เมื่อกล่าวถึงรถยนต์แบรนด์ Toyota คุณจะนึกถึง อะไรบ้าง …. รถดีเหมาะการใช้งาน ซ่อมแซมง่าย ขายต่อได้ราคา และอีกมากมายที่ปลุกในหัวเรามาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน คำถามที่หลายคนคิดคงวนเวียน และรู้สึกว่า โตโยต้าน่าจะต้องปรับตวะให้ทันสมัยแข่งกับคู่แข่ง ที่นับวันจะตีตื้นเข้ามา และในบรรดารถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นที่เข้ามาทำตลาด Toyota C-HR เป็นรถที่ทำให้หลายคน ถึงกับออุทานได้ว่า “นี่รถโตโยต้า จริงๆ หรือ “
นับตั้งแต่เปิดตัวในงาน Motor Expo , Toyota C-HR (Coupe – High Rider ,หวังว่าคงไม่ใช่ญาติ Sport Rider) กลายเป็นรถที่หลายคนถามถึงอย่างมากในฐานรถยนต์จากโตโยต้ายุคใหม่ ผู้พกอุปกรณ์ออพชั่นจัดเต็ม ชนิดที่ค่ายอื่นมีอันต้องมองหันมาดูยักษ์ใหญ่รายนี้
กาลเวลาเปลี่ยนความคิดอัดออพชั่นเต็มๆ ในรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็กรุ่นนี้ พวกเขาเริ่มต้นด้วยแนวคิดว่า “Ever Better” หรือถ้าพูดเป็นภาษาไทยก็ “ต้องดีกว่า” จนถือว่าเป็นรถปฏิวัติวงการและบริษัทระดับโลก แหกกฎตั้งแต่ภายนอกจรดภายในสร้างสรรค์ความแตกต่าง
เส้นสายการออกแบบ Toyota C-HR (โตโยต้า ซีเอชอาร์) เป็นผลงานการฉีกกฎความเป็นโตโยต้าแรก ๆ มันออกแบบโดยสตูดิโอออกแบบในแคลิฟอร์เนีย Calty Studio ซึ่งปัจจุบันเป็นสตูดิโออันดับหนึ่งของโตโยต้า เจ้าของผลงานเดียวกับผู้ออกแบบ Toyota Camry ใหม่ ที่น่าจะมาไทยในเร็วๆ นี้
ตัวรถให้เส้นสายเน้นรายละเอียดความสปอร์ตเต็มๆ ตั้งแต่แรกเห็น ต้องมนต์สะกดด้วยเส้นเด่นคมสัน บางมุมมองคุณอาจรู้สึกมันเหมือน Toyota Vios เวอร์ชั่นปลาปั้กเป้า ที่ผองตัวเองมากขึ้น รถดูมีความบึกบึนในแบบสปอร์ต มาพร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ ส่องสว่างด้วยไฟหน้าแบบ LED ยามกลางวันมาพร้อมไฟ Day Time Running Light LED เพิ่มความเด่นด้วยชุดไฟเลี้ยว LED แถมเป็นไฟวิ่งไม่ใช้กระพริบธรรมดาทั่วไป ได้อารมณ์ความเป็น Lexus เข้ามาหน่อย
ทางด้านข้างเน้นความสปอร์ตปราดเปรียวในการออกแบ สวมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว มาพร้อมยาง 215/60 R17 จากโรงงาน ตัวล้อเป็นสิ่งแรกที่ผมไม่ชอบ มันดูไม่สปอร์ต เนื่องจากตัวรถมาพร้อมล้อสีเทาเกรย์ดูธรรมดาในสไตล์รถบ้าน แถมยางยังใช้แก้มสูงมากจนขัดกับบุคลิกตัวรถ ที่ออกมาในแนวทางสปอร์ต กะจับกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่
