แม้ว่าน้ำมันจะแพง กระแสรถยนต์ไฟฟ้าจะมา สิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย ในยามที่เราต้องมีรถยนต์สักคันในงบประมาณที่คุ้มค่า รถกระบ จะต้องโผล่ขึ้นมาเป็นตัวเลือก แรกๆ ในหลายปีที่ผ่านมา Ford Ranger ได้พิสูจน์แล้วว่า รถของพวกเขาสามารถตอบโจทย์ การใช้งานได้เป็นอย่างดี จนก้าวขึ้นแท่น กระบะเบอร์ 3
10 ปีผ่านไปไวอย่างกับ โกหก เผลอ แวบเดียว กระบะ Ford Ranger ในโฉม รหัส T6 อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 10 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 เป็นต้น มา การปรับโฉมในปี 2016 และ ปรับเครื่องยนต์ ในปี 2018 เสริมให้ยอดขายดีต่อเนื่อง
ในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ฟอร์ด ได้แนะนำ Ford Ranger ปรับโฉมรุ่นใหม่ ล่าสุด ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบ และปรับปรุงงานวิศวกรรมเต็มตัว เพิ่มความแกร่งมากขึ้น
ส่วนสำคัญ มาจากการที่ฟอร์ดตั้งใจยกระดับรถรุ่นนี้ ไปสู่การเป็นรถขายทั่วโลก ไม่เพียงทางฝั่งตะวันออก อีกต่อไป เหมือนในวันวาน
หน้าตารุ่นใหม่ หลายคน คงเห็นไปแล้วในมอเตอร์โชว์ คู่ใจเราในวันนี้ คือ รถรุ่นท๊อปคลาส Ford Ranger Wildtrak 4×4 พระเอกทางเรียบ เน้นการตอบสนองการขับขี่ใช้งานธรรมดาทั่วไป พอวันว่างก็พอจะไปออฟโรดได้บ้างนิดหน่อย พอให้ ชีวิตมีรสชาติกันบ้าง
งานออกแบบรุ่นใหม่ เน้นการออกแบบบึกบึนสไตล์อเมริกันมากขึ้น เทียบกับรุ่นเดิม รุ่นใหม่ ออกแบบให้มีความเหลี่ยมมากขึ้นตั้งแต่หน้า ที่มาพร้องมไฟหน้า Matrix LED ช่วยรถความจ้าของแสง ส่องแยงตาเพื่อนร่วมทาง ในโคม มาพร้อมไฟ Day Time Running Light รูปตัว C ช่วยให้รถมีมิติขนาดใหญ่ มีความกว้างมากขึ้น
ในรุ่น Wildtrak มีความพิเศษ ตรงกระจังหน้า ให้การตบแต่งสีเทา Bolder Grey ช่วยให้รถดูคมเข้ม เพิ่มความน่าใช้งานมากขึ้นไปอีก
ถ้าเปรียบกับรุ่นเดิม จะเห็นว่า ช่วงระยะยื่นทางด้านหน้า ของ Ford Ranger ทุกรุ่น ทางด้านหน้า จะสั้นลงเล็กน้อย เนื่องจากมีการยืดล้อมาทางด้านหน้าอีก 50 มม. ด้วย
ทางด้านข้างห้องโดยสารมีการเปลี่ยนแปลงช่วงประตูข้าง เฉกเช่นเดิม รุ่น Wildtrak มาพร้อม ราวหลังคา และบันไดข้างขนาดใหญ่เพื่อให้ก้าวขึ้นลง รถสะดวก ในความเป็นจริง บันไดนี้อาจติดสูงขึ้นไปนิด ทำให้เวลาก้าวลงจากรถ ถ้าไม่เหยียบบันไดก่อน วาดผ่านไปเลย จะเลอะขากางเกงทางด้านหลัง ด้วยตำแหน่งบันไดที่สูง และมีความกว้างนั่นเอง
ทางด้านหลัง กระบะท้าย เป็นสิ่งที่ฟอร์ด ค่อนข้างภาคภูมิใจ ในการนำเสนอใน Ford Ranger ใหม่ ในรุ่น Wildtrak มาพร้อมสปอร์ตบาร์ทรงใหม่ ที่ไม่เพียงสวยงาม มันยังมีชุดราวเสริมขึ้นมา เพื่อความสะดวกในการผูกของ ยามต้องใช้งานเพื่อการบรรทุก
