เมื่อเอ่ยถึงรถยนต์ขนาด Sub-Compact ที่พกพาเครื่องเบนซินพันห้าร้อยซีซีเป็นหัวใจหลัก ผู้อ่านหลายคนคงรู้สึกความนิยมที่คนไทยมีต่อยานพาหนะชนิดนี้ไม่แพ้รถกระบะ ซึ่ง MG 3 ก็นับเป็นอีกหนึ่งคันล่าสุดที่เพิ่งรับการเปลี่ยนโฉมใหม่ ได้ปรับปรุงจุดเด่นเรื่องรูปร่างสุดน่ารักให้สดใสยิ่งกว่าเดิม รวมถึงอุปกรณ์มาตรฐานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเอาใจหนุ่มสาวหัวทันสมัย ในราคาย่อมเยากว่าคู่แข่ง
จากวันแรกที่ MG 3 รถยนต์ขนาดซัพคอมแพ็คขุมพลังเบนซิน 1.5 ลิตร ได้เปิดตัวรถโมเดลแรกเพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดีๆ ให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย นั่นก็เป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้วที่เอ็มจีได้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทั้งในประเด็นความน่าเชื่อถือ คุณภาพของรถยนต์ และศูนย์บริการ ที่มีหลายคนตั้งข้อกังวลว่าพวกเขาจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับค่ายรถยักษ์ใหญ่จากทั้งญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ได้หรือไม่ แต่จากที่เราเห็นมาตลาดหลายปีก็พอบอกได้ว่า…เอ็มจีเอาจริง!!
ด้วยยอดขายสะสม 17,000 คัน ตลอดเวลา 3 ปี ที่ MG3 โมเดลก่อนออกจำหน่ายจนถึงช่วงเดือนพฤษาคม พ.ศ.2561 นี่คือข้อยืนยันว่ารถแฮทช์แบ็ค 5 ประตู สายน่ารักคันนี้มีดีจนทำให้ลูกค้าเริ่มเปิดใจเป็นเจ้าของมัน แน่นอนว่าทางเอ็มจีเองเมื่อรู้ทราบสินค้าของตนมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร พวกเขาก็ยิ่งอัดเสริมเติมเต็มในส่วนที่ขาดหรือถูกหลายคนตำหนิ
ล่าสุดผลงานชิ้นเอกชนิดกำลังร้อนกรุ่นอย่าง MG3 โฉมปี 2018 ก็คือผลลัพธ์ที่บอกทุกคนว่า “ฉันสวยทั้งภายในและภายนอก แถมยังฉลาดมีเรื่องสนุกๆ ให้คุณได้ลิ้มลองถ้าได้ครอบครองฉัน”
แรกพบสบตากับเจ้า MG3 ใหม่รู้สึกทันทีว่านางสวยขึ้นเป็นกองเลย คือแบบด้านหน้านี่ให้สอบผ่าน เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากรถต้นแบบ เอ็มจี อี-โมชั่น มาเต็มๆ โดยคราวนี้ให้ไฟหน้าโปรเจคเตอร์กับแถบไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวันอยู่ในโคมเดียว เวลาเปิดไฟเลี้ยวมีลูกเล่นการหรี่เดย์ไลท์เพื่อให้ไฟเลี้ยวส่องสว่างชัดเจนด้วยนะเออ แต่น่าเสียดายด้านข้างรถเรามองดูแล้วไม่ต่างอะไรจากโมเดลก่อน มือจับเปิดประตูก็เป็นเดิม สำหรับท้ายรถได้เปลี่ยนไฟท้ายกับไฟถอยเป็นแอลอีดีแล้ว ส่วนล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว แบบทูโทนจัดว่าสวยเข้ากับตัวรถได้พอดิบพอดี
อย่างที่เราบอกไปก่อนหน้าว่าการมาของ MG3 โฉมใหม่นั้นมิได้งามงดเพียงแค่ด้านนอก แต่ห้องโดยสารที่โมเดลก่อนมีคนบอกว่า “เฉิ่ม โบราณ ไม่สวย” คราวนี้นางเลยได้ยกเครื่องภายในใหม่หมด คือเราบอกได้ว่าทุกท่านโปรดลืมลุคเดิมของรถคันนี้ไปเสีย เพราะคราวนี้เรากล้าพูดได้ว่าภายใน MG3 สวยงามยกระดับขึ้นจากตัวเก่าเป็นกอง ทั้งแผงคอนโซลหน้าสีดำที่ตกแต่งคาดด้วยลวดลายสีขาวลายตาราง สอดรับกันดีกับพวงมาลัยที่ดูๆ ไปเหมือนกับของ MG ZS ไม่มีผิด ยิ่งไปกว่านั้นเบาะนั่งหุ้มผ้าก็ได้แบบลายตาราง ช่วยให้รู้สึกถึงอารมณ์ชาวผู้ดีอังกฤษได้เหมือนกัน
