การแข่งขันไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม มักจะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเสมอ ในโลกยุคใหม่ไม่มีที่ให้กับคนที่คอยเดินตามคนอื่น โอกาสทางธุรกิจมาถึงเสมอ ถ้าคุณตีความต้องการของลูกค้าออก แม้นบางครั้งมันเป็นสิ่งที่ยากจนต้องพลิกความเชื่อของเราเองที่มีมานานต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ท่ามกลางโลกธุรกิจยานยนต์ การแข่งขันในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์เป็นเกมที่ดุเดือดที่สุดในวันนี้ รถยนต์กลุ่มนี้เป็นรถที่คนสนใจอย่างมาก จากเดิมรถยนต์อเนกประสงค์มีราคาแพงเป็นรถที่คนใช้เพื่ออวดความร่ำรวย มันเริ่มถุกย่อขนาดจนมีราคาจับต้องได้ง่าย มันกลายเป็นรถครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่เริ่มมาแทนรถเก๋งดั้งเดิม ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิตที่เปลี่ยนไป เป็นรถที่พร้อมสรรพทุกความต้องการ ขับในเมืองก็ได้ เดินทางต่างจังหวัดก็ดี นั่งสบาย รูปลักษณ์สวย ความครบครันขนาดนี้ ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนว่า รถยนต์แบบนี้จะเกิดขึ้นยุคนี้
สำหรับซูบารุ (Subaru) การเปลี่ยนแปลงกระแสของเทรนด์การซื้อรถคนรุ่นใหม่ เข้าทางพวกเขาพอดี ค่ายดาวลูกไก่สายเลือกบูชิโดจากเมืองกุนมะ เคยถึงกับต้องเอามือก่ายหน้าผากในเวลาหาแห่งความตกต่ำช่วงปี 1990 ถึงรถกลุ่มคอมแพ็คคาร์ในเวลานั้นจะขายดี จนสร้างชื่อ แต่ในอีกด้านรถยนต์กลุ่มซีดานกลาง Subaru Legacy ที่ขายมายาวนาน กลับเริ่มซบเซา พวกเขาต้องพลิกพื้นความเชื่อของตัวเองที่มีต่อตลาดรถยนต์ ความมืดแปดด้าน เป็นสถานการณ์ที่บีบบังคับให้บริษัทต้องทำอะไรบางอย่างเพื่ออยู่รอดปลอดภัย
ในสุภาษิตญี่ปุ่นว่า “คนที่อยากจะชนะคนอื่น ต้องเริ่มจากชนะตนเองเสียก่อน” วลีสั้นเรียบง่ายโดนใจนักสู้ชีวิต กับซูบารุพวกเขาต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ออกตอบตลาด มันต้องการรถที่สดใหม่ตอบความต้องการ รถที่คนอเมริกันอยากใช้ สนองการใช้ชีวิตทุกมุมมองของพวกเขา ทั้งกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นรถที่ดูดี ใช้ได้เมื่อต้องอยู่ในโหมดคนรักครอบครัว
เวลานั้น Subaru ตีโจทย์โดยการนำ Subaru Legacy Station Wagon มายกสูง เพื่อให้ดูพร้อมลุย เมื่อบวกกับความสามารถในการวิศวกรรมของเครื่องยนต์บ๊อกเซอร์ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ มันก็กลายเป็นรถอเนกประสงค์จากรถเก๋งดีๆ หนึ่งคัน Subaru Legacy Outback (ก่อนย่อเหลือ Outback เมื่อขายในออสเตรเลีย) กลายเป็นรถที่สร้างให้ซุบารุรอดพ้นสถานการณ์ยากลำบากได้
ถึงความวิกฤตจะผ่านไปด้วยดี ซูบารุก็ไม่อยากให้ตัวเองตกในที่นั่งลำบากอีกครั้ง พวกเขามองถึงอนาคตที่รถยนต์คอมแพ็คคาร์อาจจะอยู่ในวังวนความต้องการรถสไตล์นี้เช่นกัน 2 ปีให้หลัง Subaru เผยตัวรถที่ย่อความคิด Subaru Outback พวกเขาเรียกมันว่า Subaru Outback Sport มันเป็นความคิดเดียวกับพี่ใหญ่ แค่มาทำในรถยนต์ Subaru Impreza
รถรุ่นนี้เกิดขึ้นมาเหมาะใช้ในเมืองในวันทำงาน และพร้อมออกเดินทางท่องโลกในช่วงสุดสัปดาห์ มันคล่องตัวปราดเปรียว ประหยัดน้ำมัน และทรงพลังจากเครื่องยนต์สมรรถนะสูง มันกลายเป็นรถที่คนญี่ปุ่นชอบแม้แต่ในทุกวันนี้ใครมีรถรุ่น (ที่เรียกในญี่ปุ่นว่า Subaru Gravel Express) ถือว่าเป็นตัวจริงคอซูบารุ
นั่นคือช่วงในเวลาก่อนยุค 2000 มันเป็นจุดเริ่มต้นของรถสายพันธ์ใหม่ที่ไม่มีใครคิดว่ามาก่อนว่า ความต้องการอยากจะทำของซุบารุ ดันมาตรงกับความต้องการของผู้บริโภคสมัยใหม่ อย่างที่พวกเขาคาดไว้จริงๆ
รถที่เคยเป็นเพียงตัวสำรองข้างสนามรุ่นพิเศษเอาใจคนที่ชอบความแตกต่าง ถูกพัฒนาอย่างจริงจังมากขึ้น ในปี 2012 ซูบารุจึงเอาความคิดพวกเขามากลั่นกรองใหม่ การหยิบดีเอ็นเอความสปอร์ตของ WRX ความลงตัวในการใช้งานแบบ Outback และความมั่นใจจาก Subaru Legacy กลั่นเป็นรถยนต์ “Subaru XV”
ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่วางขายในหลายตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย Subaru XV พิสูจน์ตัวเองด้วยยอดขายจำหน่ายสูงเป็นประวัติการณ์ จากเดิมที่ค่ายนี้ขายรถยนต์ได้เพียงหลักร้อยคัน เป็นบริษัทเล็กที่ตั้งอยู่บนถนนเสรีไทย มีศูนย์บริการเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย
กลับกระโดดขึ้นมาอยู่ในระดับพันคันต่อปี การเติบโตครั้งนี้ส่วนใหญ่ มาจากยอดขาย Subaru XV จนในปี 2016 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มียอดขาย รถซูบารุเป็นอันดับที่ 7 ของโลก
บวงสรวงจิตวิญญาณใหม่
