—————————————————————
Honda CR-V 2.4 Gasoline
ในการทดสอบ Honda CR-V ผมวางแผนไว้ว่าจะให้น้ำหนักในการทดสอบรุ่นเบนซิน น้อยกว่าดีเซล เนื่องจากรุ่นเบนซิน เป็นเครื่องยนต์เดิมจากรุ่นที่แล้ว แต่ตอนที่ไปสนามช้างฯ ทางทีมวิศวกร ก็พูดเสียผมสนใจ พวกเขาบอกว่า พวกเราปรับอัตราทดเกียร์ใหม่นะ”
ฟังแล้ว มันก็น่าสนใจดี จนกระทั่งผมมาเปิดสเป็กดู ก่อนวันไปรับรถ เจ้า Honda CR-V ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ ขนาด 2.4 ลิตร ยังคงให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที และทำแรงบิด 224 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที ชุดเกียร์ยังเป็น CVT มีอัตราทด 2.645 – 0.405 เหมือนเดิมกับรุ่นที่แล้ว แต่เปลี่ยนอัตราทดเฟืองท้ายเป็น 5.363 จากเดิม 5.047
อ่านข้อมูลก็พอเดาได้ว่าทางฮอนด้าต้องการให้อัตราเร่งออกมาแบบว่าสนุกสุดใจ อัตราประหยัด ช่างมันปะไร ในเมื่อเครื่องขับดี
ผมขึ้น Honda CR-V เบนซินครั้งแรก ขับออกมาจากฮอนด้า วิ่งไปตามถนนสุขุมวิทกลับบ้าน อัตราเร่งของมันได้ใจสุดๆ จะมุดจะแซงก็ทำได้ง่าย แต่เมื่อขยิบมือหลังพวงมาลัย อ้าว!! เฮ้ย!! ไม่ได้ให้ Paddle Shift นี่หว่า … อรรถรสเรื่องสปอร์ต เป็นอันตกไป
อย่างที่คุณน่าจะพอเดาได้ ขับรถเครื่องใหญ่ในเมือง มันต้องซดน้ำมันโฮกกว่าเครื่องยนต์ขนาดเล็ก แถมงวดนี้ทางฮอนด้า เพิ่มอัตราทดเฟืองท้ายให้สูงขึ้นออกตัวดีขึ้น เมื่อมาเจอการจราจรเดี๋ยวขับเดี๋ยวหยุดในเมือง มันก็ออกจะซดน้ำมันหน่อย ผมลองในเมืองโดยใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท ตรงผ่าสยามกลับบ้านทางปิ่นเกล้าไปยังบางใหญ่
จากการขับตามสภาพการจราจรจริง Honda CR-V เบนซินกินแหลกไม่ต้องสิบ อัตราประหยัดของมันจากการเติมคืนถังที่ปั้มประจำแถวบ้าน ทำได้เพียง 7.3 ก.ม./ลิตร ด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 91 ตามที่ทางฮอนด้า เติมมาให้ขับทดสอบ
ผมไม่รอช้าที่จะเจ้า CR-V ลองขับทดสอบในภาวะจำลองในเมืองและนอกเมืองในอัตรา 50/50 ภายใต่ข้อกำหนด “Bonn Test Mode” โดยในเมืองวิ่งความเร็วไม่เกิน 90 ก.ม./ช.ม. ส่วนนอกเมืองใช้ความเร็วไม่เกิน 120 ก.ม./ช.ม. ผ่านถนนเส้นหลักๆ ที่สำคัญ เช่น ถนน ราชดำเนินกลาง, ถนน เพชรบุรีตัดใหม่ สุขมวิท แล้วกลับมายังปั้มเดิม วันนี้ขับได้ระยะทาง 63.4 กิโลเมตร เสียบหัวจ่ายเข้าถัง เติมน้ำมันจนหัวจ่ายตัด เจ้า Honda CR-V รับประทานไปทั้งสิ้น 5.357 ลิตร ดีดเครื่องคิดเลขได้อัตราประหยัด 11.83 ก.ม./ลิตร
อัตราประหยัดย่ำแย่ ไร้ Paddle Shift แต่ราคาแพงขึ้น ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า ฮอนด้าเข้าใจสาระการใช้งานของลูกค้าจริงๆ หรือเปล่า