มือจับประตูหลังถูกซ่อนเอาไว้ในตำแหน่งด้านบน เพื่อให้ไม่ตกเป็นเป้าสายตา และในแง่การออกแบบให้ลงโดดเด่นลงตัว ทางโตโยต้า ยังให้การสาดสีแบบทูโทน ในกลุ่มสีลูกกวาด อาทิ เทา-ดำ, ดำ-แดง ,เขียวน้ำทะเลดำ สร้างความแหวกแปลก
ส่วนด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายแบบ LED ฝาท้ายเปิดมือธรรมดา ที่ใช้งานค่อนข้างง่ายแต่ส่วนตัวรู้สึกว่าบานประตูหนักไปหน่อย ส่วนหนึ่งมาจากตัวโช๊คที่ติดตั้งบานประตู ซึ่งค่อนข้างหนืดด้วย เปิดออกมา สำรวจด้วยสายตาพื้นที่เก็บของค่อนข้างกว้างพอตัว ดีกว่า Juke , ยาวกว่า HR-V มากว่า CX-3 แต่ยังจบข่าวเมื่อเทียบกับ Subaru XV
การออกแบบที่ครบถ้วนสมบูรณ์ใต้เรือนร่าง Toyota C-HR (โตโยต้า ซีเอชอาร์) แนะนำมาพร้อมโครงสร้าง TNGA Platform มีการปรับปรุงใหม่โดยลดชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็น ปรับปรุงความแข็งแรงเชิงโครงสร้าง และท้ายสุดปรับจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถทั้งคันลงเล็กน้อย (ทำไมดูคุ้นๆ นะ) ทั้งหมดตอบโจทย์ทางด้านความปลอดภัยในการชน จนรับคะแนน Euro N Cap ระดับ 5 ดาวมาแล้ว รวมถึงยังช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่มากขึ้นด้วย
ส่วนในแง่มิติตัวถัง Toyota C-HR (โตโยต้า ซีเอชอาร์) ตอบการใช้งานด้วยความยาว 4,380 มม. กว้าง 1,715มม. และสูง 1,565 มม. ระยะฐานล้อ 2,0640 มม. ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถพอๆ กับรถเก๋งทั่วไปเพียง 154 มม. ในรุ่นที่ขับวันนี้เป็นตัวไฮบริด มีน้ำหนักตัวเปล่า 1,455กก.ถือว่าหนักเอาการ เมื่อเทียบกับขนาดรถที่เป็นเพียง Sub Compact SUV เท่านั้น
เปิดประตู่สู่ห้องโดยสาร Toyota C-HR (โตโยต้า ซีเอชอาร์) มาพร้อมความทันสมัยลงตัวด้วยการออกแบบภายในทูโทน ดำ-น้ำตาล … ถึงจะบอกว่าทูโทนก็จริง แต่ด้วยสีที่ทึมๆ ใกล้เคียงกัน ทำให้คุณอาจดูไม่ออก และสีน้ำตาลไหม้ ไม่ได้เด่นในสายตาอะไรมากมายจะดูดีก็ลายแผงประตู ราวกับออกมาจากยุคอวกาศ เมื่อเทียบกับทูโทนของรถรุ่นอื่นที่ออกแบบมาได้ดูดีกว่านี้
เบาะนั่งคู่หน้า ปรับด้วยมือทั้ง 2 ด้าน ฝั่งคนขับมีตัวดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ ตัวเบาะใช้วัสดุหนังผสมวัสดุสังเคราะห์ ออกแบบให้เป็นทรงสปอร์ต มีขนาดใหญ่พอสมควร ผมเป็นคนตัวใหญ่ สูง 180 ซ.ม. หนัก 95 กกนั่งได้สบายมาก แถมเบาะตอนหน้า สามารถเลื่อนปรับถอยหลังได้ยาว คล้ายไปถึงกลางรถพวกรถสปอร์ตคูเป้ และดีขึ้น เมื่อคุณปรับแกนพวงมาลัยได้ทั้งขึ้นลง และยืดเข้าออก เอาสบายตามที่ต้องการ อย่างเดียวที่ไม่ชอบใจ คือหัวหมอนที่ดันหัวเราไปข้างถ้าจะนั่งให้ไม่ดันหัว ต้องเอนตัวพนักผิงเบาะลงเล็กน้อยจึงจะนั่งได้ดีขึ้น