กระโดดมาที่ด้านหลังมาลองนั่งลูบๆ คลำๆ จับนู่นแงะนี่ดู ก็พอจะรู้สึกว่าพื้นที่โดยสารด้านหลังยังคงไม่ต่างจากโมเดลก่อนนัก คือมีพื้นที่เหนือศีรษะเยอะพอควร แต่พื้นที่วางขาไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เช่นเดียวกับห้องเก็บสัมภาระที่ยังคงขนาดความจุรวมถึงรูปทรงคล้ายเดิม สามารถใส่กระเป๋าเดินทางไซส์ 20-24 ได้สองใบหากจัดวางตำแหน่งดีๆ
อีกหนึ่งจุดขายหลักของ MG3 โฉมปี 2018 ที่ก่อนนี้หน้าพวกเขาได้อัดใส่ไปบนครอสโอเวอร์อย่าง MG ZS นั่นคือเทคโนโลยี i-SMART ที่คราวนี้รถแฮทช์แบ็คคันน้อยหน้าตาน่ารักก็ได้ของเล่นใหม่เหมือนกัน โดยจะมีหน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว ที่มีระบบสาระบันเทิงอันเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา ช่วยให้เราหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูสถานะรถของรถได้แบบเรียลไทม์ ทั้งระดับน้ำมัน ระยะทางที่วิ่งได้ และความผิดปกติต่างๆ ได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นที่ทำให้ MG3 กลายเป็นรถสำหรับคนสมัยใหม่แบบแท้จริง มาจากการที่มีฟังก์ชั่น Truemusic อยู่บนหน้าจอ ไว้ให้เราเลือกเพลงใหม่ๆ หรือเพลงติดอันดับท็อปชาร์จฟังได้ทุกครั้ง ขณะเดียวกันก็ให้การเข้าถึงบริการของ WONGNAI สำหรับเสิร์ชหาร้านอาหารและแนะนำเมนูเด็ด และฟังก์ชันใช้งาน AGODA เพื่อค้นหาโรงแรม เมื่อต้องท่องเที่ยวหรือเดินทางค้างแรม แต่ว่าระบบที่เราลองบนรถจริงนั้นยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ยังใช้ฟังเพลงได้ไม่เต็มที่ ทว่าในอนาคตทางเอ็มจีสัญญาว่าจะอัพเดทระบบสม่ำเสมอแน่นอน
หลังจากบอกเล่าเรื่องต่างๆ มาพอสมควร เราจะพาทุกท่านเข้าสู่ประเด็นสำคัญที่ขึ้นสุดยอดหัวข้อเวลาผู้บริโภคจะซื้อรถสักคัน อย่างเรื่องสมรรถนะกับอัตราสิ้นเปลือง เบื้องต้น MG3 โมเดลล่าสุดใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC ขนาด 1.5 ลิตร 112 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที เรียกว่ามีม้าเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน 9 ตัว แรงบิดสูงขึ้น 15 นิวตันเมตร ขุมพลังบล็อกนี้เติมน้ำมัน E85 ได้ โดยจากการจับอัตราสิ้นเปลืองเบื้องต้นทำได้ราว 14-15 กม./ลิตร
ความเปลี่ยนแปลงต่อมาคือการยกระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติ SeleMatic 5 สปีด ที่เคยเป็นจุดตำหนิข้อใหญ่ของรุ่นนี้ออกไป แล้วแทนที่ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ผลที่เราได้ทดลองขับบนเส้นทาง กทม. ปลายทางหัวหิน ก็พอจะสรุปอาการได้ว่าเกียร์ลูกใหม่นี้ตัดต่อกำลังได้รวดเร็วไม่มีการกระตุกทุกช่วงความเร็ว ลบจุดด้อยหรืออาจเรียกว่าลักษณะเฉพาะของเกียร์ลูกเก่าได้หมดสิ้น ถึงอย่างนั้น เรื่องสมรรถนะเครื่องที่ทำงานร่วมกับเกียร์จะถูกพูดถึงในย่อหน้าถัดไป
ทุกคนคงทราบดีแล้วว่าเครื่องในใหม่แรงขึ้นกว่าทั้งจำนวนม้ากับแรงบิด รวมถึงได้ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งผลจากการขับขี่ในเมืองช่วงแรกบอกเราว่า การใส่เกียร์ D แล้วเหยียบคันเร่งออกไปตามกระแสจราจร จำเป็นต้องกดคันเร่งเกิน 50% เพื่อให้รถตัดเกียร์ลงต่ำเพื่อเร่งสู่ตำแหน่งด้วยความเร็วอันฉับไว เพราะถ้ากดคันเร่งราว 20-40% แบบนุ่มๆ ตัวรถจะไหลเอื่อยช้ากว่าจะถึงความเร็วที่คิดไว้ในหัว ตอนแรกเราคิดว่ามันเกิดจากอัตราทดเกียร์ที่ไม่สัมพันธ์กับเกียร์ แต่พอได้สอบถามทีมงานเอ็มจี ข้อเฉลยถูกบอกออกมาว่าผู้ผลิตต้องทำให้รถคันนี้ผ่านมาตรฐานไอเสียที่กำหนดไว้โดยรัฐบาลไทย จึงส่งผลให้อัตราเร่งตีนต้นถูกตอนไว้ต่ำกว่าขีดจำกัดที่เครื่องตัวนี้ทำได้