ในตัวกระบะเองให้ Liner ป้องกันการกระแทกกระบะมาด้วย ในครั้งนี้มันๆไม่เพียงทำให้กระบะทนทานคงรูปเท่านั้น ทางทีมออกแบบยังใส่ ระบบ Cargo Management System โดยทำร่องช่องต่างๆ เอาไว้ ให้คุณใช้แบ่งของสัมภาระได้ง่ายๆ เช่น อาจหาไม้มากั้นระหว่าง กระเป๋าเดินทางกับของกางเต้นท์ ทำให้ของไม่มารวมกัน เมื่อคุณขับเดินทาง
ไม่เพียงเท่านี้ที่ท้ายกระบะ ทีมฟอร์ดยังเพิ่ม Side Step ทางด้านข้าง เพื่อให้ง่ายต่อการปีนขึ้นท้ายกระบะหยิบของสัมภาระต่างๆ ฝาท้ายติดตั้งอุปกรณ์ผ่อนแรงมาเลย ไม่ต้องซื้อเพิ่ม ตัวฝาเองมีที่ยึดจับชิ้นงานช่าง สามารถเปลี่ยนท้ายกระบะธรรมดา ให้มีความสามารถในการทำงานทันที
รวมถึงท้ายสุดกระบะท้าย Ford Ranger Wildtrak ยังมาพร้อมช่องปลั้ก 12 Volt และ ช่องปลั้กบ้าน รองรับอุปกรณ์ไฟ้ฟ้า สูงสุด 400 วัตต์ ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานมากขึ้น
ภายในห้องโดยสาร Ford Ranger ใหม่ ยังคงความสบายไว้อย่างครบครัน และรุ่นนี้ปรับให้มันมีความทันสมัยมากขึ้นด้วย
ถ้าคุณสงสัยว่า ห้องโดยสาร มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือไม่ คำตอบ คือ มันไม่ได้ใหญ่ขึ้นในแง่ขนาดมิติห้องโดยสาร เนื่องจากมีข้อกำหนดทางกฏหมายค้ำคออยู่ หากทีมออกแบบก็พยายามเนรมิต ให้ห้องโดยสาร รู้สึกกว้างขวางโอ่โถงมากขึ้นเท่าที่จะทำได้
เรนเจอร์ใหม่ มาพร้อมหน้าปัดใหม่ ดิจิตอล เต็มระบบ ช่วยเพิ่มความทันสมัยมากขึ้น เป็นครั้งแรกในกลุ่มกระบะ
เมื่อก้าวเข้ามา อย่างแรก ที่สังเกตได้ทันที คือ คอนโซลหน้าถูกหด ลดลงไป ไม่ยืนยาวเหมือนเก่า ตรงหน้าคนขับ มาพร้อมจอแสดงผลขนาด 8 นิ้ว เพิ่มความทันสมัย บอกข้อมูลชัดเจนมากขึ้น ตรงกลางติดตั้งจอขนาด 12.3 นิ้ว เพิ่มเข้ามาทำให้รถ มีองค์ความทันสมัยทันตา
ในชุดจอ มันเป็นทั้งตัวเชื่อมต่อมือถือ ระบบความบันเทิงภายในรถ รวมถึงยังควบคุมสั่งการ เซทติ้งต่างๆ ตัวรถด้วย
รูปแบบหน้าจอ ต้องพูดตามตรงว่า อินเตอร์เฟซ การใช้งาน แอบมีความซับซ้อนอยู่บ้าง ในบางอย่าง เช่น การเซทค่ารถรถ ต้องกดไปที่รูปรถที่อยู่ขวาบน เป็นต้น อาจจะด้วยการที่เรายังมีเวลาอยู่กับรถไม่นานพอจะเข้าใจ เมนูต่างๆ จึงแอบรู้สึกว่าหลายอย่าง ต้องใช้เวลา ไม่เหมือนรุ่นเก่า ขึ้นมาขับได้เลย เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนเกินไป
ข่าวดี รุ่นนี้พวงมาลัย มาเป็นแบบ 4 ทิศทางเรียบร้อยแล้ว สามารถยืดหดขึ้นลงได้ จัดท่านั่งได้สะดวกมากขึ้น เบาะนั่งคู่หน้าถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ ขึ้นกว่าเดิม จนสัมผัสได้ทันทีตั้งแต่ลองลงไปนั่ง ไม่ว่าจะที่รองนั่งหรือพนักพิงหลังสามารถนั่งได้อย่างสบาย แถมรุ่นนี้ยังใส่ที่ดันหลังมาให้ด้วย เบาะนั่งคู่หน้า ทั้งฝั่งคนขับและคนนั่งเป็นปรับไฟฟ้า เสร็จสรรพ ครบเครื่องเรื่องความสบาย