ตรงหน้าให้ไมล์เรืองแสง ในรุ่นไฮบริด บอกสถานการณ์ทำงาน ทางด้านซ้าย ฝั่งขวาแสดงความเร็ว ตรงกลางให้ระบบจอดแสดงข้อมูลอัจฉริยะขนาด 4.2 นิ้ว การใช้งานควบคุมผ่านปุ่มบนพวงมาลัย ทางฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายปรับเครื่องเสียงใช้งานได้ง่าย มีระบบควบคุมเร็วอัตโนมัติมาให้ ใช้งานผ่านก้านทางด้านล่าง
เหลียวมาตรงกลางคอนโซลระบบเครื่องเสียง DVD หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน Toyota C-HR ใหม่ ในรุ่นท๊อปมาพร้อมระบบนำทางและ ในรุ่นไฮบริดเป็นต้นมาระบบเชื่อมต่อระยะไกล Toyota T connect Telematic มาให้ ใช้ติดต่อเมื่อต้องการเส้นทางหรือความช่วยเหลือในการขับขี่และยามฉุกเฉิน
ทุกรุ่นติดตั้งลำโพงทั่วห้องโดยสารถึง 6 จุด พลังเสียงจัดว่าไม่ขี้เหร่ พอฟังได้อรรถรส ถ้าคุณไม่ใช่พวกบ้าหรือคลั่งไคล้ดนตรีขนาดหนัก จากที่ลองฟัง ช่วงเสียงกลาง เสียงแหลม มาดี ขาดเพียงเสียงเบสหนักๆ เท่านั้น คล้ายลำโพงใน Toyota Yaris ATiv
แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม Toyota ต้องหวงช่อง USB ด้วย ผมว่าทางบริษัท ควรพิจารณาเพิ่มช่อง USB มาอีกสัก 2 ช่อง ด้วยชีวิตคนในวันนี้อยู่กับอุปกรณ์พกพาเสียมากว่า ส่วนตัวคิดว่า ช่อง USB บน Head Unit อย่างเดียวไม่น่าจะพอการใช้งาน นี่ไม่นับปัญหาครอบครัว ที่จะเกิดจากการแย่งกันชาร์จระหว่าง สามี ภรรยา ที่อาจจะต้องเดินทางร่วมกัน แต่ทางออกก็พอมี ถ้าคุณมีหัวชาร์จเสียบกับช่องไฟ 12 โวล์ต ที่อยู่ในเก๊ะกลาง
ถัดลงมาเป็นระบบปรับอากาศอัตโนมัติ สามารถแยกอุณหภูมิ ซ้าย-ขวาได้ ตามต้องการไม่ต้องมานั่งทะเลาะกัน เป็นความดีงามที่เราเห็นในรถคันนี้
เหลียวมองทางด้านหลังดูจากสายตาพื้นที่ค่อนข้างดูทึบๆ แปลกๆ ผมมีโอกาสลองนั่งเบาะหลัง C-HR อยู่ช่วงหนึ่ง ตัวเบาะนั่งชันหลังในระกับหนึ่งแต่ยังจัดอยู่ในท่านั่งสบาย จากที่ลองปรับเบาะนั่งตอนหน้าตามพื้นที่ตัวเองนั่งสบาย แล้วลองมานั่งตอนหลัง พบว่าพื้นที่วางขามีเหลือ เข่าเกือบชน ถามผมก็ต้องบอกว่าพื้นที่นั่ง ใกล้เคียง Toyota Altis เหมือนกันนะแต่สีดำๆ ของทันนี่แหละทำให้ไม่ดูสว่าง ตัวเบาะนั่งหลังสามารถพับได้ 60/40 น่าเสียดายไม่มีที่เท้าแขนตรงกลางมาให้
จากที่สัมผัสความรู้สึกคนนั่งเบาะหลังจะรู้สึกอึดอัดในยามรถจอดอยู่เฉยๆ ในเมืองนี่น่าจะเอาเรื่อง ยิ่งคนตัวใหญ่ ยิ่งรู้สึกเรื่องนี้ มันมาจากแผงประตูที่สูงจนอยู่ในระดับสายตา