Honda CR-V ไม่จำเป็นที่จะต้องแรงมุทะลุอะไรมาก แต่ควรเป็นรถที่ขับสบายนั่งดี้ และที่สำคัญที่สุดของคำว่ารถครอบครัว คือการประหยัดน้ำมัน
ย้อนกลับไปตอนสมัย Autodeft.com , Honda เคยพาผมไปตะลุยสังขละบุรี แต่ละคันมีผู้โดยสาร 4 คน ทุกคัน ทริปนั้นจบอัตราประหยัดที่ 11.3 ก.ม./ลิตร และหลังจากจับทดสอบในเมืองและโหมดเฉลี่ย มากค่อนข้างมั่นใจว่า รุ่นใหม่ น่าจะด้อยกว่าเดิม อย่างไม่ต้องสงสัย
งานนี้ต้องลองให้มันรู้กันไปเลย ไหนๆ ก็ลากยาว มาแล้ว ผมตัดสินใจ ขับรถเลี้ยวออกวงแหวนตะวันตก ตัดยาวไปตามทางจนถึงถนนสายเอเซีย จากนั้นม้วนกลับทางต่างระดับบางปะหัน แล้วตรงกลับบ้านทันที
เมื่อใช้ความเร็ว Honda CR-V โชว์ความดีงามของระบบช่วงล่างทางด้านหน้า และทางด้านหลังของรถให้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้น ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติงลิงค์ ถูกปรับปรุงใหม่บางจุด โดยเฉพาะบุชช่วงล่าง Honda CR-V รุ่นใหม่ จะเป็นแบบบุชที่บรรจุของเหลวไว้ภายในหรือ Liquid fill bushing ช่วยซับแรงกระแทกจากถนนดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม รวมถึงปรับขนาดเหล็กกันโคลงหน้า-หลังใหม่
โดยในส่วนของช่วงล่างด้านหน้า นอกจากการหันมาใช้บุชชิ่งแบบใหม่ที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ทางฮอนด้ายังปรับจุดยึดแขนช่วงล่างทางด้านล่างใหม่ เปลี่ยนตำแหน่งจุดยึดเข้ากับโครงสร้างหลักของตัวรถช่วยเพิ่มอำนาจการควบคุมให้กับผู้ขับขี่ ขณะที่ทางด้านหลังได้ทางฮอนด้าเปลี่ยนชุดโช๊คมาใช้ชุดโช๊คแรงเสียดทานต่ำในระบบกันสะเทือนมัลติลิงค์ เพื่อความสบายในการโดยสารสูงสุด
ตลอดเวลาที่ขับขี่เจ้า Honda CR-V 2.4 ต้องยอมรับว่า เทียบกับรุ่นเดิมแล้ว ระบบช่วงล่างรุ่นใหม่ตอบสนองดีกว่า แต่ก็ให้ความรู้สึกที่แข็งกว่าอย่างเห็นได้ชัด อาการช่วงล่างค่อนข้างความรู้สึกใกล้เคียงกับรถยุโรป เว้นแต่ผมรู้สึกมันยังค่อนข้างกระด้างกว่าพอสมควร อาการของระบบกันสะเทือน Honda CR-V ใหม่ ออกมาในทางแน่นหนึบ แอบความกระด้างไว้ในมุมลึกๆ ซึ่งไม่สมควรจะมีอย่างยิ่งในรถยนต์นั่งสำหรับครอบครัว
ความกระด้างสามารถสัมผัสได้ เมื่อรถวิ่งผ่านถนนที่ทำมาไม่ค่อยดี เช่นถนนปูนที่มีลอนเป็นลูกคลื่นเล็กๆ ถี่ยิบอย่าง บางช่วงของถนนสายเอเชีย เจ้าซีอาร์วีเรา สามารถเก็บรายละเอียดการสั่นจากถนนได้แทบทุกเม็ด จนแทบสามารถจะไปบอกกรมทางหลวงได้เลยว่า พี่ๆ ตรงนี้พี่ทำถนนไม่เรียบนะ …
