หลายคนเซ็นใบจองตั้งแต่วันแรกที่ MG HS เปิดตัวโดย วันนี้ทางเราได้โอกาสในการหวดเอสยูวีดาวรุ่งดวงใหม่แบบเต็มที่ ด้วยการรีวิวแบบที่ผู้อ่านได้ประโยชน์สูงสุด
เมื่อคุณอยากได้รถคันใหม่มาเป็นม้างานรับใช้ตัวคุณรวมถึงทุกคนในบ้าน คุณมีเกณฑ์การเลือกรถอย่างไรบ้าง? บางคนก็ตั้งโจทย์ไว้ก่อนเลยว่าจะต้องมีขนาดใหญ่กว่าเดิม อีกทั้งราคาจำหน่ายต้องเหมาะสม หรือไม่ก็ดูเรื่องขุมพลังว่าต้องแรงตอบสนองการแบกน้ำหนักได้ดี และก็มีบ้างที่เลือกรถจากรูปลักษณ์ภายนอกภายใน ซึ่งทุกข้อที่กล่าวมาเป็นเรื่องปกติไม่ได้ผิดแปลกอะไร
หนึ่งในตัวเลือกที่จะมาทำลายกำแพงอันสูงลิ่ว ของบรรดาลูกค้ายุคใหม่ที่มีโจทย์มากมายต่อการซื้อรถในยุคปัจจุบัน เพิ่งถูกปลุกขึ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 นั่นก็คือการมาของ MG HS เอสยูวีขนาดคอมแพ็คที่ทำราคาเซอร์ไพรซ์วงการด้วยตัวท็อปรุ่น X เพียง 1,119,000 บาท สร้างกระแสเม้ากันปากต่อปากทั่วบ้านทั่วเมืองถึงความใจกล้าของเอ็มจี ว่าเหตุใดราคาถึงถูกมากเมื่อเทียบคู่แข่งพิกัดขนาดเดียวกัน ที่ราคาพวกนั้นทะลุหลัก 1.3 ล้านบาท ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยความสวยงามของ HS ตลอดจนรายการอุปกรณ์มาตรฐาน เครื่องยนต์ ช่วงล่าง และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ใส่มาเต็มเอี้ยด หลายคนตั้งคำถามว่าแล้วเจ้า C-SUV คันนี้จะตอบสนองได้ประทับใจเหมือนกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นหรือเปล่า? เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราขออาสารับหน้าที่พาผู้อ่านทุกท่านไปไขข้อสงสัยเหล่านั้น
โฉมกายสวยสะดุดตา ยิ่งภายในให้อารมณ์หรูหราไม่ด้อยกว่ารถแบรนด์ยุโรป
เริ่มรีวิวกันด้วยการอภิปรายในด้านความสวยงามของ HS กันซักหน่อย โดยกระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ได้แรงบันดาลใจ มาจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ดึงดูดเข้าหากัน ไฟหน้าโฉบเฉี่ยวแบบ LED Projector พร้อมไฟ DRL และไฟท้ายแบบ Space Light Field ยิ่งไปกว่านั้น ไฟเลี้ยวทั้งด้านหน้าและหลังแสดงผลไล่ระดับแบบ Sequential ส่วนล้ออัลลอยให้มาขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง Goodyear Efficientgrip ขนาด 235/50 R18
เวลาที่รถจอดนิ่งมันก็ดูสวยสมกับการเป็นรถเอสยูวียุคใหม่ที่เน้นเส้นสายอ่อนช้อย แต่พอรถเริ่มวิ่งออกตัวแล้วเราได้ขบตามท้ายรถคันหน้า ตอนที่ได้เห็นบั้นท้ายของ HS ที่วิ่งเทียบข้างกับเอสยูวีในระดับเดียวกันจากแบรนด์ญี่ปุ่น ต้องบอกว่าโฉมท้ายของเอสยูวีจากเอ็มจีให้ความอวบอิ่มแน่นเต็มมากกว่า ส่วนใครคิดว่ามันดูดีไม่แพ้เอสยูวีแบรนด์หรูอันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล
