ถ้าวันหนึ่งคุณเกิดมีความจำเป็นจำต้องซื้อรถยนต์สักคันมาใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยความจำเป็นอะไรบางอย่างเคยถามตัวเองไหมครับ ว่าคุณจะเลือกซื้อรถยนต์แบบไหน
โจทย์การซื้อรถยนต์แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเอาที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะหน้าตา และหรือสมรรถนะในการขับขี่ แต่หลายครั้งสำหรับคนที่มองหารถด่วยความจำเป็น และเม็ดเงินไม่มาก คำว่า “ความคุ้มค่า” จึงบังเกิดขึ้น ในการควาญหาฟังชั่นครบครัน ออพชั่นครบเครื่อง ความปลอดภัยก็ยังต้องสำคัญ และทั้งหมดที่ผมพูดมา ก็ยังต้องมาในราคาไม่แพง
คุณคงสงสัยว่า รถแบบนี้มีจริงด้วยหรือ ??
ตั้งแต่ Nissan ก้าวเข้ามาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวในปี 2010 สร้างตลาดรถยนต์อีโค่คาร์ให้เป็นที่ประจักษ์ แก่คนในวงการรถยนต์ว่า รถ “อีโค่คาร์” ที่รัฐบาลใฝ่ฝันมายาวนานสามารถเป็นจริงได้และไม่ไกลเกินเอื้อม
ตลอดการเป็นผู้นำตลาดทำให้ นิสสันเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย ว่า รถยนต์นั่งขนาดเล็กเป็นที่ต้องการของคนไทย แต่ก็ต้องมาพร้อมออพชั่นความคุ้มค่า จนกระทั่งตลาดเริ่มเติบโต คู่แข่งที่เข้ามามากมายกว่าเดิม ทำให้ช่องว่างเริ่มน้อยลงทุกที รถอีโค่คาร์ในวันนี้ ยังขาดอะไรบางอย่าง ที่เป็นจุดด้อยอีกมาก และนิสสัน รู้ดีว่า พวกเขามีของดีในตลาด … ที่จะนำพาชัยชนะมาอีกคราว
Nissan Note ถือเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของโครงการรถยนต์อีโค่คาร์ ระยะที่ 1 ที่ทำให้หลายคนต้องกลับมาจับตามองนิสสัน หลังจากที่ห่างหายไปยาวนาน และปีที่ผ่านมา ก็ผลาญงบไปกับการพยายามปลุกปั้น Nismo ให้ประจักษ์ในสังคมไทย แต่ความจริงแล้วสิ่งที่นิสสัน ถนัดมากที่สุดในตลาดบ้านเรา มี 2 อย่างคือ 1. รถกระบะ และ 2.รถอีโค่คาร์ ในปีนี้ นิสสัน จึงทำการบ้านมาเป็นอย่างดี และเปิดตัวรถยนต์ Nissan Note วางขายในไทยอย่างเป็นทางการ
รถยนต์ Nissan Note อาจไม่ใช่รถที่คนไทยรู้จักมาก่อน แต่มันเป็นรถยนต์ที่สร้างชื่อให้นิสสัน มาตลอดระยะเวลา 12 ปี ตั้งแต่เริ่มเปิดตัววางจำหน่ายรุ่นแรก ในช่วงปี 2005 เมื่อ นิสสัน เล็งเห็นว่า ตลาดรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ประเภทแวนขนาดเล็ก มีความต้องการอยู่ในตลาดยุโรป ทางบริษัทจึงจับเอาส่วนผสมของ Nissan B Platform มาเขย่าเป่าเสกเข้าการออกแบบทันสมัยในตัวตน จับเอาเส้นสายของ Nissan Tida มากวดเข้ากับการออกแบบตัวรถแบบ ของ Nissan Murano จนคลอดออกมาเป็น Nissan Note รถยนต์นั่งอเนกกระสงค์ 5 ประตูขนาดเล็กที่เปี่ยมด้วยความทันสมัยฟังชั่นครบครัน จนกลายเป็นรถยอดนิยมทางฝั่งยุโรป ชื่นชอบมากในญี่ปุ่น