ในเมื่อ Subaru XV เป็นรถที่ขายดี และเทรนด์การซื้อรถยนต์คนรุ่นใหม่ก็มาแนวนี้ประกอบกับกระแสรถยนต์อเนกประสงค์เล็กเฟื่องฟูตามลำดับ Subaru จึงใส่ใจมากต่อการพัฒนารถยนต์ Subaru XV รุ่นใหม่ พวกเขาเริ่มต้องจริงจังรถรุ่นนี้มากขึ้น โดยเฉพาะโจทย์ทางด้านความปลอดภัย ปราการด่านสำคัญโลกวันนี้ ที่ขาดไม่ได้จนกลายเป็นปัจจัยการซื้อรถข้อหนึ่ง
ทำให้ทางซูบารุตัดสินใจพัฒนาโครงสร้างหลักตัวรถใหม่ ตามวิสัยทัศน์ล่าสุด “Prominence 2020” โครงตัวถังใหม่ที่เน้นหนักทั้งสมรรถนะในการขับขี่ และความปลอดภัย จิตวิญญาณใหม่ค่ายดาวลูกไก่ Subaru Global Platform จึงเกิดขึ้นภายใต้ความตั้งใจของวิศวกรในการสร้างรถให้ได้ตามปรัชญา ที่พวกเขาเรียกว่า “Enjoyment & Peace of Mind” หรือ ถ้าจะพูดแบบภาษาไทยเข้าใจง่าย ก็จะออกมาว่า “ขับสนุกสบายใจ”
โจทย์สำคัญในการพัฒนา โครงสร้างใหม่นี้มี 2 ข้อ ประการแรก Dynamic Feeling ความรู้สึกถึงความคล่องตัวและมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น เป้าหมายสำคัญคือการทำให้รถควบคุมได้ดั่งใจทุกครั้งที่ขับขี่ ทีมวิศวกรวางโจทย์ไว้ 3 ข้อ ในเรื่องนี้คือ
1.Straight Line Stability ด้วยการพัฒนาโครงสร้างใหม่ที่มีความแข็งแกร่งขึ้น 70-100% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ทำให้การทำงานช่วงล่างดีขึ้น เพิ่มอำนาจการควบคุมรถให้เป็นไปได้ดั้งใจตามต้องการมากขึ้น รวมถึงลดการเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องการระหว่างการขับขี่
2.ลดการสั่นสะเทือนและเสียงจากโครงสร้าง ทางทีมวิศวกรปรับลดความซับซ้อนโครงสร้างลง และปรับการออกแบบส่วนเชื่อมต่อโครงสร้างใหม่ รวมถึงยังทำให้โครงสร้างที่แข็งแรงมากขึ้น มีการบิดตัวน้อยลง ลดการสะท้อนการสะเทือนเข้าสู่พวงมาลัยระหว่างการขับขี่
3.ความนุ่มนวลในการขับขี่ ด้วยความแข็งตัวเชิงโครงสร้าง ซูบารุจึงสามารถปรับเซทช่วงล่างตัวรถให้มีความสบายในการขับขี่มากขึ้น มันดีขึ้นถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
นอกจากการพัฒนาโครงสร้างเพื่อตอบโจทย์ในแง่การขับขี่ ทางซูบารุยังใช้โอกาสนี้พัฒนาโครงสร้างเพื่อความปลอดภัย ทั้งในระหว่างการขับขี่ด้วยการลดจุดศูนย์ถ่วงลงมาอีก 5มม. เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม และสามารถซับแรงกระแทกจากการชนได้มากถึงร้อยละ 40 จากปัจจุบัน จนทางบริษัทค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถผ่านการทดสอบทางด้านความปลอดภัยได้นานถึงปี 2025 กันเลยทีเดียว
ผมยังจำได้ตอนไปสิงคโปรเมื่อต้นปีที่แล้ว ทางวิศวกรเปิดวีดีโอทดสอบภายในบริษัทให้ดู พวกเขาจัดการเอา Mockup เทียบเท่ารถบรรทุกวิ่งชนรถ Subaru Impreza ใหม่ที่จอดในท่ารอกลับรถ ด้วยความเร็ว 90 ก.ม./ช.ม. ซึ่งถือว่าเหนือมาตรฐานการทดสอบอย่างมาก และสิ่งที่ผมเห็นคือ สภาพรถที่เหมือนไม่ได้ชนรุนแรงมาก อย่างที่สมควรจะเป็น
ฉีกตัวตนสู่ก้าวที่ใหญ่กว่า
ใครที่มีครอบครัว คงจะเคยคิดฝันให้ลูกเราเป็นดั่งใจเราต้องการ .. ความต้องการให้อนาคตไปได้ไกลกว่า ดีกว่า ตอนเรามีชีวิตจนกระทั่งหมดลมหายใจ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนตั้งใจมาเสมอ ในกรณี Subaru XV ถ้ามองย้อนประวัติศาสตร์จากที่เล่าไปข้างต้น คุณคงจะเห็นว่าทางซุบารุทำรถรุ่นนี้ด้วยแนวทางเพียงจับ Subaru Impreza มาปั้นแต่งให้มันดูลุยพร้อมใช้งานมากขึ้น
แนวทางที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 1994 จนถึงรถ Subaru XV รุ่นก่อนหน้านี้ คงแนวคิดดังกล่าวมาเรื่อย มันอาจยังขายได้ และสร้างยอดขายได้ต่อเรื่อง แต่คู่แข่งในตลาดก็มากขึ้น ความยากลำบากในการทำตลาดเพิ่มสูงขึ้น มีรถอเนกประสงค์หน้าใหม่มากมายเกิดขึ้น มันทั้งขับสบายกว่า เกิดมาเป็นอเนกประสงค์ขนานแท้ ถ้าบริษัทยังดำเนินอย่างที่เป็นมาดูท่าจะไม่ได้การ
ทาง Subaru จึงล้อมโต๊ะคุยถึงแนวทางของรถยนต์แต่ละรุ่นที่จะทำตลาดในอนาคต พวกเขาวางหมากให้เจ้า Subaru Forester รุ่นปัจจุบันและในอนาคตต่อไป เป็นรถที่เกิดมาเป็นอเนกประสงค์สายลุยขนานแท้ ส่วนทางด้าน Subaru Outback เปลี่ยนไปสู่อเนกประสงค์หรูและเหมาะสำหรับการเดินทางไกล
ส่วน Subaru XV ใหม่ เปลี่ยนสู่รถยนต์ที่เน้นขับสบาย เหมาะแก่การใช้งานในเมือง มีความเป็นวัยรุ่น เน้นความสปอร์ต และมีความสามารถในการใช้งานสูง
จากแนวทางดังกล่าวโจทย์ทางด้านการออกแบบ Subaru XV ใหม่ จึงตกถึง นาย มามูโระ อิชิ ผู้จัดการทั่วแผนกการออกแบบของ Subaru Cooperation ทำหน้าที่ปลุกเสกอเนกประสงค์น้องเล็กคันใหม่สู่ความเป็นจริง
วิถีการออกแบบใหม่ ของทางซูบารุมีการปรับเปลี่ยนในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา นำเสนอผ่านรถต้นแบบมากมายหลายรุ่นแสดงถึงการออกแบบใหม่ๆ จนท้ายที่สุดก็ได้แนวคิดที่เป็นปัจเจกและเรียบง่ายว่า “Dynamic X Solid“