ห้องโดยสารที่สร้างความว้าวให้กับผู้คนที่พบเห็นจากในรูป บัดนี้ เราได้มีโอกาสมานั่งขับสัมผัสกับผิววัสดุจริงก็พบว่า การตกแต่งด้วยหนังสีแดงพร้อมตะเข็บเย็บในเกือบทุกบริเวณภายในรถ ช่วยยกระดับบรรยากาศภายในของ HS ให้ก้าวผ่านอดีตของ GS ที่ลูกค้าเคยบ่นกันว่าไม่สมราคาการเกิดมาเป็นเอสยูวี ซึ่งตอนนี้มันได้ก้าวล้ำหน้าไปกว่าเอสยูวีขนาด C-SUV แบรนด์ญี่ปุ่นหลายๆ รุ่นไปแล้ว ขณะเดียวกัน การประกอบชิ้นส่วนภายในยังทำได้แน่นหนา ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดรู้สึกหลวมสั่นคลอนเมื่อเราทำการโยกขยับแรงๆ แต่อย่างใด
มาถึงประเด็นความสบายกันบ้าง เริ่มจากเบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าแบบ Bucket ทรงสปอร์ตสีดำสลับแดง มีส่วนหุ้มด้วยวัสดุ Alcantara หนังมีความนุ่มพอประมาณ ฐานเบาะกับพนักพิงรองรับสรีระคนขับสูง 170 เซนติเมตร น้ำหนัก 80 กิโลกรัม ได้แบบโอบกระชับไม่แน่นมากเกินไป แม้ว่าตัวพนักพิงศีรษะจะไม่สามารถเลื่อนขึ้นลงได้ แต่มันก็มีความดันศีรษะอยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้ เบาะฝั่งผู้ขับปรับได้ 6 ทิศทาง ส่วนเบาะคนนั่งข้างปรับได้แค่ 4 ทิศทาง คือ เลื่อนหน้าหลัง กับปรับพนักเบาะเอนเท่านั้น
เราลองกระโดดจากฝั่งด้านหน้ามานั่งเบาะแถวสองเพื่อดูว่าความสบายจะมีมากขนาดไหน จากการนั่งพบว่าเมื่อเบาะคู่หน้าถูกปรับอยู่ในตำแหน่งขับขี่ปกติ พื้นที่วางขาจัดว่ามีกว้างขวางไม่ด้อยกว่าคู่แข่งคันอื่น รวมถึงพื้นที่เหนือศีรษะที่แม้ว่ารถจะติดตั้งหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ แต่เมื่อนั่งแล้วยังมีพื้นที่ว่างเหลือเยอะพอที่คนสูงเกิน 175 เซนติเมตร หัวไม่ชนหลังคา แต่สำหรับใครที่นั่งตรงกลางจะรู้สึกไม่สบายเท่าคนนั่งหลังตำแหน่งซ้ายขวา ซึ่งก็เป็นปกติสำหรับรถ 5 ที่นั่งอยู่แล้ว
ต่อมาเป็นเรื่องห้องเก็บสัมภาระ จุดนี้ HS อาจไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่หากเทียบกับคู่แข่ง แต่ก็สามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาด 26 นิ้ว ได้สองใบแบบสบายๆ อีกทั้งยังให้แผ่นปิดบังสัมภาระกรณีต้องการใส่ของมีค่าไว้ท้ายรถ โดยรวมแล้วเพียงพบสำหรับการใช้งานในครอบครัวที่มีสมาชิก 3-5 คนได้แบบพอดี นอกจากนี้ การเปิดประตูท้ายยังทำได้สะดวกด้วยการกดผ่านรีโมท กดจากตำแหน่งคนขับ หรือกดตรงฝาท้าย แล้วมันจะเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า กรณีอยากได้ความสบายเพิ่มขึ้นอีกขั้น ก็สามารถจ่ายเงินราว 3,000 บาท เพื่อระบบเตะเปิดแบบไม่ต้องกดปุ่มก็ได้