ด้วยความต้องการของตลาดที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Nissan สร้างรถยนต์ Nissan Note โฉมที่ 2 ออกมาวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2012 และก็เหมือนเคยมันเป็นรถที่ได้รับการตอบรับดีในต่างประเทศ จนมีทั้งเวอร์ชั่นแรง Nismo มีรุ่นเครื่องยนต์หลากหลายจนท้ายที่สุด มีกระทั่ง เวอร์ชั่นไฮบริดที่เรียกว่า “E-power” ด้วยซ้ำ
ความน่าสนใจของตัวรถที่มีขนาดใหญ่พอสมควร บวกกับฟังชั่นภายในที่ครบครัน และออพชั่นความปลอดภัยที่มีแบบจัดเต็ม ช่วงปลายปี 2016 มีกระแสว่า นิสสัน จะเอารถรุ่นนี้เข้ามาวางจำหน่ายในไทย เพื่อหวังเจาะตลาดอีโค่คาร์ใหม่ๆ ในบ้านเรา และข่าวนี้ก็เป็นจริงเมื่อ Nissan เปิดตัว Nissan Note อย่างเป็นทางการในไทย เมื่อช่วงต้นปี 2017 ที่ผ่านมา พร้อมแพ็คเกจออพชั่นยาวแน่นเอี๊ยด จนหลายคนแม้แต่กระจอกข่าวยานยนต์ก็คิดว่ามันน่าจะนำพานิสสัน รุ่งเรืองอีกครั้ง
แต่ว่า สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนิสสันไม่มีรถลงโชว์รูม ด้วยเหตุผลบางประการ มันเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเปิดตัวรถใหม่ ที่เปิดตัวออกมาแล้ว เจอสภาพเงียบกริบ Death Air ไปอยู่ราวๆ 30 วัน ไม่มีโฆษณา ไม่มีการโปรโมทใดๆ จนกระทั่งผมแทบจะลืมไปแล้วว่า Nissan Note เป็นรถใหม่อีกรุ่นที่จะต้องมาจับขับทำรีวิว …
ความสนใจของผมกับ Nissan note ที่จริงแล้วเกิดขึ้นจากเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อ “ยีนส์” .. .
“ยืนส์” เป็นสาวมั่นนักปั่นที่กังขาปัญหาชีวิตเรื่องการเดินทาง เมื่อมันเองต้องย้ายจากเมืองกรุงไปอยู่ชลบุรี ทำงานบริษัทใหม่ การจะเดินทางไปกลับ ทุกเสาร์-อาทิตย์ ก็คงไม่ใช่สิ่งใช่เรื่องยากนักแต่น่าจะดีกว่า ถ้าชีวิตกำหนดได้เอง ยีนส์จึงเริ่มมองหารถคันแรก ที่พร้อมจะพาไปทำกิจกรรมวันหยุดได้ ทุกเมื่อที่ต้องการ
โจทย์ทีแรกยีนส์ มองที่ Honda Jazz ตามความคิดที่มันถูกเพื่อนๆ รุมกระหน่ำมาว่า “เฮ้ย รถมันเหมาะที่สุดแล้ว”
แต่เมื่อยืนส์ มาปรึกษาผมที่อยู่ในวงการรถยนต์จริงๆ ผมจึงแนะนำว่า Nissan Note อาจจะเหมาะมากกว่า เพราะด้วยขนาดตัวรถที่ใกล้เคียงกัน ต่างเพียงขนาดเครื่องยนต์เท่านั้น และถ้านับแล้วจริตการใช้รถของผู้หญิงทั่วๆไป ก็ไม่ได้จะต้องมาคิดมาเรื่องกังเครื่องยนต์สมรรถนะในการขับขี่มากมาย