Dynamic X Solid เป็นการต่อยอดจากความคิดว่า Enjoyment & Peace of Mind มาจากการศึกษาลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ซูบารุว่า คนกลุ่มนี้และกลุ่มที่มีแนวโน้มน่าจะเข้ามาเป็นลูกค้า เป็นคนรักความสนุกสนาน และต้องการความไว้เนื้อเชื่อใจ มั่นใจได้กับสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาตัดสินใจ
การถ่ายทอดออกมาเป็นความคิดในการออกแบบจึงต้องผสมผสานให้สอดคล้องตรงกับตัวตนของลูกค้าที่มองหา ในแง่ Dynamic ทางค่ายดาวลูกไก่นิยามว่า หมายถึงสไตล์ตัวรถที่ต้องดูสปอร์ตปราดเปรียว ทรงพลัง เป็นที่เตะตาบนท้องถนน
ส่วนทางด้านคำว่า “Solid” ทีมออกแบบตีความไปถึงความปลอดภัย รถดูแข็งแกร่งบึกบึนทรงพลัง มั่นใจได้ ทุกครั้งที่ลูกค้าไปนั่งหลังพวงมาลัย ดูเป็นเครื่องมือที่มีฟังชั่นการใช้งานที่ครบครัน และยังคงไว้ซึ่งความงาม
จากทั้งหมดที่สาธยายทางด้านการออกแบบมายกใหญ่ นาย มามูโระ จึงวางแนวทางการออกแบบ Subaru XV ใหม่ ง่ายๆ ว่า “Sport Casual”
แนวทางการออกแบบ Sport Casual ก็คล้ายๆ กับคุณแต่งชุดสบายๆ ออกจากบ้านไปข้างนอก แต่สามารถเดินทางไปได้ทุกที ดูดีทุกมุมมอง และพร้อมเสมอถ้าจำเป็นต้องลุย
ตัวรถ Subaru XV ใหม่ จึงถูกสรรค์สร้าง องค์ประกอบต่างที่ดูมีเสน่ห์มากขึ้น แม้ว่าจะยังใช้ตัวถังจากรถยนต์ Subaru Impreza Hatchback มาพัฒนาต่อยอดยังคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นแนวทางที่ทางซูบารุไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง
แต่เส้นสายการออกแบบของ Subaru Impreza เดิมก็มีความสปอร์ตอยู่เป็นทุนเดิม ทางซูบารุเพียงแค่ต้องเพิ่มรายละเอียดดูลุยเข้าไปมากขึ้น จนดูเป็นรถคนละรุ่น เหมือนไม่ได้มากจากพื้นฐานเดียวกันเหมือนที่ผ่านมา
เมื่อมองตัวรถคุณจะเห็นได้ตั้งแต่ทางด้านหน้าที่มาพร้อมกระจังหน้าสีดำจากโรงงาน ลงตัวกับไฟหน้าโคมดำใหม่ ดูมีความปราเปรียวมากกว่ารุ่นก่อนนหน้านี้ มาพร้อมโคมโปรเจคเตอร์ และไฟหน้า LED ให้ความรู้สึกสปอร์ตมากขึ้น ในรุ่น 2.0i-P ยังมาพร้อมฟังชั่นที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้า เสริมความลงตัวพร้อมใช้งานเผื่อการลุย ในโคมไฟหน้าเติมรายละเอียดยามขับขี่ด้วย ชุดไฟ Day Time Running Light ทรง C หัวยาวเอกลักษณ์ใหม่ซูบารุ ทั้งหมดดูกลายเป็นรถอเนกประสงค์มากขึ้น เมื่อดูคู่กับชายกันชนหน้าสีดำ ที่เพิ่มรายละเอียดมากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้
เขยิบมาทางด้านข้าง Subaru XV เติมความรู้สึกสปอร์ตมากขึ้น ตั้งแต่เส้นสายตัวถังที่ดูเหมือนมีความลาดเทของเสา A มากขึ้น ยังคงเหมือนเคยด้วยรายละเอียดชุดคิ้วเสริมแก้มซุ้มล้อ (Over Fender) สีดำ ทั้ง 4 ด้าน ที่ผมไม่ค่อยชอบใจนักคือเจ้ามือจับประตูสีเทา แม้มันจะดูตัดกับสีตัวรถ รับเข้ากับราวหลังคาทรงเตี้ยด้านบน หากมันกลับดูขัดๆ เมื่อยืนจ้องมองหลายครั้ง
ตัวรถมาพร้อมล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว หน้ากว้าง 7 นิ้ว ติดตั้งมาพร้อมยางขนาด 225/60/R17 ยังคงใช้ยาง Continental Max Contact MC 5 เป็นยางติดรถ ทั้งที่มียางรุ่น MC 6 ออกมาทำตลาดแล้ว
ทางด้านหลัง ซูบารุต้องการให้เส้นสายความแข็งแกร่งผงาดจับใจคนที่ขับตามซูบารุ XV ใหม่ ทางทีมงานออกแบบจึงปรับรายละเอียดไฟท้าย LED ใหม่ ให้ความคล้าย Subaru Outback มากขึ้น ตลอดจนยังใส่รายละเอียดความสปอร์ต ติดตั้งสปอร์ยเลอร์หลัง พร้อมชิ้นส่วนเสริมสปอร์ยเลอร์ลดอาการลมหมุนยามขับขี่
ในรุ่นนี้รายละเอียดกันชนดูไม่เน้นนัก ยังคงสไตล์ใกล้เคียงรุ่นเดิม ด้วยไฟทับทิมที่ปลายมุมล่างกันชนทั้ง 2 ด้าน โดยทางด้านขวา ติดตั้งไฟตัดหมอกหลังเพิ่มความสว่างมาให้ยามทัศนวิสัยแย่ ประตูบานท้ายมาพร้อมกระจกหลังขนาดใหญ่ขึ้น และยังคงความเรียบง่ายเปิดฝาท้ายด้วยมือเหมือนเคย
ภายใต้แนวทางการออกแบบที่กล่าวไปแล้ว ทางนาย มามูโระ กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้ภาพลักษณ์ของรถดูสปอร์ตจริงๆ การเลือกใช้สีกับตัวรถจึงมีความพิถีพิถันมากขึ้น นอกจากบรรดาสีปกติพิมพ์นิยมแล้ว (พวก ดำ, ขาว , เทา) ทางซูบารุยังแนะนำสีจี๊ดจ๊าดเข้ามาทำตลาดอีกด้วย อาทิสีส้มจี๊ด Sunshine Orange (สีรถทดสอบ) หรือ สีฟ้าพาสเทล Kool Grey Khaki ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น รวมถึงสีแดง Pure Red ที่มีในต่างประเทศ (แต่ยังไม่มาขายในประเทศไทย)
เปรียบเทียบกับ Subaru XV รุ่นเดิม … New Subaru XV ใหม่ ขยายร่างตอบโจทย์ในการใช้งานมากขึ้น ด้วยความยาวตัวถัง 4,65 มม. (+15 มม.) กว้าง 1,800 มม. (+20 ม.ม.) และสูง 1,615 มม. (รวมแร็คหลังคาแล้ว) ให้ระยะฐานล้อยาว 2,665 มม. (+ 30 มม. )
จัดการปรับระยะความกว้างระหว่างล้อคู่หน้า(Front Track) เป็น 1,550 มม. ความกว้างระยะห่างล้อคู่หลัง (Rear Track) ให้ความกว้าง 1,555 มม. ส่วนระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถยังคงไว้ดังเดิมที่ 220 มม. น้ำหนักเปล่าตัวรถในรุ่น 2.0 i-P อยู่ที่ 1,439 กก. (+39 กก.)