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ทางเอ็มจีภูมิใจนำเสนอก็คงเป็น หน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว ที่นำทุกสิ่งอย่างของรถไปใส่ไว้รอให้ผู้ขับขี่ผู้โดยสารมาควบคุมผ่านหน้าจอ อาทิ การปรับเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกซ้ายขวา เครื่องเสียง การตั้งค่าของรถ ระบบสั่งการด้วยเสียง หรือจะเป็นการเช็คข่าวสารต่างๆ และอีกหลายสิ่งที่คุณผู้อ่านคงปวดหัวถ้าเราเขียนอธิบายมาหมด เอาเป็นเวลาตอบสนองของหน้าจอตัวนี้ทำได้ลื่นไหลปราศจากอาการหน่วง แถมยังมีอินเทอร์เฟสเมนูอ่านง่ายชัดเจนในทุกสภาพแสงอีกต่างหาก
จุดที่อยากชมเชย HS ในสิ่งที่บางคนอาจไม่ได้ใช้งานก็คือ ระบบนำทางที่ใช้ของ Tom Tom ซึ่งการใช้งานทำได้ง่ายไม่แพ้การค้นหาผ่านสมาร์ทโฟน สามารถกำหนดตัวเลือกการเดินทางทั้งขึ้นทางด่วน ไม่ขึ้นทางด่วน ทางลาดยาง หลีกเลี่ยงทางลูกรัง พร้อมกับฟีเจอร์แสดงผลการจราจรแบบเรียลไทม์ ที่โชว์ว่าอีกกี่กิโลเมตรหรือหลักร้อยเมตรตัวรถจะเข้าสู่สถานการณ์รถติดขัด จากการลองใช้ทำให้เรารู้สึกพอใจกับระบบนำทางบนรถคันนี้เป็นอย่างมาก
หน้าผู้ขับขี่ก็มีการใส่หน้าจอแสดงข้อมูลสำคัญขนาด 7 นิ้ว วางตรงกลางระหว่างเข็มวัดความเร็วกับเข็มวัดรอบเครื่อง ที่มีลักษณะต่างจากรถยนต์ทั่วไปในท้องตลอด ขนาดตัวหนังสืออาจเล็กไปบ้างสำหรับผู้ขับสูงวัย แต่โดยรวมดูแล้วยังอ่านง่ายในทุกสภาพแสง
ว่ากันให้ลึกในเรื่องจอหน้าคนขับซักหน่อย ตรงนี้เขาสามารถแสดงได้ถึงการเปลี่ยนโหมดขับขี่ อาทิ Eco, Normal, Sport, Custom และ Super Sport รวมถึงการปรับเลื่อนดูเมนูอื่นๆ เช่น รายการโทรเข้าออก การเล่นสื่อเสียง ระบบนำทาง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน การทำงานของระบบ ADAS ที่มีทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน เป็นต้น
เครื่องเทอร์โบเล็ก ตอบสนองช่วงกลางดี แต่กินจุตามน้ำหนักที่แบก
เครื่องเบนซินเทอร์โบ 4 สูบเรียง ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 162 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,700-4,400 รอบนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ TST รองรับน้ำมันเบนซิน E85 ยังคงเป็นแบบเดียวกับที่เคยมีอยู่บน MG GS ซึ่งหลายๆ ตั้งคำถามซ้ำเหมือนเดิมว่า ตอบสนองเป็นอย่างไร กินน้ำมันขนาดไหน?