อีกครั้งที่ต้องยกหูหา นายเบนซ์ เพื่อขอหยิบยืมรถยนต์ Nissan Note ใหม่ มาลองใช้ในความเป็นจริง แม้ว่าผมจะผ่านมือการทดสอบรถยนต์ Nissan Note มาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนทดสอบกลุ่ม หากก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าเราต้องเอา Nissan Note มาใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นอย่างไร
การนำรถทดสอบกลับบ้านอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตของนักทดสอบรถไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่เปลี่ยนรถ ก็เหมือนควงสาวคนใหม่กลับบ้าน
วันนี้เธอชื่อ “น้องโน้ต” หน้าตาจิ้มลิ้ม คันเล็กร่างเพรียว น่าคบหา นายเบนซ์ดูเหมือนจะรู้ใจ จัดสีพิเศษม่วงพลัมมาให้ สีนี้ดูเผินๆ ก็จะคล้ายสีดำ จนกว่าคุณจะเอารถออกแสงไฟ มันเป็นสีที่ผมว่ามีเสน่ห์ พอสมควร และไม่ค่อยเห็นค่ายรถยนต์ทำสีแปลกๆ แบบนี้มาตอบลูกค้าในสมัยนี้
ตั้งแต่เจอครั้งที่แล้ว ผมยอมรับว่า ส่วนตัวถูกชะตารถยนต์ Nissan Note อยู่บ้างกับหน้าตาทันสมัยของเธอที่มาพร้อมการตบแต่ง ออกแบบรถให้ดูโฉบเฉี่ยวกว่า อีโค่คาร์ธรรมดาทั่วไป ที่บ้างน่ารัก บ้างสปอร์ต หรือบ้างไม่เน้นหน้าตา แต่จัดฟังชั่นครบครัน
Nissan Note เป็นรถที่เปลี่ยนความคิดที่คุณมีกับนิสสันไปโดยสิ้นเชิง กระจังหน้าใหม่ V Motion ให้ความรู้สึกที่ดูทันสมัยลงตัว ตั้งแต่แรกเห็น กระจังหน้าขนาดใหญ่รับเข้ากับกันชนหน้าใหม่ที่ดูมีความลงตัวมากขึ้น
ชุดไฟหน้าเป็นโปรเจตเตอร์ทุกรุ่น แต่รุ่นท๊อปมาพร้อมไฟหน้า LED พร้อมไฟฟรี่ Signature light ซึ่งความจริงผมกลับรู้สึกว่า น่าจะเอาอีไฟชุดนี้มาเป็นไฟ Day Time running Light มากกว่าจะวางมันไว้เป็นตำแหน่งไฟหรี่
ทางด้านข้างเส้นสายการออกแบบ ที่เรียกว่า Squash Line เสริมภาพลักษณ์ความทันสมัยของตัวรถ เพิ่มองค์ประกอบความดูดี ถึงเจ้านี่จะเกิดมาเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ Mini MPV ตามความตั้งใจเดิม หากมันกลับดูมีอะไรๆ มากกว่า ทุกรุ่นให้ล้ออัลลอยขอบ 15 นิ้ว กว้าง 5.5 นิ้ว ถามผมค่อนข้างเล็กไปหน่อย ตัวรถทดสอบติดตั้งยาง Dunlop Enasave EC300 ใหม่ ให้ยางขนาด 185/65/R15
ด้านท้าย Nissan ดันออกแบบ Nissan Note ให้ต่างจากข้างหน้า ขณะที่ความทันสมัยให้อารมณ์สปอร์ตมาตลอดคัน ด้านหลังตัวรถกลับรู้สึกว่ามันดูไม่ทันสมัยเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยการออกแบบบานฝาท้ายให้มีขนาดใหญ่ เพื่อการขึ้นลงบรรจุสิ่งของได้ง่าย แต่ส่วนสำคัญจริงๆ กลับเป็นเส้นสายการออกแบบรถที่ทำให้พาลนึกถึง ฮอนด้าแจ๊ส GD รุ่นแรก ซึ่งมีหลายมุมมองดูคล้ายมันมากๆ จนบางทีก็ทำให้แปลกใจได้เหมือนกัน และยิ่งมองก็ยิ่งดูคล้ายกันอย่างน่าแปลกใจ
