาท และสิ่งสำคัญไม่แพ้กันก็คือ บริการหลังการขายตลอดจนความทนทานของอะไหล่ ว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของชาวไทย ที่ชอบรถใช้งานได้ยาวนาน ไม่จุกจิก และซ่อมบำรุงรักษาได้รวดเร็ว แถมต้องไม่แพงได้หรือไม่

ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.