แต่เมื่อรถวิ่ง ภาพที่ผ่านไปทางกระจกจะคลายความรู้สึกนั้นไป คุณรู้สึกถึงความปลอดภัยจาการปกป้อง ด้วยขอบประตูสูง ยามโดยสารเมื่อรถเคลื่อน ถือว่านั่งสบายในระดับหนึ่งความตึงตังจากช่วงล่างค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถกลุ่มเดียวกัน สำหรับผมยอมรับว่า มันนั่งได้ดีกว่าที่คาดคิด ถึงแรกๆ จะคิดว่ามันน่าจะอึดอัดนั่งไม่สบายก็ตาม
ส่วนเรื่องการเก็บเสียงในห้องโดยสารถือว่ากลางๆ ขับที่ความเร็ว 120 ก.ม./ช.ม. ในตำแหน่งคนขับ ยังมีเสียงลมรอดมาจากเสาบีนิดดหน่อย และ ที่ดูน่ากังวล คือเสียจากยางเวลาบิ่งบนถนน ยังทำไม่ดีเท่าไรนัก แต่ก็พอๆ กับคู่แข่งในระดับเดียวกัน …
ใต้เรือนร่าง Toyota C-HR 1.8 Hybrid ทางค่ายสามห่วงแนะนำเครื่องยนต์รหัส 2 ZR-FXE ต้นกำลังไฮบริดพ่วงมอเตอร์ฟ้าเข้ามาตอบโจทย์การขับขี่
เครื่องยนต์ตัวนี้เป็นเครื่องยนต์รุ่นใหม่ เป็นไฮบริดเจนเนอร์เรชั่นที่ 4 ของโตโยต้า ตัวเครื่องยนต์ทำงานในแบบแอทคินสันไซเคิล กำลังอัดเครื่องยนต์สูงถึง 13.0: 1 รองรับเชื้อเพลิงสูงสุดเพียง E20 เท่านั้น ให้กำลังสูงสุด 98 PS ที่ 5,200 รอบต่อนาที ทำแรงบิด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที ต่อการขับเคลื่อนเข้าระบบเกียร์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแรงดันสูง 600 โวล์ต ให้กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์ ทำแรงบิด 163 นิวตันเมตร
ส่งกำลังบำรุงด้วยแบตเตอร์รี่แบบ นิกเกิ้ลเมทัล ไฮดรายรุ่นใหม่ล่าสุด แบบ 28 โมดูล ขนาด 6.5 แอมป์ โดยได้รับการปรับปรุงในแง่การระบายความร้อนของตัวแบตตอร์รี่ให้ดีขึ้น และนำมาติดตั้งไว้ใต้เบาะนั่งคู่หน้า เพื่อให้อยู่ในจุดที่มีอุณภูมิไม่สูงมาก ช่วยยืดอายุตัวแบตเตอร์รี่ด้วย
เมื่อรวมกำลังระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เจ้า Toyota C-HR กลับไม่ได้บ้าพลังมากมายอะไรนัก มันทำกำลังสูงสุดเพียง 122 PS เท่านั้น เป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลังสเป็คเดียวกับที่ญี่ปุ่น
จากที่ขับผมรู้สึกว่า เครื่องยนต์ไฮบริดตอบสนองดีค่อนข้างทันอกทันใจ เมื่อเร่งแซง เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าตอบสนองค่อนข้างเร็ว รถออกตัวมิอืดเท่าไร แถมขับไม่เครียด และประหยัดพอตัว ช่วงแรกขับที่ความเร็ว 100-120 ก.ม./ช.ม. อัตราประหยัด 21 ก.ม/ลิตร แบบสบายๆ
ช่วงต่อมา ทางโตโยต้าอยากให้เราขับประหยัดดูว่าจะได้เท่าไร ผมทำตัวเลขสูงถึง 30.3 ก.ม./ลิตร โดยใช้ความเร็ว 60- 100 ก.ม./ช.ม. ความเร็วส่วนใหญ่อยู่ที่ 70-80 ก.ม./ช.ม.ก็คิดประมาณว่า ขับรถชมนกชมไม้กับแฟน พอได้อยู่