ส่วนตัวผม กลับรู้สึกว่า ฮอนด้า พยายามทำให้ Honda CR-V ใหม่ ตอบสนองดีขึ้นเมื่อขับเร็ว และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อคุณขับรถใช้ความเร็วเกิน 100 ก.ม/ช.ม. อาการเด้งจะน้อยลงเห็นได้ชัด และจะน้อยกว่านี้อีก เมื่อคุณใช้ความเร็วเกิน 120 ก.ม./ช.ม. หากในชีวิตจริงคนไทย กล้องจับความเร็วจะผ่านเมื่อไร ก็ไม่มีใครอาจจะคาดเดาได้ ในชีวิตคนทั่วไป คงไม่มีใครเหยียบตะบันพาครอบครัวซิ่งที่ความเร็วสูงในรถอเนกประสงค์มากมายนักหรอก หรือว่าไม่จริง !!! (ขืนขับเร็ว..เมียด่ากล่องตัด แน่นอน)
ทางด้านการควบคุมบังคับเลี้ยว ทางฮอนด้าพัฒนาจุดยึดและชุดแกนพวงมาลัยใหม่หมดจด พร้อมตอบโจทย์ ด้วยระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า พร้อมชุดเฟืองพิเนียน 2 ตัว
แง่การใช้งานจริงบนถนนตอบสนองในเรื่องน้ำหนักในการควบคุมความเร็วต่ำและความเร็วสูงได้ดี พวงมาลัยมีระยะฟรี 1-2 องศา นับว่าน้อยกว่ารุ่นที่แล้วมากพอสมควร แต่ระหว่างขับก็เจอความรู้สึกหลอกของระบบพวงมาลัยชุดนี้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะใครที่เป็นนักปาดในเมืองบ่อยๆ สมควรระวัง ถ้าคุณไม่ได้บังคับพวงมาลัยตั้งตรงเอาไว้ แล้วหันไปทำอะไรอื่นๆ กลับมาจับพวงมาลัยอีกที ความรู้สึกตอบสนองเรื่องทิศทางจะหายไป คุณต้องเดาเอาเอง หรือจำให้ได้ ว่าบังคับทิศทางไหนไว้ เพื่อปรับทิศทางให้ถูกต้องก่อนออกตัว จะได้ไม่เซไปหาชาวบ้าน
เท่าที่ขับ เจ้า Honda CR-V 2.4 3 วัน เต็ม ผมว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ยังเป็นขุมพลังที่เร้าใจอยุ่เหมือนเดิม แม้ว่าเราต่างจะรู้ดีว่าการวิศวกรรมเครื่องยนต์บล็อกนี้เริ่มเก่าแล้ว เพราะผ่านการพัฒนาจากเครื่องยนต์ตระกูล K จากรุ่นสู่รุ่น แต่ในยามที่ขับบนถนนตามต่างจังหวัดมันขับได้ดีน่าประทับใจ
อย่างไรก็ดี ด้วยอัตราทดเฟืองท้ายที่เพิ่มขึ้น เน้นความนิ่มนวลออกตัว เร่งแซงมั่นใจกว่ารุ่นเดิม ส่งผลต่ออัตราประหยัดอย่างชัดเจน ในการขับนอกเมือง ผมขับที่ความเร็ว 100-130 ก.ม./ช.ม. เร่งแซงเป็นบางจังหวะตามสภาพการจราจรใช้งานจริง ผมจบอัตราประหยัด รุ่นเบนซิน ที่ 8.4 ก.ม./ลิตร
สรุปอัตราประหยัด Honda CR-V เบนซิน
อัตราประหยัดในเมือง | 7.3 ก.ม./ลิตร |
อัตราประหยัด นอกเมือง | 8.4 ก.ม./ลิตร |
Bonn Test mode | 11.83 ก.ม./ลิตร |
เมื่อมองภาพรวมอัตราประหยัดของเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร คงจะเห็นว่ามันโซ้ยแหลก ไม่ว่าจะนอกเมืองในเมือง ก็น่าแปลกใจนัก เพราะเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร บล็อกนี้ไม่ได้มีกำลังเพิ่มขึ้น แต่ทางฮอนด้า เลือกที่จะขยับอัตราทดเฟืองท้ายขึ้นไป เพื่อช่วยในการออกตัวให้ดีขึ้น เนื่องจาก เมื่อเปรียบเทียบรถรุ่นใหม่กับรุ่นเดิม Honda CR-V หนักขึ้นถึง 79 กิโลกรัม
(Honda CR-V 2016 หนัก 1591 กก. รุ่นใหม่ 2.4 EL หนัก 1670 กก.)