รับกุญแจรีโมทจากนายเบนซ์ เรายืนคุยกันพักใหญ่เรื่องการเปลี่ยนแปลงหัวสื่อของผม จากเว็บชื่อดัง มาสู่บ้านหลังเล็กใหม่ที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่ในวันนี้ Ridebuster.com
กดปุ่มที่มือจับเข้ารถได้ทันที สะดวกสบายอะไรอย่างงี้ Nissan Note ใหม่ ก็เริ่มแนะนำตัวในความเรียบง่ายภายในห้องโดยสารที่จัดแจงเสร็จสรรพ ด้วยความทันสมัยในการใช้งานเท่าที่จำเป็น
เบาะนั่งคนขับปรับ-สูงต่ำได้ ช่วยให้สามารถหาท่านั่งได้เหมาะสมง่ายขึ้น ตรงหน้าคนขับให้พวงมาลัยยูรีเทน ออกแบบวงพวงมาลัยให้เป็น D Shape ดูน่าสนใจใช้งานมากยิ่งขึ้น เรือนไมล์เรืองแสง Fine Vision Meter บอกค่าที่จำเป็นในการใช้งาน เช่นระยะทางที่ขับได้ อัตราประหยัดเฉลี่ย มีมาให้ได้กดดูถ้าต้องการ
ส่วนใต้ล่างเป็นที่อยู่ของปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ทรงสหกรณ์ใช้ทุกรุ่น ตั้งแต่รถราคาถูกยันแพง คอนโซลด้านคนนั่ง เปิดได้ด้านบน และด้านล่าง ตรงกลางเป็นเครื่องเล่นวิทยุ CD MP3 DVD ทำงานผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ถัดลงมาเป็นแอร์ออโต้ทรงเดิมที่ใช้มายาวนานในตระกูล Nissan อีโค่คาร์ เช่นเดียวกันกับหัวเกียร์ ทรงที่ตักไอติม ก็ยังถูกนำมาใช้ในรุ่นนี้
การตบแต่งภายในห้องโดยสาร Nissan เลือกใช้โทนสำดำแล้วตัดด้วยสีเทา ที่ขอบเบาะและแผงประตู การตบแต่งแบบนี้ให้ความรู้สึกที่ดูมีรายละเอียดมากกว่าอีโค่คาร์คันอื่นๆที่ผมเคยผ่านมือมา
ตัวเบาะลองสัมผัสแผ่นหลัง ต้องยอมรับเรื่องการนั่งสบายในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าผมเองจะเป็นคนตัวใหญ่ มันก็ดีพอสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันทั่วๆไป
ส่วนประตูบานหลังเปิดได้กว้างถึง 85 องศา ตัวประตู สามารถเปิดได้ 3 ระดับ เบาะนั่งหลังสามารถพับได้ 60/40 หากต้องการเปลี่ยนฟั่งชั่นการนั่งโดยสาร ไปเป็นฟังชั่นการขนของ สำหรับคุณพ่อบ้าน แม่บ้าน แต่น่าเสียดายที่เบาะหลังยังพับแล้วไม่เรียบไปเสียทีเดียว
ผมมีโอกาสเล็กลองนั่งโดยสารตอนหลังก็ต้องแปลกใจ เพราะเจ้า Nissan Note กลับเป็นรถที่สามารถตอบพื้นที่วางขาได้ดีกว่าที่คิด ด้วยระยะฐานล้อยาว 2,600 มม. ทำให้มีพื้นที่โดยสารตอนหลังมากพอสมควร ยิ่งเมื่อมองมิติตัวถังของมัน ยาว 4,150 มม. กว้าง 1,695 มม. และสูง 1,535 มม. พร้อมระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 155 มม. เจ้า Nissan Note ก็ยิ่งทำให้เราเห็นว่า พื้นที่การใช้งานตัวรถค่อนข้างเยอะกว่าสายตาที่เราเห็น และที่จริงมากกว่าซิตี้คาร์ยอดนิยมบางรุ่นเสียอีก
กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Nissan Note ขุมพลัง 3 สูบแถวเรียง ขนาด 1.2 ลิตร ซุ่มเสียงอันคุ้นเคยกลับมาทำงานอีกครั้ง เครื่องยนต์บล็อกนี้ใช้กันมายาวนานตั้งแต่ Nissan March , Nissan Almera มายัน Nissan Note ขุมพลังรหัส HR12DE ให้กำลัง 78 แรงม้า สูงสุดที่ 6,000 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 106 นิวตันเมตร สูงสุด ที่ 4,400 รอบต่อนาที
กำลังที่ไม่ได้เปลี่ยนไปในเครื่องยนต์บล็อกนี้ ตอบโจทย์ใหม่ ด้วยการแนะนำเกียร์ X Tronic CVT พร้อมเทคโนโลยี D Step เข้ามาตอบโจทย์ ชุดเกียร์เดิมเพิ่มฟังชั่นใหม่ จะตบเกียร์ขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อถึงเส้นแดง จะไม่ลากแช่ไปยาวๆ จนลูกสูบอยากจะออกมานอนยิ้มข้างนอก ทำให้เครื่องยนต์ดูมีกำลังมากขึ้น
ยังไม่ทันไปไหนไกล ก็ได้ใช้ระบบ Around View Monitor ในการโยกรถออกจากที่จอดรถ ระบบนี้จะแปลงภาพจากกล้องทั้ง 4 ตัว มาเป็นภาพในลักษณะของ Bird eye View จากทางด้านบน แต่นิสสันดันเอามันไปแสดงผลในกระจกมองหลัง ซึ่งเล็กมากๆ จนคุณแทบจะมองอะไรไม่รู้เรื่อง
นายเบนซ์ บอกกับผม ตอนก่อนขึ้นรถ หลังจากเห็นคำวิจารณ์ ตอนเทสกรุ๊ปว่า “พี่ว่า ระบบกล้องนี้มีอุปกรณ์เสริมที่ทำให้มันสามารถแสดงภาพบนจอดระบบเครื่องเสียงได้นะ แต่ต้องซื้อเพิ่ม” ผมบอกเลยว่าถ้าผมจะต้องซื้อ นิสสันโน้ต จะขออุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นของแถมแน่นอน
ไปได้ไม่ไกล เมืองกรุงยามเย็นก็ต้อนรับ Nissan Note ด้วยการจราจรติดขัดยาวๆ จนบางทีก็นึกว่า บ้านตัวเองอยู่สักหัวหิน หรือเปล่า เพราะใช้เวลาขับรถพอๆ กัน
การจราจรติดขัดแบบนี้ ถ้าใครมองหาความประหยัด Nissan Note ก็พรั่งพร้อมด้วยระบบ idling Stop หยุดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราว แม้งวดนี้จะไม่ได้เป็นพระเอก แต่ก็มีมาให้ ทว่าการสตาร์ทเครื่องยนต์ 3 สูบ ยังมีแรงถีบจากเครื่องยนต์ค่อนข้างมาก มันสั่นสะท้านทุกครั้งที่ติดเครื่องทำงาน ทำให้ผมตัดสินใจว่าในการทดสอบไม่เปิดใช้งานจะดีกว่า
นั่งแช่อยู่ในรถสักพักความน่าเบื่อของเมืองกรุง ก็คงทำให้ทุกคนอยากจะหยิบโทรศัพท์มาเล่น ตั้งสเตตัส “วันนี้รถติดอีกแล้ว … ตำรวจหายหัวไปไหนหมด” ขับไปเล่นไปอย่างผมนี้มีโอกาสจะแจ๊คพอท ไปจุ่มคันหน้าได้ถ้าเผลอ