ความประหยัดอย่างเหนือชั้นอาจเป็นข้อดีของ Toyota C-HR (โตโยต้า ซีเอชอาร์) แต่ผมก็ตั้งคำถามว่า ถ้าจะเน้นสปอร์ตในตัวรถมันน่าจะเร้าใจกว่านี้ไหม .. .จากที่มีโอกาส ทำอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม จับด้วยระบบจีพีเอส พบว่าได้ตัวเลขอยู่ที่ 10.999 วินาที 80-120 ก.ม./ช.ม. ได้ 11 วินาที (ในโหมดการขับขี่ปกติ) ถือว่าไม่ได้ขี้เหร่เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นในกลุ่ม มันแร่งได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับแรงม้าเพียง 122 PS ตัวเลขเวลาเท่ากับ Subaru XV โฉมปี 2014 เจ้าน้องส้มที่บ้าน
ผมเคยได้ยินว่า Toyota ทำ Toyota C-HR Hypower ขายที่ยุโรป มานั่งนึกว่า น่าจะมีอะไรออกมาให้เล่นแรงบ้าง ผมก็รู้สึกว่า เหมือนเรายังขาดบางสิ่งในรถคันนี้
ในทางกลับกันส่วนที่ดีที่สุดใน Toyota C-HR กลับเป็นระบบช่วงล่างที่ขับสบายมั่นใจเกินตัว อานิสงค์โครงสร้างแพลทฟอร์ม TNGA ช่วยให้ การเซทระบบช่วงล่างดีขึ้นมาก ๆ รถเกาะถนน ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยน้ำหนักตัว แต่ยังนั่งได้สบายโดยผู้โดยสารไม่รู้สึกถึงความตึงตังของช่วงล่าง เรื่องนี้คล้ายๆ กับ Subaru XV รุ่นใหม่เหมือนกัน แต่ช่วงล่างรถรุ่นนี้ดูแล้วสตรองกว่ามีความสปอร์ตมากกว่า
การเซทช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเป็นแบบ ปีกนกคู่พรอมเหล็กกันโคลง ในความเป็นจริง มันขับได้ยอดเยียม รถทรงตัวดีแม้ใช้ความเร็วยามขับขี่ และยังเข้าโค้งอย่างมั่นใจ รถมีอาการดื้อด้านในการควบคุมน้อยมาก
ช็อตเด็ดประทับใจผม เป็นจอนเข้าโค้งที่เข้าจากมอเตอร์เวย์จากบางนา สู่ถนนพหลโยธินแถววังน้อย ใครมาตรงนี้บ่อย ๆ คงรู้ โคง้ 270 องศาตรงนี้ปราบเซียนมาเยอะ ผมมาที่ความเร็ว 120 ก.ม./ช.ม. และเข้าโค้งที่ความเร็ว 95 ก.ม./.ช.ม. Toyota C-HR ไปได้สบาย ปราการเดียวที่ดูจะขัดใจสมรรถนะคือ ยางประหยัดน้ำมันติดรถ จนกล้าพูดว่าถ้าเปลี่ยนยางใหม่ ใช้พวกยางสปอร์อาจแจ่มกว่านี้ และเข้าโค้งได้เร็วกว่านี้
ทางด้านการควบคุมรถทำได้ง่ายผ่านพวงมาลัยช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า หรือ EPS มันสนองให้ควบคุมง่ายเมือเวลาขับความเร็วต่ำ และหนักแน่นเมื่อขับความเร็วสูง อัตราทดพวงมาลัยค่อนข้างดี คมระดับที่น่าพอใจ ขณะเบรกก็จัดว่าสั่งได้ดั่งใจ เนื่องจากยามฉุกเฉินรถจะเสริมแรงดันน้ำมันเบรก รอพร้อมให้คุณสั่งหยุดทันท่วงที