อย่างไรก็ตาม หากรถวิ่งลอยตัวแล้วกดคันเร่ง รถจะพุ่งแบบสนุกสนานต่างกันราวกับหนังคนละม้วน โดยความเร็วตั้งแต่ 100 กม./ชม. ขึ้นไปดูจะเป็นช่วงที่รถคันนี้วาดลวดลายได้เต็มสมรรถนะที่สุด จนเราแอบตั้งนิยามประจำรุ่นไว้ว่า “ต้นหลับ ปลายไหล” บางทีแอบคิดไม่ได้ว่ารถคันเล็กๆ น่ารักอย่างนี้มันควรจะขับในเมืองจี๊ดจ๊าดแล้ววิ่งทางไกลด้อยกว่านี้สิ ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดทำเอาเราประหลาดใจ ซึ่งอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 14.7 วินาที เร่ง 80-120 กม./ชม. ที่ 11.1 วินาที
พวงมาลัยไฮดรอลิกจากรุ่นก่อนถูกยกมาใส่รุ่นใหม่ ให้ความหนักหน่วงมือในความเร็วต่ำค่อนข้างมาก งานนี้ใครหวังว่าจะได้รถพวงมาลัยหมุนคล่องคงเสียใจมิใช่น้อย ทั้งนี้เมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงความหนืดมือกลับน้อยลง ซึ่งทางวิศวกรระบุว่าเป็นธรรมชาติของพวงมาลัยไฮดรอลิก ซึ่งจากการขับขี่จริงเราก็สัมผัสได้ว่ามันมีระยะฟรีพอสมควร แถมพวงมาลัยยังตั้งตรงไม่ได้ว่อกแว่กเหมือนความหนืดที่น้อยเท่าไหร่
ช่วงล่างทางเอ็มจีเคลมว่าพวกเขาปรับตั้งมาในสไตล์ยุโรปเหมือนกับรถรุ่นก่อน โดยเราให้ความเห็นว่า “ใช่เลย” เวลาขับที่ความเร็วต่ำมันจะรู้สึกแข็งแน่นๆ แต่ไม่สะเทือน ครั้นเมื่อเพิ่มระดับสู่ความเร็วเดินทางก็ให้ความแน่นหนึบผสมกับการซับแรงสะเทือนได้ดี ยิ่งพอเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงนี่จัดว่าจิกเกาะไปตามโค้งได้ดีกว่าคู่แข่งระดับเดียวกัน ในกรณีวิ่งด้วยความเร็วแล้วรถแล่นลงคอสะพานก็ไม่รู้สึกถึงอาการโยนย้วย สรุปได้ว่าตรงตามคำโฆษณาจริง
ด้านระบบเบรกช่วงแรกที่ขับในเมืองจะมีระยะฟรีอยู่ 10-20% แต่กดเพิ่มไปจากนั้นเบรกจะจับตัวแบบทันที จนบางครั้งทำให้รู้สึกว่ารถจิกหัวทิ่มในตอนแรกที่กำลังปรับตัว แต่พอได้ขับเดินทางไกลบนถนนหลวงก็รู้ได้ทันทีว่าเบรกหน้าแบบดิสก์กับหลังดรัม มันเอาอยู่… เพราะมีหลายจังหวะที่เราขับมาเร็วแล้วต้องแบบหลบรถสิบล้อที่เปลี่ยนเลนกะทันหัน การกดเบรกหนักช่วยลดความเร็วได้แบบดีมากไม่แพ้รถเบรกดิสก์ 4 ล้อ
สรุป MG3 โฉมปี 2018 หน้าตาน่ารักกว่าเดิม ภายในสวยงามทันสมัย อัดเทคโนโลยีเอาใจยุคคนติดสมาร์ทโฟน ความปลอดภัยแน่นๆ พวงมาลัยกับช่วงล่างมั่นใจสนุกเหมือนเดิม เครื่องกับเกียร์โดยรวมตอบโจทย์คนทั่วไปได้เหมาะสม สุดท้ายคือราคาเป็นมิตรต่อกระเป๋าตัง เพราะรถคันทดสอบ MG3 รุ่น V Sunroof ราคา 629,000 บาท เท่านั้นเอง!!
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com
[ngg_images source=”galleries” container_ids=”670″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”1″ thumbnail_width=”200″ thumbnail_height=”160″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”20″ number_of_columns=”3″ ajax_pagination=”1″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”0″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”sortorder” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]