โชคดีที่ Nissan Note รุ่น VL มีระบบตรวจจับและเตือนป้องกันการขนทางด้าน ระบบจะส่งเสียงเตือนเมื่อคุณเข้าใกล้เร็วเกิน และแถมยังมีระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน Intelligent Emergency Braking ถ้ากล้องด้านหน้าตรวจจับได้ว่าตรวจจับได้ว่าคุณใกล้เกินไป ระบบจะทำการเบรกเองอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความปลอดลดโอกาสที่จะไปชนแปะเล็กๆน้อยๆ ให้ต้องเสียเวลา เสียอารมณ์
ผมเลี้ยวเข้าปั้มน้ำมันเจ้าประจำ บันทึกอัตราประหยัดในเมือง หลังเติมน้ำมันเสร็จสรรพ ก็ออกไปขับ Bonn Test Mode ต่อทันที
ในช่วงค่ำคืนแบบนี้ไม่มีคำว่ารถติด Nissan Note เริ่มโชว์ศักยภาพระบบกันสะเทือนให้เราเห็น แม้ว่าการเซทระบบช่วงล่างเจ้าน้องโน้ต จะเหมือนกับพี่น้องผองเพื่อนของมัน ด้วยระบบกันสะเทือนแบบแม็คเฟอร์สันสตรัททางด้านหน้า และระบบทอร์ชั่นบีม ทางด้านหลัง แต่มันกลับทำให้รู้สึกถึงความมั่นใจมากกว่า ยามที่เดินทางไกลใช้ความเร็วในการเดินทาง
ส่วนหนึ่งของการขับทดสอบประหยัด Bonn Test Mode คือการขับบนถนนกาญจนา Nissan Note ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกวาบหวิว หวั่นใจในความเร็วเดินทาง ที่จริงมันดูมั่นใจกว่าซิตี้คาร์เจ้าตลาดบางรุ่นด้วยซ้ำไป ผมซูกฮกความกล้าของนิสสันในการพัฒนาอีโค่คารืให้ขับได้ดีขนาดนี้ แน่นอนสิ่งเดียวที่เปรียบกับรถยนต์เครื่อง 1.5 ลิตรไม่ได้ คงไม่พ้นกำลังของเครื่องยนต์ ที่ด้อยกว่า และคนไทยส่วนใหญ่ก็ดูจะสนใจกับเรื่องของขนาดเครื่องยนต์มากเป็นพิเศษ ด้วยนิสัยคนไทยบ้าพลัง จะรถอะไรก็ตามพี่ขอแรงไว้ก่อน ทั้งที่ปัจจุบันขับเกิน 120 โดนยิงความเร็วส่งใบเสร็จเรียกเก็บถึงบ้าน
ผมว่า Nissan Note ออกแบบมาให้ขับง่าย สบายและปลอดภัย ยามนี้ผมวิ่งขึ้นทางลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี ไม่มีคำว่าโคลงเคลง รถดูเบา ขับไม่มั่นใจ แถมขับทางไกลแบบนี้ ผู้ช่วยระบบเตือนการหลุดเลนที่ให้มา ยังทำหน้าที่อย่างดี เตือนไม่ให้คุณเผอเรอเป๋ไปหารถคันข้างๆ
ออพชั่นมาเต็ม ฟังชั่นมาครบแบบนี้ เชื่อเลยว่ ไม่ว่าใครก็คงหลงรัก ยิ่งถ้าเปรียบเทียบฟังชั่นกับราคาขายก็ยิ่งต้องเรียกว่าคุ้มค่าเกินตัวจริงๆ
สรุป Nissan Note 1.2 VL ประหยัดครบครัน ฟังชั่นครบมือ…แต่ขอลุ้น E Power ดีกว่า
ในบรรดารถยนต์อีโค่คาร์ที่ทำตลาดในเวลานี้ ถ้าคุณมองหารถรุ่น 5 ประตูที่ตอบความคุ้มค่ามากที่สุด ผมคงจะยกให้ Nissan Note เป็นหนึ่งในที่สุดตัวเลือกในระดับราคาไม่เกิน 7 แสนบาท สำหรับอีโค่คาร์หมวดเครื่องยนต์เบนซิน