อันแรกขอพูดถึงสมรรถนะเครื่องกับการทำงานผสานกันกับเกียร์ลูกนี้เสียก่อน จังหวะที่รถหยุดนิ่งแล้วกดคันเร่งจมมิดเพื่อออกตัวแบบกระทัน การส่งต่อกำลังจากเครื่องสู่เกียร์มีพละกับความไหลลื่นดี เผลอครู่เดียวทะยานสู่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 10.8 วินาที (เราทดลองจับเวลา 3 ครั้ง) ตัวเลขนี้ทำให้ HS ฟาดฟันกับเอสยูวีค่ายญี่ปุ่นที่มาพร้อมเครื่องเบนซินความจุมากกว่าได้สบาย
โหมดขับขี่มีให้มาเพียบทั้ง Eco, Normal, Sport, Custom และ Super Sport ปุ่มแดงบนพวงมาลัย โดยโหมดแรงสุดพอกดไปจะเปลี่ยนการตอบสนองของเกียร์กับคันเร่ง รวมถึงสีเข็มวัดรอบกับความเร็ว และสีไฟสร้างบรรยากาศภายในรถไปเป็นโทนแดง โดยจากการขับใช้งานจริงเราคิดว่ามันทำให้รถมีอาการเย่อยึกยักเมื่อกดแล้วถอนคันเร่ง เอาเป็นว่าโหมดนี้ถ้าคุณมีครอบครัวนั่งไปด้วยก็ไม่ควรจะกดใช้งาน เพราะคุณอาจโดนภรรยาเผ่นกระบาลทันทีที่ใช้มัน ผมเตือนแล้วนะ…
อีกอย่างที่คุณควรทราบคือหากต้องการขับโหมดเปลี่ยนเกียร์เอง จะต้องผลักหัวเกียร์ไปที่ตำแหน่งบวกลบ แล้วจึงจะสามารถกดแป้นเกียร์กระดิกนิ้วหลังพวงมาลัยได้ ไม่ใช่เหมือนอย่างรถยี่ห้ออื่นที่เพียงกดแป้นหลังพวงมาลัยก็ใช้งานโหมด M ได้ทันที
เมื่อเราขับรถออกมาสักพักก็เริ่มขับในแบบคนปกติทั่วไปเขาทำกัน คือลองขับในช่วงความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมือนกับว่าขับตามท้ายรถวิ่งช้าแล้วรอจังหวะแซงช่วงเหมาะสม จากนั้นจึงกดคันเร่งมิดเท้าเพื่อรีดกำลังเครื่อง ผลคือจะรู้สึกว่ามีอาการดีเลย์เกือบหนึ่งวินาที จากนั้นกำลังจากเครื่องถึงถูกถ่ายทอดส่งมายังเกียร์แล้วระเบิดพลังออกให้ตัวรถพุ่งไปข้างหน้า คาแรกเตอร์เช่นนี้ทำให้คนทั่วไปคิดว่า HS ขับแล้วน่าหงุดหงิดเร่งไม่ติดเท้าเหมือนรถเอสยูวีญี่ปุ่นเครื่องเบนซิน NA ทว่าที่จริงแล้วเราได้ทดลองขับจนรู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะสนุกกับรถคันนี้ได้มากกว่าเดิม
หากคุณต้องการขับ HS ให้มีความกระชับกระเฉงตอบสนองได้ทันใจ การคุมคันเร่งที่ต้องกดค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักให้ตัวเครื่องทยอยส่งกำลังผ่านชุดเกียร์คลัทช์คู่แบบไหลเพิ่มอย่างต่อเนื่อง การขับในสไตล์นี้ทำให้รถปลดปล่อยพลังออกมาแบบสม่ำเสมอโดยไม่ทำให้สมองเกียร์กับเทอร์โบรู้สึกหวาดกลัวว่าตัวเองกำลังจะพัง (ตอนที่ความเร็วคงที่แล้วกระทืบคันเร่งหนักเกียร์จะเปลี่ยนช้า คาดว่าเป็นการถนอมชุดคลัทช์กับเทอร์โบลูกเล็กไม่ให้พังคาเท้าไปเสียก่อน)