ภายในดีขึ้นใส่ใจรายละเอียด
รับกุญแจ Keyless ทรงสหกรณ์คล้ายใน Subaru Forester- Subaru Levorg จากน้องเบียร์ และคุณหญิง พีอาร์คนสวยของค่ายซูบารุที่ลงมาส่ง เราก็เพียงแตะประตูตรงที่เป็นขีดทำการปลดล็อคก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกันคุณสามารถใช้กุญแจพกติดตัวเอาไว้เปิดฝาท้ายทางด้านหลังได้ด้วย รวมถึงยังมีฟังชั่น Pin Code Access เผื่อคุณกลัวกุญแจรถหาย ก็เดินมาเคาะรหัสมอสที่รถก็เปิดได้สบาย
สำรวจด้วยสายตารอบๆ ก่อนก้าวขึ้นห้องโดยสาร เราจะเห็นรายละเอียดการออกแบบที่ใส่ใจมากขึ้น การเลือกใช้วัสดุและการออกแบบภายในมีคุณภาพสูงขึ้น รถดูมีความพรีเมี่ยมน่าใช้งานมากขึ้น โดยเฉพาะเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าตอบสนองด้วยลวดลายเบาะสปอร์ตเดินด้ายส้มทั้งคัน
ผมก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะฝั่งคนขับ มันดูกระชับมากขึ้นแคบกว่าเบาะของ Subaru XV รุ่นเดิม อาจจะเป็นปัญหาสำหรับคนตัวใหญ่ ที่อาจจะต้องปรับตัวให้ชินสักพัก ทางด้านฝั่งคนขับเอาใจสุดฤทธิ์ด้วยชุดเบาะนั่งปรับไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความสบายในการหาท่านั่ง แต่จากที่ลองขับหลายวัน ผมพบปัญหาว่า เบาะนั่งเจ้า XV หาท่านั่งที่เหมาะสมยาก ปรับแล้วปรับอีกทุกครั้งที่ขึ้นรถหรือระหว่างขับขี่ ส่วนฝั่งคนนั่งยังคงเป็นปรับด้วยมือธรรมดา เน้นความง่ายๆ
ตรงหน้าคนขับตอบด้วยพวงมาลัยมัลติฟังชั่น วงพวงมาลัยเล็กลงกว่า Subaru XV รุ่นเดิม เสริมความน่าสนใจในการใช้งามยามขับขี่ด้วย Paddle Shift หลังพวงมาลัย บนพวงมาลัยมีสวิทช์เครื่องเสียงทางด้านซ้าย พร้อมปุ่มปรับหน้าจอแสดงข้อมูล (ตรงกลางคอนโซลหน้า) ถัดลงมาซ่อนอยู่หลังพวงมาลัยด้านหน้าเป็นปุ่มปรับจอแสดงผลบนเรือนไมล์ ส่วนทางด้านขวาติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control มาให้
เหลือบมองหน้าปัดให้สไตล์ดูสปอร์ตทันสมัยขึ้น ยังเป็นไมล์เข็มดูไม่ต่างจากของเดิมเท่าไรนัก จอแสดงข้อมูลตรงกลางเป็นจอสีมาแล้วเรียบร้อย แสดงข้อมูลที่จำเป็นอาทิ อัตราประหยัดเฉลี่ย,ระยะเดินทางคงเหลือ,ความเร็วปัจจุบัน บนเรือนไมล์ให้ความเร็วสูงสุด 240 ก.ม./ช.ม. รอบเครื่องยนต์เร่งได้ถึง 6,200 รอบต่อนาที
ตรงกลางคอนโซลหน้าด้านบนเป็นที่อยู่ของชุดจอ Multi Function Display บอกรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่จำเป็นต้องใช้ในระหว่างการขับขี่ อาทิ เวลา-วันที่, ค่าความร้อนของน้ำมันเครื่อง, สถานะอุณหภูมิหม้อน้ำ และการใช้คันเร่งของผู้ขับขี่ในเวลานั้น , รวมถึงยังมีหน้าจอแสดงการทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และ มุมก้มหรือเงย ที่เรากำลังเดินทางบนเส้นทางในเวลานั้น (หน้าจอนี้จะเป็นหน้าจอปกติ เมื่อเปิดใช้ X Mode )
ถัดลงมาเป็นระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ใช้งานง่ายด้วยจอขนาดใหญ่ ยังคงมาจาก Ken Wood ในตัวเครื่องเสียงมีระบบนำทางมาให้เสร็จสรรพครบครันพร้อมใช้งานทันที
ตัวแผนที่เท่าที่ลองใช้งานค่อนข้างใช้งานง่าย และการแสดงแผนที่เป็นแบบ 3 มิติ บอกอาคารสำคัญต่างๆ ที่เป็นจุดสนใจที่สำคัญ เรื่องคุณภาพเสียงดีขึ้นจากรุ่นเดิมเล็กน้อย ยังคงเน้นเสียงโทนกลาง ด้วยลำโพง 6 จุดในห้องโดยสาร
สิ่งที่ผมรู้สึกว่าดูวุ่นวายสักหน่อยในเจ้าเครื่องเสียงตัวนี้ คือการเชื่อมต่อโทรศัพท์กับเครื่องเสียง ระหว่างที่นำรถมาทดลองขับขี่ ไม่เคยลองเชื่อมต่อโทรศัพท์สำเร็จได้สักครั้ง เท่าที่ลองมันเหมือนต้องโหลดโปรแกรมเพิ่มเติมที่ใช้ชื่อว่า Kenwood web Link เทียบกับเครื่องเสียงตัวอื่นที่เคยผ่านมือมา ที่ไม่ต้องโหลดโปรแกรมเพิ่ม ถือว่ามันแปลกกว่าชาวบ้านเขาสักหน่อย จึงอยากจะฝากการบ้านให้ทางซูบารุ อาจจะต้องบอกพนักงานขายสอนลูกค้าในการใช้งาน เพราะเท่าที่ลองดูหลายวันยังไม่สามารถเชื่อมต่อได้เลย
นอกจากนี้การเชื่อมต่อเครื่องเสียงผ่าน Bluetooth แล้ว ก็ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ Auxiliary In, USB รวมถึงสาย HDMI ซ่อนไว้ใต้ตรงกลางทางด้านล่าง ส่วนภาครับสัญญาณวิทยุ ก็ยังไม่ปรับปรุงดีขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม การรับสัญญาณบางครั้งจะมีคลื่นซ่า หรือคลื่นแทรกบ่อยครั้ง จนดูเหมือนเป็นโรคประจำตัวรถรุ่นนี้
ถัดลงมาจากเครื่องเสียงเป็นชุดปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ ในรุ่น 2.0 i-P สามารถปรับแยกโซน (Dual Zone) ซ้าย-ขวา ได้ตามต้องการ ผัวเมียจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันว่า “ฉันหนาวฉันร้อน” อีกต่อไป ในรุ่นใหม่ไม่เพียงแยกโซนได้เท่านั้น ซูบารุยังให้ตัวกรองฝุ่นช่วยให้สบายปอดยามเดินทาง แต่อย่าเข้าใจผิดว่ามันกรองกลิ่นที่ติดมากับอากาศได้นะครับ คนละเรื่องกัน …
ช่วงล่างคอนโซลกลางเป็นชุดคันเกียร์ออกแบบมาใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น เพิ่มวัสดุดำเงาที่ฐานเกียร์ดูลงตัวน่าใช่งาน ใกล้ๆกั นมีปุ่มตัวช่วยในการขับขี่ 2ปุ่ม ได้แก่ 1.ปุ่มระบบช่วยออกตัวทางลาดชัน ซึ่งไม่ได้ทำงานอัตโนมัติแล้ว ต้องกดเองจึงจะทำงาน และ 2.ปุ่มระบบ X Mode ผู้ช่วยขับในทางลุย และสุดท้ายขาดไม่ได้กับเจ้าระบบเบรกมือไฟฟ้า ช่วยให้ห้องโดยสารเรียบง่ายหรูดูดีขึ้น