ช่องคอนโซลกลาง วางพวกปุ่มจำเป็นต่างๆ ในการขับขี่ เช่นตัวเลือกระบบขับขี่ , โหมดขับเคลื่อนสี่ล้อ ปุ่ม ระบบ Traction Control และ Off Road Monitor สิ่งที่ผมตะขิดตะขวงใจ ให้ความเห็นไปตั้งแต่รุ่นเก่าแล้ว รุ่นนี้ก็ยังไม่ปรับสักที คือ หัวเกียร์แบบ Toggle Switch ที่เอาปุ่มปรับตำแหน่งเกียร์ไปรวมกับด้ามหัวเกียร์ ทำให้ในยามที่คุณต้องการใช้โหมด M จะต้อง มือหนึ่ง จับพวงมาลัย อีกมือ กระดิกนิ้วเลือกเกียร์ ไม่ค่อยถนัดนักในความเป็นจริง
แถมอะไรทุกอย่างดีหมด ฟอร์ด ดันตกม้าตาย ตรง ฐานเกียร์ที่น่าจะทำออกมาให้มันมีกว่านี้สักนิด ไม่ใช่ เหมือนเอาสีมาเขียน นี่ P R N D M มันดูแปลกๆตา ไม่เข้าที อาจด้วยว่าที่จริง รถรุ่นนี้ ควรใช้คันเกียร์ไฟฟ้า ซึ่งเวอร์ชั่นไทย มีเพียงใน แรพเตอร์ จึงทำแบบนี้ไปก่อน เพื่อขัดตราทัพ ชั่วคราว
ทางด้านหลัง พื้นที่โดยสารไม่ต่างจากเดิมนัก ด้วยข้อจำกัดของขนาดของห้องโดยสาร เบาะนั่งหลังยังคงมีความชัน เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ผู้โดยสารตอนหลัง มีช่องชาร์จ USB และช่องชาร์จไฟบ้านครบครัน รุ่นนี้เบาะนั่งออกแบบให้ ฐานสามารถพับขึ้นได้ เอาไว้ใส่ของชิ้นใหญ่ ใต้เบาะมีช่องลับซ่อนของจากเมีย หรือจะเอาไว้เก็บเครื่องมืออะไร ก็ตามที่จำเป็นก็ได้
ถึงเราจะบอกว่า ขนาดห้องโดยสารไม่ได้ใหญ่กว่าเดิม หากเมื่อนั่งสัมผัส เทียกับรุ่นเดิม อาจจะรู้สึกว่า มันใหญ่กว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงตัว และพื้นที่เหนือหัว อันมาจากงานออกแบบภายใน ของห้องโดยสาร นั่นเอง
สิ่งที่ส่วนตัวผมไม่ชอบ เกี่ยวกับ งานออกแบบภายในเท่าไรนัก คือ การบังคับว่า ภายในห้องโดยสาร ต้องเป็นการตบแต่งและเดินด้ายสีเหลือง ทั้งหมด อันเป็นเอกลักษณ์ ของ Wildtrak บางคนอาจจะรู้สึกชอบ โอเคกับมัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าไม่โอเคกับมันนัก
โดยเฉพาะเมื่อมองรวมกับสีภายนอก ภายในด้ายเหลือง อาจลงตัวกับสีเปิดตัว Lux Yellow แต่กับสีอื่นๆ มันอาจเพียงแค่พอจะไปวัดไปวาได้
แม็ก:N ทราน ในฐานะนักออกแบบ ของฟอร์ด ได้ เล่าให้เราฟังว่า การเลือกใช้ภายในเหลือง มาจากการทำให้มัน เป็นสีเฉพาะของ Wild Trak ทางทีมงานได้วางแล้วว่า สีภายนอกทุกสีของรุ่น Wildtrak จะเหมาะกับงานออกแบบภายใน
การวิศวกรรม
ใต้เรือนร่าง Ford Ranger Wildtrak พกเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ ที่เราคุ้นเคยในรุ่นที่แล้ว งวดนี้มันถูกตอนกำลังขับลงมา เหลือเพียง 210 แรงม้า หากยังให้กำลังแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรเหมือนเดิม
ทำไมรุ่นใหม่ แรงม้า น้อยลง เอียน ฟอสเตอร์ ในฐานะ หัวหน้าวิศวกรของ Ford Ranger ได้ให้ข้อมูลกับเราว่า ม้าที่หายไป 3 ตัว ไม่ได้ ไปนอนหลับทับสิทธิ์ แต่เป็นเพราะการตัดสินใจร่วมกันของทีมวิศวกร ในระหว่างการพัฒนา หลังจากปรับจูนเรื่องไอเสีย ให้ดีขึ้น สอดรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และ การปรับจูนลดเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ อาทิ เสียงการทำงานของหัวฉีด , เสียงจากการจุดระเบิด
ตลอดจน ทางฟอร์ดยังมีการปรับเครื่องยนต์และการคำนวน เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดใหม่ หลังจากลองในแล็ปมาพักใหญ่ ทีมวิศวกรลงความเห็นว่า การลดแรงม้า ลง 3 ตัว จะช่วยให้การตอบสนองของรถเร็วกว่าเเดิม ดีกว่าเดิม อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ดีกว่าเดิมเล็กน้อย
แม้ว่าในตัวเลขบนกระดาษจะน้อยลง หากผู้ขับขี่ใช้งานทุกวัน จะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาจจะรู้สึกด้วย้ำว่ารถตอบสนองดีกว่า เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ที่ใช้อยู่
เคียงข้างเครื่องยนต์ และเกียร์ เจ้า Ford Ranger ใหม่ ยังได้รับการปรับปรุงแชสซีใหม่ บางประการ เริ่มจาก ขยับฐานล้อ ให้ล้อมาทางด้านหน้าอีก 50 มม. ยืดล้อ ออกทางด้านข้าง อีก 50 มม. ด้วย ชุดเฟรม ออกแบบให้เป็นแบบ 3 ตอน แทนการออกแบบตอนเดียว เหมือนเดิมในอดีต
ช่วงล่างมีการปรับปรุงมาใช้ โช๊คอัพ Monotube ทั้งหมด เฉพาะ Ranger sport และ Ranger Wildtrak ไม่เพียงเท่านี้ ด้านหลัง ยังปรับช่วงล่างเป็นแบบ Outboard Mount หรือ โช๊คอัดติดตั้งทางด้านนอก ให้ความมั่นคงในการขับขี่ และ เพิ่มพื้นที่ในกระบะท้ายไปด้วยในคราวเดียว
การทดลองขับ
ขึ้นรถ สัมผัสแรก ผมยอมรับว่า ภายในดูดีกว่า Ford Ranger รุ่นเดิมมาก จนเปลี่ยนเป็นคนละคัน การได้จอภาพขนาดใหญ่ ทำให้มันดูหรูขึ้น เช่นเดียวกับ จอคนขับที่ไม่ต้องมานั่งเพ่งฟังชั่นผ่าจอเล็กๆ ซ้ายขวาอีกต่อไป
ส่วนเบาะนั่งนั่งสบายมากในสัมผัสแรก ด้วยการออกแบบตัวเบาะใหม่ ที่รองนั่ง ที่วางขายาวขึ้น เช่นเดียวกับพนักพิงหลัง พวงมาลัยปรับ 4 ทิศทาง ช่วยให้เราสามารถจัดหาท่านั่งได้ดีขึ้น ชัดเจน
ถนนแดนใต้ เป็นทางเรียบลาดยาง สัมผัสแรกหลังขับออกถนน ยอมรับว่า Ford Ranger Wildtrak เป็นรถที่มีช่วงล่างนิ่มนวลมากขึ้นกว่าเดิม มันผิดกับความจริงว่า รถใช้โช๊ค Monotube ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะแข็งกระด้าง ขับช้าสะเทือน อยากนิ่มนวล ต้องใช้ความเร็ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรนเจอร์
ทางตรงเริ่มเปลี่ยนเป็นทางโค้งต่อเนื่อง ฟอร์ด เรนเจอร์ เริ่มโชว์ศักยภาพการขับขี่มากขึ้น การได้โช๊คใหม่ ทำให้มัน ตอบสนองดีขึ้น โคลงตัวน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มันดูมั่นคงมากขึ้น จนคนนั่งดูสบายกับการเข้าโค้งได้ตลอดทาง