โดยการที่เราได้ปรับสไตล์เข้าหา HS ที่ใส่เครื่องบล็อกเล็กอัดพ่วงมากับเทอร์โบลูกน้อยพร้อมเกียร์คลัทช์คู่ มันทำให้การขับบนเส้นทางลัดจากเขาใหญ่มุ่งสู่ถนนมิตรภาพออกทางเดลี่โฮม ที่ตลอดทางระยะทางกว่า 24 กิโลเมตร มีทางเนินเขาสลับโค้งกว้างและโค้งหักศอก เป็นเหมือนกับการบอกให้เรารู้ว่า ถ้าคุณเข้าใจสไตล์ของ HS คุณก็จะมีรอยยิ้มขณะขับขี่มันได้มากกว่าเอสยูวีไร้ระบบอัดอากาศแบรนด์ญี่ปุ่นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม น้ำหนักตัวรถ 1,570 กิโลเมตร แม้จะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่นั่นก็ทำให้เจ้า HS กินน้ำมันดุดันกว่าเพื่อนในพิกัดเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตั้งแต่ออกจากโรงแรมคีรีมายา เขาใหญ่ มุ่งสู่ถนนมิตรภาพผ่านทางหลวงชนบทหมายเลข 3052 กับ 1016 เป็นระยะทางราว 33 กิโลเมตร ด้วยการขับขี่ทดลองเครื่องกับช่วงล่างแบบเต็มพิกัด ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันขึ้นโชว์ที่ 19.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เคาะหารตัวเลขออกมาอยู่ที่ 5.05 กิโลเมตรต่อลิตร
เอาล่ะตัวเลขในย่อหน้าข้างบนอาจทำร้ายจิตใจคนกำลังจะซื้อ HS ไปค่อนข้างเยอะ แต่หลังจากผ่านพ้นเส้นทางเข้าดังกล่าว เราได้เปลี่ยนมาขับในโหมดเดินทางไกลใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผลคือจากเขาใหญ่สู่โรงแรมแพนนินซูล่า กรุงเทพฯ ย่านเจริญนครใกล้กับห้าง Icon Siam ได้พบกับตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 9.7 กิโลเมตรต่อลิตร ในระยะทางรวม 183.3 กิโลเมตร กรณีที่คุณเป็นคนขับรถช้ากับกดคันเร่งเบา น่าจะพบตัวเลข 11-12 กิโลเมตรต่อลิตรได้ไม่ยาก
พวงมาลัยดีแต่ปรับให้ดีได้อีก ช่วงล่างแน่นซับแรงแจ่ม เบรกโอเค
MG GS เคยสร้างความผิดหวังให้กับสื่อมวลชนรวมถึงบุคคลทั่วไปที่เคยลองขับมาก่อน HS จึงเหมือนกับแบกหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการลบคำสบประมาทเดิมให้หมดสิ้น แรกที่ได้ขึ้นตำแหน่งคนขับพร้อมกับสาวหมุนพวงมาลัยขับออกตัวรถ ความรู้สึกที่ผุดขึ้นในหัวก็คือ พวงมาลัยเบาหมุนง่ายติดมือช่วยให้ขับในความเร็วต่ำควบคุมได้ง่าย ต่างจากรุ่นก่อนหน้าที่ฟีลของการหมุนจะแปลกๆ ไม่เป็นธรรมชาติ
เมื่อขับรถใช้ความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ 60-80-100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พวงมาลัยมีความหนักตึงมือพอประมาณ ระยะฟรีมีอยู่ให้เราลองโยกพวงมาลัยสั้นๆ ถี่ๆ ได้โดยรถไม่ออกอาการวอกแวก แต่ถ้าลองหักเพิ่มน้ำหนักเข้าไปตัวรถก็จะโยกเปลี่ยนทิศทางอย่างที่เราคิดให้มันไป ภาพรวมถือว่าเช็ตค่ามาเอาใจผู้ขับขี่ปกติวทั่วไปที่อาจเป็นกลุ่มคุณผู้หญิง หรือพ่อบ้านที่มองหารถเอสยูวีขับเดินทางไกล HS ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองตลอดจนการออกท่องเที่ยวได้มั่นใจ และผ่อนคลายในระดับน่าประทับใจ