และข่าวดีสำหรับสาวกคนใช้โทรศัพท์เป็นอาจินใ นบ็อกซ์คอนโซลกลางมีช่อง USB Charging กำลังไฟฟ้า 5V มาให้ได้ชาร์จกัน 2 ช่อง เท่าที่ลองใช้งานชาร์จไฟในระดับที่เร็วกว่าพาวแบงค์พอสมควร เป็นสิ่งเล็กๆ มีประโยชน์ในยุคโลกาภิวัฒน์ ช่อง USB ตรงนี้ใช้เพื่อชาร์จไฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันไม่ได้ต่อไปยังเครื่องเสียงติดรถ นะครับ..ก็อย่าแปลกใจถ้าเสียบแล้วเพลงไม่มา
ลงรถมาดูทางด้านหลังบ้าง ที่นั่งตอนหลัง Subaru XV ใหม่ มีความกว้างขึ้นกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย (ตามข้อมูลของทางซูบารุ พื้นที่วางขาเพิ่มขึ้น 26 มม.)ด้วยอานิสงค์ของการยืดระยะฐานล้ออกไป 30 มม. ช่วยให้ระยะวางขาดีขึ้น ท่านั่งจัดว่าอยู่ในท่าที่สบาย ตัวเบาะมีพนักเท้าแขนตรงกลางมาให้พร้อมที่วางแก้วน้ำ แต่ก็ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรให้ผู้โดยสารตอนหลังได้ใช้งานนัก ไม่มีกระทั่งช่องแอร์หรือช่องชาร์จไฟฟ้า USB มาให้ทั้งที่ก็น่าจะเป็นต้นทุนไม่กี่บาทเท่านั้น
ตัวเบาะนั่งตอนหลังนอกจากจะนั่งได้สบายแล้ว ยังสามารถปรับพับได้ในอัตรา 60/40 เพิ่มพื้นที่สัมภาระท้ายถ้าต้องการ ในกรณีคุณมีผู้โดยสารเต็มคันรถ ห้องสัมภาระท้ายของ Subaru XV ใหม่ ก็ยังจุมากกว่ารุ่นเดิมอีกเล็กน้อย ด้วยความกว้างห้องสัมภาระท้ายเพิ่มขึ้นอีก 100 มม. หรือ 10 ซ.ม. ขจัดปัญหา การจุรถเข็นเด็กหรือถังคูลเลอร์ขนาดใหญ่ใส่รถ และสำหรับคนเล่นกอล์ฟ นาย โมมูระ เผยว่า Subaru XV สามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ 3 ใบ โดยไม่บังทัศนวิสัยในการขับขี่ทางด้านหลัง
ลองในเมือง …. เติมเต็มความใช่
ได้เวลาพาน้องใหม่ไปท่องโลก ผมสตาร์ทกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ใต้เรือนร่างเจ้า Subaru XV ใหม่ นี้ยังคงใช้เครื่องยนต์ Boxer 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร หากมีการปรับปรุงใหม่หลายอย่าง จนกว่า 80% ของเครื่องยนต์ตัวนี้เป็นชิ้นส่วนใหม่ มันมีกำลังอัดเพิ่มขึ้นเป็น 12.5 :1 จาก 10.5:1 รวมถึงยังติดตั้งระบบจ่ายน้ำมันแบบฉีดตรงหรือ Direct Injection ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า สูงสุดที่ 6,200 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตร สูงสุด ที่ 4,000 รอบต่อนาที เปรียบเทียบกับ Subaru XV รุ่นเดิม มันมีกำลังเพิ่มขึ้น 6 แรงม้า ส่วนแรงบิดให้เท่าเดิมเพียงแต่มาไวขึ้นเล็กน้อย (รุ่นเดิม 196 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที)
ระบบเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT ปรับการตอบสนองให้เร้าอารมณ์ในการถ่ายทอดกำลังมากขึ้น ด้วยอัตราทดเกียร์ในโหมด D 3.600-0.512 ถ่ายทอดลงเฟืองท้าย 3.900 (รุ่นเดิม เกียร์ D 3.581 -0.570 ลงเฟืองท้าย 3.700) เพิ่มความจัดจ้านในการใช้งานมากขึ้น แถมรุ่นใหม่ยังเปลี่ยนเกียร์เองก็มีให้ถึง 7 อัตราทดตามต้องการเปลี่ยนกันจนหนำใจ
ออกสตาร์ทรับน้องวันแรก บททดสอบสำคัญ… การขับขี่ในเมือง
อันที่จริงตั้งแต่ผมไปลองรถที่ไต้หวัน ทางซูบารุดูจะให้โจทย์สำคัญกับการขับขี่ในเมืองมากเป็นพิเศษ เนื่องจากโจทย์ความต้องการเป็นรถที่ใช้งานในเมืองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนมองหารถ Compact SUV และรุ่นเดิมก็มีอุปสรรคมากมาย ทั้งพวงมาลัยหนัก แถม อัตราประหยัด ที่ยังไม่สู้ดีนัก นี่ยังไม่นับช่วงล่างตึงตังในการขับขี่ ในแนวสปอร์ตจ๋าๆ ของซูบารุ
ผมกวาดพวงมาลัยออกจากซูบารุขับไปตามเส้นทางถนนลาดพร้าว สัมผัสแรกบอกถึงความสบายในการขับขี่มากขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ทางซุบารุจัดการเปลี่ยนระบบบังคับเลี้ยวให้ Subaru XV จากระบบไฮดรอลิกดั้งเดิมมาเป็นระบบพวงมาลัยไฟฟ้า
การให้พวงมาลัยไฟฟ้า (ผมขอเรียกสั้นๆ แล้วกัน) ช่วยให้ตัวพวงมาลัยมีน้ำหนักเบาขึ้นชัดเจน คุณควงพวงมาลัยง่ายขึ้นยามขับขี่ โดยเฉพาะการเดินทางช่วงความเร็วต่ำเห็นผลชัดเจนมาก หรือในยามต้องเปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงควงเจ้า XV ใหม่เข้าที่จอดรถ มันขับสบายมากขึ้น ลดภาระความกังวล โดยเฉพาะสาวๆ ที่เคยชอบ XV ไปลองขับแล้วรู้สึกพวงมาลัยหนักไป มาลองรุ่นใหม่รับรองว่า มีซื้อแน่นอน
ความสามารถในเรื่องความคล่องตัวไม่ต่างจากรถขนาดเล็ก ผมมองว่าเป็นจุดดี โดยเฉพาะเมื่อมองว่ารถอเนกประสงค์ระดับนี้จะเป็นรถคันที่ 2 หรือไม่ ก็ 3 หลังจากลูกค้าผ่านมือรถยนต์นั่งขนาดเล็กมา ก็ช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องปรับตัวเยอะ ลดความกังวลเรื่องขนาดตัวรถ
แถมยังมีตัวช่วยในการขับขี่เพิ่มเสริมขึ้นมาตั้งแต่แรก อาทิระบบกล้องมองหลัง พร้อมเซ็นเซอร์ถอยหลังมาให้ใช้งานพร้อมกัน บางคนคงนึกตลกว่า ทำไมค่ายนี้ให้มาทั้งกล้องทั้งเซ็นเซอร์เลย ทีแรกผมก็แปลกใจ แต่พอขับใช้งานก็เริ่มหายแปลกใจ
มุมมองกล้องเจ้า Subaru XV ค่อนข้างมองลำบาก พวกเขาให้กล้องมุมโค้งไม่สามารถปรับระดับมุมมองได้ นี่ผมยังไม่นับความละเอียดภาพที่ดูแล้วดรอปกว่ารุ่นเดิม จนต้องใช้การฟังเสียงสัญญาณกะระยะถอยหลังร่วมด้วย จึงจะลงตัวใช้งานได้สะดวกโยธิน แต่ก็ยังสมควรดูกระจกมองข้างร่วมด้วยนะครับ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ทางด้านการประหยัดน้ำมันรุ่นใหม่ทำได้ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ส่วนหนึ่งด้วยการปรับอัตราทดเปลี่ยนแปลงชุดเกียร์และการปรับปรุงบล็อกเครื่องยนต์มาเป็นการจ่ายน้ำมันแบบ direct Injection แล้ว หากด้วยการพัฒนาเชิงโครงสร้างใหม่ ทำให้ Subaru XV มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 39 กก. เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม รถใหญ่ขึ้นกว้างขึ้นนั่งสบายขึ้น แล้วก็หนักขึ้นด้วย