ไม่ทันไร ประโยคว่า “ภาคใต้ฝน 8 แดด 4” ก็ต้อนรับเราด้วยฝนที่เทกระหน่ำลงมา ทางถนนที่ตอนนี้ฉ่ำไปด้วยน้ำรถก็ยังดีขับมั่นใจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ Ford Ranger ใหม่ มีดีกว่า แค่เป็นรถ 1 คัน หนนี้ทางฟอร์ดใส่โหมดการขับขี่มาด้วย คล้ายกับที่เคยมอบให้ Ford Ranger Raptor รุ่นก่อน การใช้งานแค่เพียงบิดปุ่มตรงคอนโซลกลาง เพื่อเลือกแต่ละโหมด ที่เราใช้ในการขับขี่
ตลอดทางที่เราขับมาในช่วงแรก เป็นโหมด Normal รถให้การตอบสนองที่ดี เร่งเป็นมา ขับช้าก็เนียนนั่งสบาย เกียร์เปลี่ยนขึ้นลงในจังหวะทันใจ เป็นไปตามเท้าคนขับ
แต่การขับรถแรงบิดมากๆ ท่ามกลางฝนตกแบบนี้ จะดีมากถ้าไม่มีตัวช่วยที่ดีกว่านี้ ข่าวดี ทางฟอร์ดใส่โหมดอื่นๆ มาให้อีก ได้แก่
- Eco โหมดประหยัด
- Tow/Haul โหมด ลากจูง และบรรทุกหนัก
- Sliperry โหมด ทางลื่น (ซึ่งเราจะใช้โหมดนี้)
ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ยังมีอีก 2 โหมด
- Mud / Rut โหมด ทางโคลน
- Sand ทางทราย
ทางฝนแบบนี้เราต้องใช้ sliperry เมื่อใช้งานแล้ว รถจะปรับการตอบสนองหลายๆ อย่าง เช่น คันเร่ง ระบบควบคุมการทรงตัว การตอบสนองของเกียร์ ทำให้เราสามารถขับรถได้ง่ายขึ้น มาก
กับโหมด ทางลื่น เมือเข้าแล้ว รถจะเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Hi ให้อัตโนมัติ เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งอย่างที่คุณรู้ มันไม่ค่อยเหมาะนัก ถ้าคุณขับบนทางโค้งต่อเนื่อง อย่างที่เรากำลังวิ่งอยู่นี้ ผมแปลกใจ ที่ฟอร์ด เซทมาแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่า 4Hi ไม่เหมาะ วิ่งในฝนตก และระบบขับสี่ คันนี้ไม่ใช่ All Wheel Drive
ท้ายสุดผมตัดสินใจ ปลดโหมดนี้ออก เนื่องจากมันไม่เหมาะกับทาง แต่ภายหลัง มาทราบว่า ในแต่ละโหมดจะม่ีฟังชั่นย่อยๆ อีก อย่างเช่น โหมดลื่น คุณสามารถเลือกให้เป็นขับเคลื่อนสองล้อได้ ด้วย .. ตอนมานั่งคุยกับวิศวกร ก็เอ้า !!แล้วคนธรรมดา เขาจะรู้ไหมครับ เนี่ย นั่นแสดงว่า ต้องใช้งานบ่อยๆ ต้องศึกษาข้อมูลด้วย
ไม่เพียงแค่นี้ คุยไปคุย มา ผมได้ความรู้เรื่องโหมด Tow/ Haul คนไทย อาจจะบอก ใส่มาทำไม ชีวิตนี้ไม่เคยลากจูง
แต่รู้ไหมครับ วิศวกรบอกเราว่า โหมดนี้ สามารถใช้ในการบรรทุกหนักได้ด้วย เนื่องจากระบบจะทำการค้างเกียร์ที่เราใช้ให้นานขึ้น เช่น ในการขึ้นเขา ทำให้เราสามารถรีดกำลังเครื่องได้ดี โดยที่คุณไม่ต้องเข้าโหมด M แล้ว จับคันเกียร์กดปุ่มบนหัวมันให้เสียเวลา