ตลอดหลายวันที่ผมใช้ชีวิตกับเจ้า Nissan Note รถให้ฟังชั่นที่ครบครันในการขับขี่มากพอสมควร จริงอยู่เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ในรถน้ำหนักไม่รวมผู้โดยสาร 1 ตัน อาจจะฟังดูแย่ มันไม่ได้แรงหวือหวา เมื่อนับว่า มีกำลังเพียง 78 แรงม้า และ จากการทดสอบอัตราเร่ง มันก็ทำอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. เฉลี่ยเพียง 17.0 วินาที เร่ง 80-120 ก.ม./ช.ม.ก็ยังเชื่องช้าเพียง 13.8 วินาที
ถ้ามองตัวเลข คุณจะพบว่ามันค่อนข้างช้า แสดงอาการน่าเป็นห่วง แต่ความเป็นจริงของการขับรถใช้งานทั่วๆ ไปหรือ? ผมบอกเลยว่า “พอเพียง”
คุณจะต้องการอัตราเร่งแรงๆไปทำไม ถ้าคุณเพียงขับรถไปรับส่งลูกไปโรงเรียน หรือขับไปจ่ายตลาดวันว่าง คุณต้องความเร็วมากมายทำไม ในเมื่อพี่จ่า ตั้งด่านพร้อมส่งใบสั่งความเร็วเป็นที่ระลึกถึงบ้าน หรือวันธรรมดาคุณอาจจะรถติดอยู่ท่ามกลางป่าคอนกรีต … และรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาที่ต้องไปทำหน้าที่สามี หรือ พ่อแม่ที่ดีอีกแล้ว
Nissan Note อาจจะไม่ใช่รถที่แรงเร้าใจ แต่มันค่อนข้างครบครันในเรื่องฟังชั่นการขับขี่และการใช้งานที่จำเป็นในราคาเดียวกับที่คุณสามารถซื้อรถซิตี้คาร์ 1.5 รุ่นกลางๆ ซึ่งให้ออพชั่นน้อยกว่านี้ครึ่งหนึ่ง และไม่มีระบบตัวช่วยความปลอดภัยมาให้แบบเจ้านี่
สิ่งเดียวที่ทำให้ผมตะขิดตะขวงใจใน Nissan Note คันนี้คือเรื่องของความประหยัด ที่ยังไม่สู้ดีเท่าที่ควร การขับท่ามกลางจราจรในเมืองผมวัดผลอัตราประหยัดได้เพียง 7.33 ก.ม./ลิตร แต่ต้องยอมรับว่าวันที่ทดสอบ รถติดมหาโหดมากมาย และเนื่องจากผมขับโดยไม่ได้ใช้ idling Stop จึงทำให้อัตราประหยัดออกมาด้วยตัวเลขดังกล่าว
ทว่าเมื่อมาลองในโหมดเฉลี่ย มันกลับทำให้ผมแปลกใจที่ทำอัตราประหยัดดีถึง 17.11 ก.ม./ลิตร เช่นเดียวกับการขับนอกเมืองที่ทำได้ดีถึง 15.47 ก.ม./ลิตร นั่นเท่ากับปัญหาเรื่องอัตราประหยัดกลับอยู่ที่การใช้งานในเมืองเป็นสำคัญ
ตาราง สรุปอัตราประหยัดในการทดสอบ Nissan Note 1.2 VL
ก.ม./ลิตร | |
ในเมือง | 7.33 |
นอกเมือง | 15.47 |
Bonn test Mode | 17.11 |
ผมมองประเด็นเรื่องอัตราประหยัดในเมืองที่ไม่สู้ดีนัก ไปที่อัตราทดเกียร์ ซึ่งทางนิสสันเลือกใช้เกียร์ของ Nissan Almera มาใช้ใน Nissan Note โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราทดเฟืองท้ายแต่อย่างใด แม้ว่าหลักการทางด้านวิศวกรรมอาจจะมองที่น้ำหนักรวมของรถเป็นสำคัญ แต่เนื่องจากน้ำหนักตัวเปล่าของ Nissan Note รุ่น VL มากกว่า Almera ถึง 20 กก. ก็ทำให้เราต้องเดินคันเร่งมากกว่าอัลเมร่า เมื่อต้องออกตัว และในภาวะขับๆ หยุดๆ มันก็เลยซดน้ำมันมากกว่า แต่ปัญหานี้แก้ได้ ถ้านิสสันเพิ่มอัตราทดเฟืองท้ายเป็น 3.9 รถจะออกตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน หากก็ต้องแลกด้วยความเร็วปลายที่หดหายไป