จากที่ขับในเมืองท่ามกลางการจราจรติดขัดจริงๆ (ติดแบบไม่ขยับ จนลงมาเดินถ่ายรูปได้) ผมทำการเติมน้ำมันคืนถังเพื่อวัดอัตราประหยัดพบว่า Subaru XV ทำอัตราประหยัดได้เพียง 9.71 ก.ม./ลิตร ซดน้อยกว่ารุ่นเดิมที่เคยเจอสถานการณ์เดียวกัน อาจจะต้องปาดเหงื่อที่ตัวเลข 7-8 ก.ม./ลิตร มันประหยัดขึ้น แม้นอาจจะไม่มาก แต่ก็พอจะทำให้สบายใจเรื่องค่าน้ำมันมากขึ้น
ขับนอกเมืองมั่นใจ พร้อมลุยทุกทาง
ตั้งแต่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ขับ Subaru XV ผมคุยกับเพื่อนสมาชิกทีมงาน Ridebuster ว่า เราน่าจะจัดทริปพิเศษกันสักหน่อย
คุณอาจจะแปลกใจที่ ทีมงาน Ridebuster อย่างน้อย 2 คน ใช้รถ Subaru XV ด้วยความบังเอิญ คนหนึ่งคือผมเอง ส่วนอีกคนยังขอปิดเป็นความลับกันอยู่ พวกเราตื่นเต้นมาก ราวกับเป็นรุ่นพี่ตื่นตเน้ที่จะมีน้องใหม่เข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัย
เส้นทางที่เราวางเป็นเส้นทางที่ทุกคนรู้จักกันดี เรานัดแนะกันว่า เราจะไปตะลุยอำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี และเหมือนเป็นความบังเอิญผมเปิดดูการทดสอบ Subaru XV รุ่นปี 2014 ผมก็ขับรถไปยังทดสอบที่จังหวัดสวนผึ้งด้วยเช่นกัน
หลังจากเติมน้ำมันเต็มเรียบร้อย ผมและทีมงานเริ่มออกเดินทางกันทันที โดยใช้เส้นทางฝั่งถนนพุทธมณฑลตัดออกทาง ถนนเพชรเกษมแล้วดิ่งไปจังหวัดราชบุรี
เส้นทางด้านนี้เป็นเส้นทางที่ใช้ความเร็วได้ค่อนข้างมาก ผมสังเกตบนหน้าปัดที่ความเร็ว 120 ก.ม./ช.ม. เราใช้ความเร็วอยู่ที่ 2,100 รอบต่อนาที ไม่ต่างจากรุ่นเดิมเลย
ระหว่างทาง Subaru XV ใหม่ เริ่มโชว์ความเหนือชั้นในการขับขี่ด้วยระบบช่วงล่างแม็คเฟอร์สันสตรัททางด้านหน้า และด้านหลังเป็นแบบ Double Wishbone อาจไม่ต่างจากการเซทอัพในรุ่นก่อนนัก หากด้วยโครงสร้างใหม่ที่มีความแข็งแรงมากขึ้น ซูบารุจึงสามารถลดความแข็งของชุดโช๊คได้ในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ซุบารุ XV ขับนิ่มนวลขึ้นอย่างชัดเจน
ยิ่งถ้าคุณขับรุ่นเดิมแล้วมาขับรุ่นใหม่ กล้าพูดว่า คุณจะรักรุ่นใหม่ทันที มันขับสบายนิ่วนวลคนข้างๆ หลับน้ำลายยืดได้ไร้กังวล แต่กับชายชาตรีคนหนุ่มมาดแมนผู้รักหลงใหลเรื่องความเร็ว อาจจะรู้สึกว่ามันดูไม่ใช้ซูบารุที่ควรจะมีความดิบความห่ามหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่ใช้ดูจะสุภาพชนจนบางอารมณ์นึกเหมือนกันว่านี่ขับรถยุโรปอยู่หรือเปล่า
ด้วยโครงสร้างตัวถังที่แข็งแรงมากขึ้น ทำให้ช่วงล่างตอบสนองดีขึ้น มันยืดและยุบเร็วขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะคอสะพาน หรือผ่านถนนขุรขระ พวกรอยปะถนนงานมักง่ายผู้รับเหมาทำได้ดีขึ้น ถ้าให้เทียบกับบรรดารถใหม่ๆ ที่ผ่านมือมา ผมว่ามันแข็งกว่า CR-V ตัวเบนซินเล็กน้อย และขับมั่นใจกว่า แถมยังไม่กระด้างเท่าตัวดีเซล เผินๆ จะนิ่มกว่า Mazda CX-5 ตัวเบนซินด้วยซ้ำ
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปคือการเก็บเสียงภายในห้องโดยสาร มันอาจเงียบขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่กับเสียงลมตามขอบประตูยามขับด้วยความเร็วในระหว่างการเดินทาง ยังคงไม่ต่างจากรุ่นเดิม
ความนุ่มสบายนี่เอง ทำให้ผมเริ่มนึกขึ้นได้ว่าซูบารุมีรถแบบนี้อยู่คัน มันอาจจะไม่ได้รับความนิยมมากมายในไทยนัก หากกลับเป็นรถที่ชื่นชอบทางฝั่งอเมริกา Subaru Outback พี่ชายสายอเนกประสงค์ สายตรงเรื่องการขับสุภาพไม่ดูห้าวจนเกินไป
ผมกำลังนึกถึงการออกแบบหน้าตา วิถีที่เปลี่ยนไป มันช่างละม้ายเป็น Outback ย่อส่วนเหมาะขับในเมืองมากขึ้น หรือนี่อาจจะเป็นความคิดของทางซูบารุจริงๆ ที่ต้องการตอบโจทย์ลูกค้า ส่วนเรื่องความประหยัดขับถึงห้วยคอกหมู เราทำอัตราประหยัดได้ 12.64 ก.ม./ลิตร
ลองลุย “ห้วยคอกหมู” …. สมบุกสมบันไม่มาก แต่บอกได้
หลังจากถึงสวนผึ้ง เราตัดสินใจกันว่า เราจะต้องเอาเจ้าน้องเล็กไปลุยกันให้ได้ ที่สวนผึ้งเป็นแหล่งเที่ยวสายลุย ที่รู้จักกันมีหลายจุด อย่างจะเอาโหดหน่อยก็คงเขากระโจม แต่ด้วยการต้องขับผ่านแอ่งน้ำ เราจึงลงมติเป็นเอกฉันฑ์ว่า “ห้วยคอกหมู” น่าจะเป็นปลายทางที่เหมาะสมกว่า
เส้นทางขึ้นห้วยคอกหมูมีความคล้ายคลึงกับเขากระโจมในหลายๆ ส่วน มันเปี่ยมด้วยทราย หิน และทางลาดชัน รวมถึงร่องน้ำที่เกิดจากสภาพฝนตกในช่วงฤดูฝน นับเป็นสถานที่ทดสอบรถ ยามต้องลุยได้ดีเลยทีเดียว
อย่างที่เราได้บอกเพื่อนๆ ไปแล้ว Subaru XV ใหม่ ได้ติดตั้งระบบช่วยขับขี่ในทางลุยที่เรียกว่า “X Mode” เข้ามา เพิ่มความสามารถยามต้องเข้าป่าเข้าดง โหมดนี้สามารถขับไปกดไปได้ทันที โดยจะทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 40 ก.ม./ช.ม. เมื่อกดปุ่มลงไปแล้วระบบจะทำการปรับความสามารถ 5 ประการด้วยกัน ได้แก่
1.ลิ้นเร่ง มีการปรับให้รอบเร่งเตรียมพร้อมต่อการตอบสนองมากขึ้น จากที่ขับ รอบจะพยายามอยู่ที่ 2,000 รอบต่อนาที เพื่อไม่ให้ต่ำเกินไป จนต้องเหยียบคันเร่งมากเป็นพิเศษ