นอกจากโหมด อันน่าอัศจรรย์แล้ว การจูนพวงมาลัย และ เบรกใหม่ ของ Ford Ranger ก็ให้การตอบสนองดีขึ้นมาก โดยเฉพาะเบรก รุ่น Wildtrak มาในแบบ ดิสก์ 4 ล้อ ตอบสนองดีมาก แบบเดียวกับการขับรถเก๋ง คุณสามารถกดเบรกเบาๆ ก็พอเริ่มรู้สึกถึงการชะลอรถได้
ส่วนพวงมาลัย การคัดช่วงแรกจะหนืดๆ นิดไม่อิสระเหมือนรุ่นเดิม แต่พอถึงจังหวะเปลี่ยนทิศ มันจะฟรีมากขึ้น พวงมาลัยมีน้ำหนักค่อนข้างเบา ขับได้ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง เมื่อความเร็วมากขึ้น น้ำหนักก็จะมากขึ้น ตามไปด้วย ตามสไตล์ พวงมาลัยไฟฟ้า
ออฟโรดพร้อมสรรพ ลุยดีขึ้นกว่าเดิม
ผ่านทางถนนมามากพอสมควร ในที่สุด เราก็มาถึงทางออฟโรด การทดสอบทางออฟโรด แบ่งเป็น 2 ช่วงด้วยกัน คือการทดสอบสถานี และ ทางธรรมชาติ
เราเริ่มต้นที่สถานีต่างๆ มีทั้งหมด 9 สถานี ทางฟอร์ด ตั้งใจโชว์ ศักยภาพของโหมดการขับขี่ต่างๆ ของเรนเจอร์ให้เราเห็น แต่ก่อนที่เราจะเริ่มกิจกรรม ปรากฏฝนตก เทลงมาชุดใหญ่ เปลี่ยนให้สนามที่ว่าหินแล้วหินขึ้นไปอีกระดับ จนต้องงัดทุกสมรรถนะการขับขี่มาใช้
ด่านแรก เป็นการลงเนินชัน รถคันนี้มีระบบช่วยลงทางลาดชัน หรือ hill decent Control ช่วยในการลงทางชัน ระบบค่อนข้างตอบสนองไว ในการทำงานจริง ในงวดนี้จะต่างจากเดิม ตรงระบบ จะทำงานในลักษณะคล้าย One Pedal คือ ถ้าคุณกดเบรก ระบบจะตัดการทำงาน ทันที ต้องใช้การเร่ง เพื่อควบคุมความเร็วแทน จะให้มันเบรกน้อยหรือมาก ตามต้องการ
ส่วนตัวรถ ฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่ เพิ่มมุมจาก ตัวรถ ทำให้สบายขึ้น เมื่อลง ทางลาดชัน และหน้ารถมีกล้อง ช่วยในการมอง ทำให้ ไม่ต้องชะเง้อ เวลาขับทางลุย หรือ ต้องวานเพื่อน ลงไปชี้เป้า แบบในอดีต คนเดียวก็เที่ยวได้
จากลงทางลาดชัน เราก็ต้องขึ้นทางลาดชันให้ได้ ข่าวดี ระยะยื่นสั้น ทำให้คุณกะง่ายขึ้น และการครูดทางด้านหน้าตลอดทางลุยไม่มีสักครั้งให้ได้ยิน
ด้วยพละกำลังอันเหลือเฟือ แรงบิด 500 นิวตันเมตร ทำให้รถสามารถขึ้นทางลาดชันแบบนี้ได้สบายมาก ไร้ปัญหาใดๆ ไม่เพียงแค่นี้ ถ้าถนนลื่นแบบที่เราขับ มันยังมี Diff Lock สามารถงัดออกมาใช้เพิ่มแรงถีบช่วยส่งขึ้นเนินได้ด้วย
การใช้งานระบบต้องทำผ่านจอ ซึ่งนั่นเป็นจุดที่ทำให้ส่วนตัวรู้สึกว่ายุ่งยาก เพราะเราลุยจริง คุณจะวุ่นวาย ไม่ง่ายเลยในการไปใช้จอในการทำงาน ส่วนตัวมองว่าควรจะทำเป็นปุ่มมากกว่า เพื่อความสะดวกในการขับขี่
ผ่านทางชันต่างๆมาได้ สถานีต่อมา เป็นทางดินในป่าปาล์ม ทางแบบนี้ชาวไร่ชาวสวนจะคุ้นเคย ถ้ายามปกติ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ขับผ่านไปได้สบายๆ ไม่มีมีปัญหา แต่เมื่อฝนตกลงมาแบบนี้ ดินธรรมดา ก็ยากขึ้นมาทันควัน
ภาษาออฟโรด จะเรียกว่า “ดินหนังหมู” หน้าดินจะเละและลื่น มีสภาพกึ่งโคลน และบางจุดของสถานีเป็นโคลน มีทางโค้งสลับไปมา