สำหรับผม Nissan Note เป็นหนึ่งในรถที่ออกแบบมาได้น่าสนใจในเรื่องของฟังชั่นที่ครบครัน พร้อมสรรพในการใช้งาน มันเป็นอีโค่คาร์ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากเท่ารถซิตี้คาร์ โดดเด่นด้วยช่วงล่างที่ให้ความมั่นใจในการขับขี่ แต่อย่าคิดมากเรื่องกำลังของเครื่องยนต์
อย่างไรก็ดี สำหรับผม แม้ว่า Nissan Note ใหม่ จะมีความน่าสนใจอย่างมาก ทั้งออพชั่น ราคา และสมรรถนะของรถ แต่ด้วยการยกพื้นฐานจาก Nissan Almera มาเต็มกระบุงทำให้มันยังไม่น่าสนใจ เท่าไรนัก
เว้นแต่ Nissan จะนำรถยนต์ Nissan Note รุ่น E Power เข้ามาทำตลาดในบ้าน ซึ่งระบบขับเคลื่อน E Power นั้นเป็นระบบขับเคลื่อนไฮบริดแบบอนุกรม ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเป็นสำคัญ ซึ่งนั่นจะทำให้ Nissan Note E Power มีความประหยัดมากขึ้น มันจะไม่ใช่รถอีโค่คาร์ตีตั๋วเด็กมาทำตลาดอย่างรุ่นปัจจุบัน
จากข่าวสารในช่วงหลายเดือนที่ผานมา ชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูง ที่ Nissan จะนำรถยนต์ Nissan Note E Power เข้ามาทำตลาดในท้ายที่สุด และสำหรับผมนั่นดูน่าสนใจกว่าพอสมควร
Nissan Note ใหม่ รุ่น 1.2 VL ผมว่ามันมาพร้อมออพชั่นคุ้มค่าและครบครัน แม้รถจะออกมาแล้วไม่ปัง แต่ก็มีอะไรดีๆ หลายอย่างที่รถไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในอีโค่คาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น และความปลอดภัย ซึ่งคุณจะหาที่ไหนไม่ได้ในรถราคาขนาดนี้
เรื่อง และขับทดสอบโดย ณัฐยศ ชูบรรจง
ขอบคุณ นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อ รถทดสอบ Nissan Note 1.2 VL มาให้ทีมงาน Ridebuster.com
รถทดสอบ Nissan Note 1.2 VL
ราคาจำหน่าย 640,000 บาท
ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์ ขอบคุณทุกกำลังใจสำหรับพวกเรา ridebuster.com
[ngg_images source=”galleries” container_ids=”298″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”1″ thumbnail_width=”200″ thumbnail_height=”160″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”20″ number_of_columns=”3″ ajax_pagination=”1″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”0″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”sortorder” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]