2.ระบบเกียร์ จะหน่วงเกียร์ต่ำเอาไว้เพื่อพร้อมสำหรับการเร่งเครื่องเมื่อผู้ขับขี่ต้องการ
3.เปิดการทำงานระบบ Hill Decent Control ระบบช่วยควบคุมความเร็วบนทางลาดชันจะทำงานอัตโนมัติในโหมดนี้เมื่อพบว่า รถอยู่ในมุมก้มมากกว่า -1 องศา ระบบจะเบรกให้ทันที ที่คุณต้องทำก็แต่ถือพวงมาลัยให้มัน ดูไลน์ที่จะไปให้แม่น
4.ระบบ VDC (Vehicle Dynamic Control) จะเซนซิทีฟต่อการลื่นไถลมากขึ้น ถ้าพบอาการล้อหมุนฟรีเกิดขึ้นระบบจะทำการจับเบรกล้อข้างที่ฟรีเพื่อส่งกำลังไปยังล้ออีกด้าน แทบจะทันทีที่เกิดการลื่นไถล แต่เราพบว่าถ้าคุณเกิดติดหล่มแล้วถอยหลังหนีระบบจะตอบสนองได้ไม่ดีเท่าขับเดินหน้า
5.ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ จะเปลี่ยนการส่งกำลังจาก 60/40 ระหว่างหน้าและหลัง เป็นในแบบ 50/50 หรือเท่ากันทั้ง 4 ล้อ มันช่วยเพิ่มความสามารถในการไต่หรือฝ่าอุปสรรคได้ดีขึ้น
ในเวลานี้ปลายทางห้วยคอกหมูอยู่ไม่ไกล ผมเจอเนินชันแล้วมีอันต้องเบรกเพื่อเล็งทางที่เหมาะสมปรากฏว่า รถไหลเล็กน้อย ผมเอะใจกับการทำงานระบบควบคุมการออกตัวทางลาดชันมาพักใหญ่ แล้วค้นพบว่าในงวดนี้ ระบบ Hill Start Assisted ต้องเปิดการใช้งานด้วยตัวเอง มันไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ เหมือนในรุ่นก่อน และแม้จะเข้าสู่ X Mode ระบบนี้ก็ไม่ได้ทำงานอัตโนมัติอีกด้วย
ช่วงระหว่างทางที่ผ่านทางขุรขระ Subaru XV ใหม่ โชว์ความดีงามเรื่องช่วงล่างที่ไม่มีอาการตึงตังแบบรุ่นเดิม เรารู้สึกว่ามันนั่งสบายมากขึ้นจริงๆ ในเส้นทางแบบนี้ คุณไม่ต้องหวั่นเลยว่า ขับแล้วคนนั่งจะบ่นว่า พามาลำบาก พวกเขาจะนั่งสบายและเพลิดเพลินไปกับการขับลุยของคุณ รวมถึงความนิ่งของตัวรถยังทำให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ถ้าจำเป็นปีนป่ายฝ่าอุปสรรค แบบสมบุกสมบันจริง ก็สามารถใช้จุดเด่นข้อนี้ผ่านมันไปได้
ผมยังจำได้ตอนไปขับในสนามที่ไต้หวัน ทีมครูฝึกให้ลองขับรถแล้วจอดบนเนินเอียงประมาณ 30 องศา เจ้า Subaru XV ทำได้หน้าตาเฉย นิ่งสนิท และไม่มีอาการจะลื่นไถลให้เห็น รวมถึงทางซูบารุยังเปิดเผยว่ามีการเพิ่มมุมไต่ และมุมจาก ให้เจ้าน้องใหม่คันนี้ด้วย
จากที่ลองเอาทั้งรถรุ่นใหม่และรุ่นเก่าขับในเส้นทางเดียวกัน (ห้วยคอกหมู) ในบางจังหวะที่ต้องลงหลุมลึก หรือทางเนินชันพอตัว รถรุ่นเก่าอาจจะมีการครูดท้องกันชนหน้าอยู่บ้างเล็กน้อย ทว่ารุ่นใหม่กลับผ่านได้ฉลุย ลุยสบายๆ ไร้ปัญหาน่ารำคาญใจ
สรุป …. 2018 Subaru XV 2.0 i-P สุภาพ ครบฟังชั่น ราคาคุ้ม ….
การซื้อรถยนต์สักคันอาจจะมีโจทย์แตกต่างกันออกไป สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์สักคัน ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่า คนซื้อรถกลุ่มนี้จะมองหาความสบายในการโดยสาร ความคุ้มค่าที่ได้จากรถเหนือกว่าสมรรถนะในการขับขี่ มันเป็นรถที่เกิดขึ้นเพื่อสนองทุกความต้องการของการใช้ชีวิต และสำคัญมากกับคนที่ต้องการเริ่มคำว่า “ครอบครัว” กับใครสักคน
Subaru ตีโจทย์พวกนี้แตกละเอียด รถคันนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นรถอีกคันที่คุณต้องการซื้อหา แต่ทางค่ายดาวลูกไก่ ต้องการให้มันเป็นรถที่ประทับใจเมื่อได้ขับขี่ ผมอาจไม่เก่งภาษาญี่ปุ่นนัก แต่ยังจำได้ที่นาย โมมูระ กล่าวในวันเปิดตัวที่ไต้หวันว่า “เราต้องการให้ผู้ที่ได้ใช้รถซูบารุอยู่กับเราตลอดไป อยากขับมันเรื่อย อย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะสนุกกับการใช้ชีวิตได้ไม่จำกัด ตามต้องการ”
หลังจากขับ Subaru XV ใหม่ ผมเข้าใจโจทย์ของทีมออกแบบและทีมวิศวกรของซูบารุอย่างถ่องแท้ทุกอย่างที่พวกเขาต้องการนำเสนอ โดยเฉพาะโจทย์ Enjoyment & Peace Of Mind
เจ้า XV ใหม่ เป็นรถที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่มากขึ้น วางใจในการขับขี่ได้มากขึ้นในทุกแง่ของการใช้งาน ไม่ว่าจะขับบนถนน คุณก็สบายใจว่า มันควบคุมได้ดั่งใจทุกสภาวะการณ์ พร้อมลุยด้วยระบบ X Mode และ มั่นใจได้เสมอในแง่การปกป้องยามภัยมา ทั้งจากตัวโครงสร้างของตัวรถที่ออกแบบใหม่มีความมั่นคงแข็งแรงซับแรงกระแทกได้ดี
รวมถึงอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ครบเครื่อง ไม่ว่าจะถุงลมนิรภัย 7 ลูกทั้งคัน , ระบบควบคุมการทรงตัว , ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ไปจนถึงระบบเตือนให้รัดเข็มขัด จะขาดก็เพียงพวก Active Safety ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันที่ต้องมาทั้งแพ็คเกจ Subaru Eyesight ผมหวังว่าจะเห็นมันในประเทศไทย และในรถ Subaru XV ใหม่ในอนาคตอันใกล้ด้วย
หลายคนอาจจะมองแบรนด์ Subaru ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็นแบรนด์รถสปอร์ตมาโดยตลอด แต่อีกภาพของการสร้างรถสมรรถนะดี ซูบารุบอกกับผมว่า มันคือความปลอดภัย … มั่นใจได้ในการขับขี่
ตอนแรกที่ได้ฟังตอนไปสิงคโปร ผมก็ว่ามันประหลาดที่พวกเขาคิดว่าจะเปลี่ยนภาพแบรนด์รถแรงมาสู่การเป็นรถเพื่อความปลอดภัย แบบวอลโว่หรือ?? ใครก็จำซูบารุอิมพรีซ่าได้ในฐานะรถยนต์สายแรงของคอความเร็วรักการขับขี่ตัวจริง มันจะเป็นไปได้อย่างไร ผมคิดมาโดยตลอด
จนกระทั่งขับเข้า Subaru XV ผมเข้าใจแล้วว่าพวกเขาต้องการทำอะไร ..