บนเส้นทางแบบนี้ ถือว่ามีความยากมากสำหรับ กระบะทั่วไป ด้วยความลื่น ของเส้นทาง แต่รถรุ่นนี้ขับไปได้สบาย ด้วยการอาศัย โหมดขับขี่
สถานีนี้ ทางฟอร์ดขอให้เราใช้ โหมด Mud/Rut ร่วมกับ 4 Hi เมื่อเข้าโหมด ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ จะเข้าตามให้ด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในโหมดอยู่แล้ว มันก็แค่ปรับการตอบสนองเครื่องยนต์ เกียร์ รวมถึงระบบ Traction Control แค่นั้นเอง
ทางแบบนี้มีความลื่นไถลมาก แค่กดคันเร่งหากคัดพวงมาลัยไม่ดี ก็อาจจะแพร่ด ไปคุยกับต้นไหม้ได้เอาดื้อๆ ยิ่ง Wild Trak ใช้ยาง H/T ยิ่งทำให้ความลื่นทวีคุณ ด้วยดอกยางไม่สามารถเกาะบนสภาพดินได้ไม่พอ ดินที่เกาะดอกยาง เคลือบคาราเมล ให้ยางไม่มีสภาพในการเกาะส่งแรงขับไปยังพื้นได้
ตลอดทางการขับบนถนนทางแบบนี้ จึงเป็นเรื่องของการใช้แรงบิด ปั่นไปข้างหน้าอย่าได้หยุดเดินคันเร่ง รถยังตอบสนองได้ไปตามทาง แม้จะเหมือนลอยๆ ไปกับถนนทางดิน ในความเร็วต่ำ กับรถที่ไม่ได้มีอาวุธร้ายเรื่องการลุย มันทำให้ผมแปลกใจได้ไม่นอนเลยทีเดียว
มาถึงจุดหนึ่งตรงนี้ทางดิน เริ่มเป็นทางโคลน ผมเร่งเต็มที่ แล้วรถเหมือนไม่เคลื่อนไหว ระบบควบคุมการทรงตัวมองว่า ระบบจะคอยตัดการทำงานเนื่องจากเราลื่นไถลมากๆ ครูฝึกบอกทางเดียวต้องทำ คือสู้กับกับดินเร่งใช้แรงบิดพาเราออกจากอุปสรรค อย่าหยุด …
ผมดิ้นตรงจุดนี้ อยู่ราวๆ เกือบนาที ต้องเร่งเพื่อใช้แรงปั่นให้ผ่าน ในที่สุดเราก็ผ่านมาได้ ถ้าเป็นความจริง เวลาเข้าป่า ก็เหมือนเรารอดตายต้องฉลองชัย ที่ไม่ต้องนอนในป่า พลาดท่าให้กับธรรมชาติ
ในรุ่นนี้ การทำงานหลายอย่าง จะอยู่ในจอกลาง อาจจะต้องทำความคุ้นชินในการใช้งาน
ถ้าคิดว่านั่นน่าจะแย่ที่สุดแล้ว ฟอร์ดยัง เตรียมบ่อวัดใจไว้ด้วย บ่อโคลนลึกประมาณหนึ่ง ราวๆครึ่งล้อ ระยะราวๆ 100-200 เมตร
เอาไงล่ะครับ ..พี่น้อง ทางเดียว คือ สู้ออกไป เราใช้เทคออฟ ด้วยความเร็วประมาณหนึ่ง ไม่เกิน 20 ก.ม./ช.ม. จากนั้น กระโจนลงบ่อโคลน แล้ว ดันคันเร่ง สะบัดพวงมาลัย ไปด้วย ส่ายสะบัดโคลน เพื่อให้เราผ่านไปได้
จริงๆ จุดนี้ดูจะง่ายกว่าจุดที่ผ่านมา แต่ด้วยสภาพ โคลนลึกและหนา กว่าจึงน่ากลัวกว่ามาก ในความจริง
จากทางดิน สุดหิน ก็เป็นทางหินใหญ่ ในช่งนี้เป็นทางสั้นๆ เราได้เห็นการตอบสนองของระบบกันสะเทือนที่มีระยะยืดและยุบมากกว่าตัวเดิม แม้ว่าในทางแบบนี้ จะถามหาความสบายในการโดยสารไม่ได้ หากรถก็ตอบสนองได้อย่างดี
ต่อมาเรามาถึงทางทราย ที่มีความร่วน ไม่ยากใช้โหมด ทราย และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ สามารถผ่านไปได้อย่างสบาย
แต่ว่าที่ยากจริง และเป็นบทพิสูจน์ ในการขับขี่ ออฟโรด เลย คือ เส้นทางธรรมชาติ