อย่างไรก็ตาม เราทดลองขับโหมดโหดกว่าคนปกติ รวมถึงเลียนแบบสถานการณ์ที่คุณจะต้องซิ่งมุดไปมาเพื่อไปยังที่แห่งหนึ่งแบบด่วนจี๋ ผลคือการหักพวงมาลัยโยกเปลี่ยนเลนแบบกะทันหัน หรือหลบรถเลนสวนที่วิ่งมา เวลาจะหักพวงมาลัยจะรู้สึกได้ถึงแรงต้านมือพอสมควร นั่นทำให้การคอนโทรลรถให้เข้าสู่สภาวะปกติเหมือนจะมีความไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งที่ ช่วงล่างนิ่งสนิทเอาอยู่ แต่กลับเป็นพวงมาลัยที่มีการขัดขืนโมเมนตั้มของการเหวี่ยงรถกลับสู่เลน ข้อนี้ถ้าปรับให้สมูทมากกว่านี้ เราบอกเลยพวงมาลัยบน HS จะดีงามไม่แพ้รถเอสยูวีเบอร์หนึ่งสายขับสนุกที่เราท่านรู้กัน
มาถึงประเด็นช่วงล่างกันบ้าง การขับขี่ภายในเมืองผ่านหลุมฝาท่อระบายน้ำไปจนถึงสภาพทางขรุขระ บอกได้ว่ารถคันนี้ซับแรงสะเทือนได้ดีในระดับหัวแถว กล่าวคือมันคล้ายกับว่าเราขับวิ่งผ่านหลุมแล้วชุดโช้คอัพซับแรง แล้วพยายามให้บอดี้ของรถนิ่งสนิทไม่ขยับเขยื้อนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้อนี้เองใครก็ตามที่ได้ขับจะต้องรู้สึกชอบจนอยากเอาไปใช้เดินทางไกล
ครั้นเมื่อขับเดินทางไกลช่วงล่างก็ซับแรงสะเทือนดีไม่แพ้ตอนความเร็วต่ำ แต่จะปรากฏอาการรถสะท้อนผิวถนนให้รู้สึกว่าทางเป็นสภาพอย่างไรได้มากกว่านิดหน่อย ไม่ได้เด้งกระดอนจนคนขับรวมถึงคนนั่งไม่สบายตัวแต่อย่างใด ตอนที่ขับเข้าโค้งด้วยความเร็วตัวรถจะมีท้ายออกนิดๆ แต่เพียงแต่งเติมน้ำหนักเบรกลงไปรถก็จะกลับมานิ่งสนิทอยู่ในการควบคุมระหว่างโค้งทันที
สรุปว่าช่วงล่างของ HS เป็นสไตล์ยุโรป ที่เมื่อขับในความเร็วต่ำจะมีความแน่บกระชับซับแรงได้ดี พอขับเร็วตัวรถจะรู้สึกสะท้อนแรงจากพื้นผิวถนนให้รู้สึกบ้าง แต่ยังคงความนิ่งเมื่อขับเร็ว หรือจะโยกเปลี่ยนเลนเข้าโค้งแรงก็ทำได้ประทับใจ ส่วนความสบายขณะเดินทางไกลนั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานนิดหน่อย
เบรกนี่รู้สึกว่าจานดิสก์จะมีขนาดใหญ่กว่าเอสยูวีคันอื่นในท้องตลาดถ้าจำไม่ผิดทั้งหน้าและหลัง โดยอาการจับตัวของเบรกชุดนี้จะออกแนวควบคุมได้ง่าย สามารถเกลี่ยน้ำหนักเบรกตั้งแต่เริ่มจุดเบรกไปจนถึงช่วงที่ต้องการหยุดนิ่ง ได้แบบว่าคนนั่งไปด้วยหัวไม่ทิ่มจนบ่นที่คนขับว่าขับรถภาษาอะไร? ทั้งนี้ บางคนที่ชินเบรกรถญี่ปุ่นจะรู้สึกเหมือนกับว่า HS เบรกไหลจับจานไม่ค่อยอยู่ แต่ผู้เขียนซึ่งขับ Chevrolet Cruze อยู่ทุกวันรู้สึกว่าเอสยูวีคันนี้ มีสไตล์ของเบรกใกล้เคียงกันพอสมควร