ซูบารุต้องการสร้างรถที่ขับได้อย่างมั่นใจ ขับสนุกมีดีเอ็นเอความสปอร์ตเคียงข้าง และพร้อมใช้ชีวิตไปกับเรา ในทั้งยามทุกข์และยามสุข มีบางคนเคยบอกผมว่า การซื้อรถก็ไม่ต่างจากการแต่งงาน สักเท่าไร บางทีดูเหมือนใช่ พอใช้งานจริงอาจไม่ใช่ ก็เจอออกจะบ่อยครั้ง
สำหรับ Subaru XV ใหม่ เทียบกับเจ้าน้องส้ม 2014 Subaru XV รุ่นก่อนหน้าคันที่บ้าน ราวกับเป็นรถคนละรุ่น มันสปอร์ตภายนอก แต่ขับสบาย พร้อมลุย พื้นที่กว้างขวาง ครบฟังชั่นพร้อมใช้งาน ดุจปานเทพบุตรที่พร้อมรองรับอารมณ์คุณทุกอย่างที่ต้องการ ตามใจทุกลีลาที่อยากจะขับขี่
ถึงแม้ผมจะชอบหลายสิ่งหลายอย่างในรถคันนี้ จนเดือนถึงกับออกปากว่า น่าจะซื้อรุ่นใหม่แทนน้องส้ม ส่วนตัวผมกับยังคงยืนยันคำตอบว่า ชอบ Subaru XV รุ่นเดิมมากว่า ด้วยเหตุผลว่า
ประการแรก รถรุ่นเดิมยังมีความดิบในตัวพอสมควร มันมาพร้อมช่วงล่างแข็งเกือบติดกระด้าง ทำให้รู้สึกถึงความั่นใจในการขับขี่ (ในแง่ความรู้สึก) มากกว่า ยิ่งคนใช้ซูบารุส่วนใหญ่ รวมถึงกระผมเองก็เป็นพวกบาทาโหด เมื่อขับรุ่นใหม่ที่สุภาพชน ช่วงล่างตึงตังน้อยลง จะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ ยิ่งในยามใช้ความเร็วสูง หรือเข้าโค้งต่อเนื่อง จากที่ขับผมรู้สึกว่าตัวเก่าดูมั่นใจกว่า
ประการต่อมา ด้วยการเซทช่วงล่างให้นิ่มลง ผมค้นพบว่าในบางจังหวะ อาทิ การขับเข้าโค้งแคบด้วยความเร็ว หรือ ขับเจอสะพานที่มีความต่างระดับ แล้วต้องเลี้ยวโค้งต่อเนื่อง (พบมากตามต่างจังหวัด) รถจะมีอาการท้ายเป๋เล็กๆ (แต่ยังสามารถควบคุมได้ โดยไม่ต้องแก้พวงมาลัย) สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีทักษะการขับขี่อาจมีเหวอกันบ้าง ยังดีที่มีพวงมาลัยไฟฟ้า และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ช่วยให้ควบคุมได้สบายมาก
นอกจากที่กล่าวไปแล้วในแง่อัตราเร่งของตัวรถก็กลับลดลง ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นกว้างขึ้น และมีระยะฐานล้อยาวขึ้น รวมถึงเหล็กโครงสร้างหลักที่ความแข็งแรงขึ้นใช้เหล็กประเภท High Tensile และ Ultra High Tensile มากขึ้น ต้องแลกกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 39 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมที่มีน้ำหนักเพียง 1,400 กิโลกรัม
แม้ว่าจะมีข่าวดีที่แรงม้าเพิ่มขึ้น จากระบบจ่ายน้ำมัน Direct injection แต่ประเด็นการพัฒนาเครื่องยนต์บล็อกนี้มีส่วนสำคัญในการลดการปล่อยไอเสียเผาไหม้สมบูรณ์มากขึ้น จาก 187 กรัม/กิโลเมตร ลดลงเหลือเพียง 162 กรัมต่อกิโลเมตร แถมแรงบิดยังไม่เพิ่มขึ้น แม้นแรงม้าจะเพิ่มขึ้นตาม
ทำให้เมื่อทดสอบอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. เราทำเวลาเฉลี่ยได้เพียง 12.00 วินาที เท่านั้น และอัตราเร่ง80-120 ก.ม./ช.ม. ทำอัตราเร่งได้เพียง 8.0 วินาที แรงม้าที่เพิ่มขึ้นทำให้ความเร็วสูงสุดบนทางราบในระยะทางตรงยาว 3.5 กิโลเมตร ทำได้เพียง 196 ก.ม./ช.ม. กลายเป็นสิ่งเดียวที่มากกว่ารุ่นเก่า (รุ่นเก่าทำได้ 190 ก.ม./ชม.) เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม ผมพบว่ารุ่นใหม่มีอัตราเร่งช้ากว่า 1 วินาที ส่วน 80-120 ก.ม./ช.ม. มีค่าเฉลี่ยช้ากว่า 0.67 วินาที จากการทดสอบของเราด้วย จีพีเอส
แต่ก็อย่างที่ผมบอกคุณว่า คนซื้อรถอเนกประสงค์ไม่ได้มาออกตัว 0-100 ทุกวัน หรือทุกครั้งที่ติดไฟแดงแล้วหันไปมองคันข้างๆ แล้วคิดว่า ฉันจะสวมบทนักซิ่งเจ้าถนน รถอเนกประสงค์เกิดขึ้นเพื่อใช้งานทั่วไป ซึ่งกับตัวเลข 12 วินาที ไม่ได้ขี้เหร่ แม้จะช้ากว่ารุ่นเก่าเล็กน้อยก็ตามที …ไม่ใช่สิ่งที่ควรคิดมาก
ผมขับรถไปคืนซูบารุ พร้อมคำตอบของ Subaru XV ตัวใหม่ มันเป็นรถที่เกิดขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการขับรถในเมืองมากขึ้น รถขับง่ายและโดยสารสบาย มีพื้นที่สัมภาระเพิ่มขึ้น และประหยัดมากขึ้นเล็กน้อย
ผมรู้ว่าซูบารุต้องการตอบอะไรในรถคันนี้ พวกเขาเล็งไปที่การซื้อรถอเนกประสงค์จริงๆ มากขึ้น ครอบครัวเดี่ยวยุคใหม่ ที่การซื้อรถจะตัดสินใจโดยคน 2 คน เสมอ
ในนามซูบารุเป็นชื่อที่ท่านชายไม่ว่าใครได้ใช้ ก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ขับขี่ รถซูบารุไม่ใช่รถที่ทุกคนซื้อ แต่เมื่อคนซื้อแล้วจะรักในรถของพวกเขา มันเป็นแบรนด์ที่ผู้ชายมั่นใจอยู่เป็นทุนเดิม ทว่าที่ผ่านมาซูบารุ ไม่เคยตีไข่แตกเรียกผู้หญิงมาซื้อรถได้สำเร็จจริงๆ คนซื้อซูบารุส่วนใหญ่เป็นผู้ชายหรือไม่ก็สาวห้าว … อะไรเป็นสิ่งที่จะจูงใจผู้หญิงได้ดี
คำตอบนั้นง่ายมาก ..การออกแบบ และความสะดวกสบายในการขับขี่ และทั้ง 2 สิ่งเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากรถรุ่นนี้ จนผมกล้าพูดว่า ถ้าคุณผู้ชายเถียงแฟนเรื่องการซื้อรถ Subaru XV ไม่ชนะ พาคุณเธอเดินเข้าโชว์รูมไปทดลองขับเลยครับ กล้ารับประกันว่า คุณได้ยิ้มกลับออกมาพร้อมใบจองในมือ อย่างแน่นอน
Subaru XV ใหม่ในวันนี้ เปลี่ยนไปสู่อีกตัวตนบนเส้นทางใหม่ที่ทางซูบารุเอาไว้อย่างชัดเจน มันจะเป็นรถอเนกประสงค์คนเมืองที่ขับสบาย มั่นใจ ดีไซน์สวย และครบครันฟังชั่นในการใช้งาน เมื่อดูราคาจำหน่ายในรุ่น 2.0 i-P สนนราคาที่ 1.259 ล้านบาท เทียบกับฟังชั่นทั้งหมดที่ได้มา และหลังจากทดลองขับ มันคุ้มค่ามากกว่ารุ่นเดิม
ผมมอง Subaru XV ก่อนส่งกุญแจคืนซูบารุ แล้วคิดว่า นี่คือซูบารุยุคใหม่ ที่จะล้ำไปอีกขั้น จนกลายเป็นรถที่คุณจะรัก ขอเพียงมีโอกาสสัมผัส จะไม่มีทางไม่เลือกมัน ถ้าคุณพร้อมจะซื้อรถในราคาขนาดนี้จริงๆ
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง นักทดสอบรถยนต์ และ คอลัมนิสต์ เว็บไซต์ Ridebuster.com ติดตามผลงานการเขียน และข้อมูลที่น่าสนใจได้ทาง Facebook
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com
[ngg_images source=”galleries” container_ids=”464″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”1″ thumbnail_width=”200″ thumbnail_height=”160″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”20″ number_of_columns=”3″ ajax_pagination=”1″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”0″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”sortorder” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]