ทางดินชาวบ้านใช้ ลัดจากสถานีของเราไปอีกทาง ฝนก็ตกมากขึ้นเรื่อยๆ ใจผมก็คิดว่า เราจะไปได้จริงหรือ เพราะผมเคยติดป่ากับเรนเจอร์รุ่นก่อน มาแล้ว มีประสบการณ์ตรง ที่เขากระโจม เคราะห์ ดีงวดหน้า ขอเจ้าป่าเจ้าเขา ที่สุด ก็ออกมาได้
ในแง่การลุย Ford Ranger 2022 ใหม่ ทำได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจาก การออกแบบ และการพัมนาชุดช่วงล่าง รวมถึงเพิ่มโหมดการขับขี่
เราผ่านมาตอน ทางดินที่เริ่มเละ เหมือนที่สถานี จากนั้น มาเจอเนินชัน ที่มีเนินสลับในตัวด้วย จนต้องมียกล้อหลังโชว์บ้าง เส้นทางยากตรงมีความลื่น และร่องน้ำ
มีครั้งหนึ่ง ผมลงเนินปรากฏดินสไลด์ พาลื่น ลงคูร่องลึก ข้างๆ โชคดีที่เราสามารถใช้แรงบิดช่วยดิ้นผ่านมาได้ ต้องขอบคุณโหมดการขับขี่ที่ช่วยให้การตอบสนองของรถทำให้เราควบคุมง่าย รวมถึงกล้องหน้า เป็นของที่มีประโยชน์มากในเส้นทางออฟโรด
เราหลุดจากทางนี้มาได้แบบไม่มีรอยขูดขัด แสดงให้เห็นรถสามารถตอบสนองการลุยดีขึ้น จนผมว่า นี่คือจุดเด่นสำคัญของ Ford Ranger Wildtrak ใหม่เลย
เรนเจอร์ใหม่ ยังลุยได้ดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
Ford Ranger Wildtrak 4×4 ปรับใหม่นั่งนุ่ม ลุยสบาย
ตลอดทางทริปนี้ ผมอยู่กับ Ford Ranger Wildtrak พร้อมฝนตกตลอดทาง จนกระทั่งยามเย็น เจ้ากระบะคันนี้ได้โชว์ให้ผมเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง ถึงการเปลี่ยนแปลง ขอสรุปดังนี้
- รถมีความสบายในการขับขี่ และการโดยสารมากขึ้น มีความนุ่มนวล ลดแรงเหวี่ยง น้อยลง เวลาเข้าโค้ง สามารถนั่งทางไกลดีขึ้น
- ภายในมีความทันสมัย นั่งสบายยิ่งขึ้น ผ่านงานออกแบบใหม่ล่าสุด มีการปรับปรุงชุดเบาะ และ การใช้งานต่างๆง่ายขึ้นผ่านจอ
- รถสามารถตอบสนองดีขึ้น ผ่านโหมดการขับขี่ ต่างๆ และลุยดีขึ้น ด้วยโหมดการขับขี่ ต่างๆ ทำให้มันตอบสนองดีขึ้น ในทุกเส้นทาง
- การปรับงานออกแบบตัวถัง ลดปัญหากวนในในการลุย โดยเฉพาะสายออฟโรด จะรู้สึกทันทีว่า มันมีการครูดต่างๆ จากการผ่านอุปสรรคน้อยลง อย่างมาก
อย่างไรก็ดี จากทั้งหมด ผมรู้สึกว่า สิ่งที่ฟอร์ด พยายามปรับให้ Ford Ranger Wildtrak ใหม่ เป็นการมอบรถกระบะหนึ่งคัน ที่คุณสามารถวางใจได้ในการเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง และล่าสุด Wildtrak ยังเพิ่มรุ่นขับเคลื่อนสองล้อออพชั่นจัดเต็ม มาด้วยสำหรับใครที่ไม่ใช่ขาลุย
แค่เพียงน้ำย่อย จากการลองขับของเรา ก็บอกได้เลยว่า เรนเจอร์ใหม่ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้วงการกระบะ อีกครั้ง อย่างไม่ต้องสงสัย อละนี่คือกระบะที่ทุกคนรอคอย และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็สมกับการรอคอย เช่นกัน