อย่างไรก็ดี สมรรถนะการขับขี่ที่ดูแตกต่างจากภาพในอดีตของความเป็นโตโยต้า และการดีไซน์อันทันสมัยไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้ เจ้า Toyota C-HR มีความแตกต่าง รถรุ่นนี้ยังพกรับบความปลอดภัยอย่างเหนั้น ด้วยระบบ Toyota Safety Sense P ด้วย
เท่าที่มีโอกาสลองเล่น ระบบความปลอดภัยของโตโยต้าไม่เป็นสองรองใครในตลาด มีครบครันไม่ว่าจะระบบเตือนการหลุดเลน พร้อมช่วยคัดพวงมาลัย ระบบ Dynamic Radar Cruise Control หรือ Adaptive Cruise Control สามารถทำงานตั้งค่าได้มากถึง 4 ระดับ ความห่าง และตรวจจับรถได้เร็วพอสมควร นอกจากนี้ยังมีระบบเตือนมุมอับ ทั้งในระหว่างการขับขี่ รวมถึงในระหว่างถอยออกจากซอง เมื่อจอดรถหันเข้าทางด้านหรือ Rear Cross Traffic Alert และแถมด้วยระบบดูแลผู้ขับขี่ ว่ามีความเหนื่อยล้าหรือไม่
ทั้งหมดให้เพิ่มมาในรุ่นท๊อป HV Hi แต่ระบบพื้นฐานความปลอดภัย พวก ระบบควบคุมการทรงตัว , ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ป้องกันการลื่นไถล ช่วยออกตัวทางลาดชันก็ครบเครื่องอยู่เป็นทุนเดิม
ผมลงจาก Toyota C-HR พร้อมความประทับใจรถอเนกประสงค์คันนี้ มันประหยัด ขับมั่นใจ ฟังชั่นจัดว่ามาเต็มในระดับหนึ่ง แม้นว่าจะมีบางสิ่งที่สมควรจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับคนใช้จริงมากขึ้นอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมแล้วถือว่าผ่าน แต่นี่เป็นเพียงสัมผัสแรกท่านั้น ในนาทีนี้ ผมกล้าพูดว่า “นี่คือรถที่จะปฏิวัติ โตโยต้าไปตลอดกาล” และคุ้มค่ากับราคา 1,159,000 บาท แต่คงต้องรอจนกว่าจะได้ นำมาลองอีกครั้ง
หากสำหรับใครที่ลังเลใจว่ารถรุ่นนี้ ดีหรือไม่ คุ้มค่าหรือเปล่า จากที่ผมขับบอกเลยว่า จัดไปครับ ถ้าใจชอบอยู่แล้ว พูดเลยว่า คุณไม่ผิดหวังแน่นอน
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง นักทดสอบรถยนต์ และ คอลัมนิสต์ เว็บไซต์ Ridebuster.com ติดตามผลงานการเขียน และข้อมูลที่น่าสนใจได้ทาง Facebook
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com
[ngg_images source=”galleries” container_ids=”486″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”1″ thumbnail_width=”200″ thumbnail_height=”160″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”20″ number_of_columns=”3″ ajax_pagination=”1″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”0″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”sortorder” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]