เสียงรบกวนที่เข้ามาภายในห้องโดยสารในเรื่องเสียงถนนดังจากยางนั้น ทำได้เงียบดีไม่มีเสียงย่านความถี่ต่ำแล่นสู่ภายในห้องโดยสารไปจนถึงความเร็วราว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนเสียงลมไหลผ่านตัวรถนั้นจะเริ่มได้ยินก็ต่อเมื่อเจอกระแสลมพัดขวางตัวรถ หรือขับเร็วเกินกฎหมายกำหนดไปแล้ว ซึ่งเสียงหวีดเบาๆ จะเล็ดลอดผ่านมาทางขอบประตูคู่หน้าโซนบน โดยรวมแล้วการเก็บเสียงอยู่ในเกณฑ์ดีในช่วงความเร็วต่ำไปจนถึงความเร็วเดินทาง ให้ความเงียบฟังเพลงได้ไพเราะปราศจกเสียงแทรก แต่ถ้าขับเร็วกว่านั้นเสียงลมจะได้ยินขึ้นชัดเจน
หัวข้อท้ายสุดที่อยากพูดถึงในบทความนี้ คงเป็นเรื่องระบบความปลอดภัยที่ทางผู้ผลิตจัดเต็มแน่นถึง 25 รายการ โดยเราขอลงรายละเอียดถึงแค่ระบบ ADAS (Advance Driver Assistance System) 7 ระบบด้วยกัน วันนี้ขออธิบายแค่บางระบบที่ลองใช้แล้วรู้สึกชอบ เริ่มด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC ที่พ่วงระบบควบคุมเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ TJA
การใช้งานระบบควบคุมความเร็วดังกล่าวทำได้สะดวดผ่านก้านเล็กๆ ฝั่งซ้ายล่างสุดหลังพวงมาลัย ผลักเข้าหาตัวสองสเต็ปเป็นการเปิดระบบ ผลักออกสองสเต็ปเป็นการปิดระบบ เลื่อนก้านขึ้นทีละคลิกเป็นการเพิ่มความเร็วที่ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตรงข้ามเลื่อนลงก็ลดความเร็วเท่ากับขาขึ้น กรณีอยากเพิ่มทีละหน่วยก็ให้ดันขึ้นค้างตัวเลขความเร็วจะวิ่งขึ้นทีละนิด ส่วนการปรับระยะห่างรถคันหน้าทำด้วยการหมุนปลายก้าน แล้วจะมีกราฟฟิคโชว์ที่จอหน้าผู้ขับขี่
ระบบนี้ทำงานที่ความเร็ว 30-150 กิโลเมตรชั่วโมง ซึ่งการใช้งานจริงระบบสามารถเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าได้กำลังดี การใช้เบรกถือว่ามีความสมดุลดีไม่ได้กดจนคนนั่งหัวทิ่ม แต่การเร่งออกตามรถคันหน้าดูจะอืดอาดไปบ้าง และตอนที่เจอสภาพทางชันตัวรถจะพยายามเร่งขึ้นทันทีจนรอบเครื่องฟาดให้กระตุกเสียอย่างนั้น ในส่วนระบบ TJA นั้นช่วยให้การขับในเมืองรถวิ่งสลับหยุดนิ่งมีความผ่อนคลายจนเราประทับใจ
ต่อมาเป็นระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA กับระบบควบคุมรถเมื่อจะออกนอกเลน LDP เจ้าสองตัวนี้ทำงานร่วมกันแบบแข็งขัน ประคองให้รถอยู่ระหว่างเส้นแบ่งเลนซ้ายขวาอยู่เสมอ กรณีที่เจอทางโค้งพวงมาลัยก็จะช่วงหักองศาให้เลี้ยวตาม เราแค่ทำหน้าที่ถือจับพวงมาลัยแตะไว้เบาๆ เท่านี้ระบบก็ช่วยให้การขับทางไกลผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็นมา
เราไม่อาจสรุปรายละเอียดยิบย่อยของ MG HS ได้หมด แต่เราได้ถ่ายทอดประสบการณ์ขับขี่บนระยะทาง 183 กิโลเมตรผ่านทุกสภาพเส้นทางที่คุณจะพบเจอในชีวิตประจำวัน เอาเป็นว่าใครสนใจก็ควรลองไปจับสัมผัส และขับมันจริงๆ ที่โชว์รูมเอ็มจี แล้วดูกันว่าคุณคิดเห็นเหมือนเราตรงจุดไหนบ้าง
เรื่องโดย ชรินทร เรืองลายคราม
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเราทีมงาน Ridebuster.com