แทนที่จะเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ หรือเปลี่ยนบล็อกเครื่องยนต์ไปใช้บล็อกเดียวกับอเมริกา ซึ่งมีกำลังสูงสุด185 แรงม้า และมีแรงบิดสูง 245 นิวตันเมตร ซึ่งจะเรียกความน่าสนใจมากกว่า เพียงการปรับอัตราทดเกียร์ และทำให้อัตราประหยัดไม่ดูซดแหลกขนาดนี้
ตารางทดสอบอัตราเร่ง Honda CR-V เบนซิน
ครั้งที่ 1 | ครั้งที่ 2 | ครั้งที่ 3 | เฉลี่ย | |
อัตราเร่ง 0-100 กม./ช.ม. | 12.246 | 11.956 | 11.946 | 12.049 |
อัตราเร่ง 80- 120 ก.ม./ช.ม. | 8.1 | 8.0 | 7.7 | 7.933 |
อัตราเร่ง 0- 160 ก.ม./ช.ม. | 31.2 | 34.0 | 34.2 | 33.13 |
ความเร็วสูงสุด ก.ม./ช.ม. | 194 |
หมายเหตุ ทดสอบบนถนนลาดยาง นั่ง 1 คัน อุณหภูมิขณะทดสอบ 31 องศาเซลเซียส ขับด้วยโหมด D ,ระยะทางทดสอบความเร็วสูงสุด 3.5 กิโลเมตร
ทางด้านการทดสอบอัตราเร่ง เพื่อนๆ น่าจะเห็นได้ว่าอัตราเร่ง ของเครื่องยนต์ 2.4 Honda CR-V มีอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. อยู่ที่พิกัด 12 วินาที และ 80-120 ก.ม./ช.ม. มีพิกัดที่ 7.9 วินาที จากข้อมูลโดยเฉลี่ย
ความจริงแล้ว ในระหว่างการทดสอบ ผมรู้สึกว่ารถน่าจะเร่งได้ดีกว่านี้ แต่เนื่องจากชุดเกียร์ของ Honda CR-V เบนซิน ไม่ได้เป็นลักษณะตัดรอบเครื่องยนต์เอง หรือขึ้นตำแหน่งต่อไปต่อเนื่อง
หากจะดูการเหยียบคันเร่งของผู้ขับขี่ว่ายังต้องการอัตราเร่งหรือไม่ และจะค้างเกียร์ปัจจุบันไปจนกว่าจะสาแก่ใจ นั่นทำให้ผมต้องกระดิกเท้าหรือผ่อนคันเร่งเป็นบางจังหวะ เพื่อให้เกียร์ตอบสนองยังอัตราทดต่อไป หากไม่เสียจังหวะดังกล่าว เชื่อว่าก็น่าจะให้ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ระดับเลขตัวเดียวได้ และสิ่งที่จะช่วยได้อีกอย่างคือ Paddle Shift หรือ Manual Mode ที่ควรมีมาให้ในรถระดับนี้
โอเค ผมยอมรับ 173 แรงม้า สำหรับคนทั่วไปก็เรียกว่า รถแรงแล้ว แต่ Paddle Shift หรือ Manual Mode มีไว้ให้อุ่นใจ ดีกว่าเน้นขับย่ำที่เท้าจริงไหม !!!
อ่านรีวิวต่อ >>>>>
ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์ ขอบคุณทุกกำลังใจสำหรับพวกเรา ridebuster.com