Home » Full  Review : Toyota  C-HR 1.8 Mid  ครบคุ้มค่า ได้ความรู้สึกสปอร์ต
Full Review รีวิว

Full  Review : Toyota  C-HR 1.8 Mid  ครบคุ้มค่า ได้ความรู้สึกสปอร์ต

หลายเดือนแล้ว นับตั้งแต่ที่เรานำ   Toyota C-HR   มาขับทดสอบ ในตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกได้ว่า นี่คือรถที่กำลังเปลี่ยนแปลง   Toyota   ไปสู่ทิศทางใหม่ พวกเขาให้การตอบสนองการขับขี่ที่ดี แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกที่อยากจะซื้อรุ่นไฮบริดมาครอบครอง

อันที่จริงแล้วคนส่วนใหญ่น่าจะเล็งไปที่การออกรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เสียมากกว่า เนื่องจากมีราคาถูกกว่าและยังคุ้นเคยกับการขับขี่ของคนทั่วไป แถมหลายคนยังหวาดหวั่นเครื่องยนต์ไฮบริด ว่าจะมีค่าใช้จ่ายระยะยาว ด้วยเหตุนี้ผมจึงไถ่ถามไปยัง โตโยต้าว่า พอจะมีรุ่น 1.8 ลิตร ให้ยืมขับไหม และประจวบเหมาะว่า ช่วงนี้รถว่างพอดี และนั่นทำให้เรากลับมาพบ  Toyota  C-HR   อีกครั้ง

พบหน้าตาครั้งนี้เราได้รถสีดำที่ดูแปลกตาดุดันสไตล์สปอร์ต สำหรับใครก็ตามที่มองหาสีพื้นๆ ที่ใช้งานได้หลายหลายแนวทางการออกแบบตัวรถทั้งหมด ก็คล้ายกับในรุ่นไฮบริด ยกเว้นเครื่องเคราออพชั่นต่างๆ เช่นโคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ แต่ไฟส่องสว่างเป็นฮาโลเจน

Toyota C-HR 1.8 Mid

ส่วนตัวโคมก็ไม่มีไฟเลี้ยววิ่งดูเท่ห์มาให้ ไฟท้ายเปลี่ยนจากไฟ  LED  มาเป็นไฟปกติ ผมว่าก็ดูดีมีความสปอร์ตไปอีกแบบ  เช่นเคยตัวรถยังมาพร้อมล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้ว สีเทา ยังคงเป็นยางชุดเดิมจากตัวไฮบริด Dunlop  Enasave  เน้นใช้งานประหยัดไม่เน้นสมรรนถะเท่าไร

Toyota C-HR 1.8 Mid

Toyota C-HR 1.8 Mid

อ่านรีวิว   Toyota  C-HR 1.8 HV Hi   ได้ที่นี่ 

ในห้องโดยสารการออกแบบภายในทั้งหมดคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เบาะนั่งปรับมือทั้งหน้า-หลัง , เบาะหลังสามารถปรับพับได้ในอัตรา 60/40 การตบแต่งภายในเป็นทูโทนน้ำตาล หุ้มหนังสีดำตอบเรื่องการใช้งาน แต่ดูเหมือนสองอยางที่เปลี่ยนไป คือหน้าปัดเรือนไมล์ ที่มีรอบเครื่องยนต์อย่างชัดเจน และไฟส่องแก้วน้ำที่มีในรุ่นไฮบริด รวมถึงถอดปุ่ม   EV Mode   ออกไป , พร้อมกระจกหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ รวมถึงระบบกรองอากาศ nanoe ( ซึ่งทั้ง 2 ออพชั่นหลัง มีให้ในเฉพาะในไฮบริดตัวท๊อปเท่านั้น)

Toyota C-HR 1.8 Mid

Toyota C-HR 1.8 Mid

สตาร์ทเครื่องยนต์ขุมพลัง 1.8 ลิตร ตอบสนองไว้ ปุ่มกดที่อยู่หลังพวงมาลัย ยังสร้างความน่ารำคาญบ้างในบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างผมที่ขึ้นลงรถเปลี่ยนคันกันมันเป้นว่าเล่น

เครื่องบล็อกนี้ก็ไม่ใช่เครื่องยนต์หน้าใหม่ในตลาด มันเป็นขุมพลัง 1.8 ลิตร เดิมใน   Toyota  Altis   ให้กำลัง 140 แรงม้า สุงสุดที่ 6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 175 นิวตันเมตร สูงสุดที่ 4,500 รอบต่อนาที ชุดเกียร์ยังคงเหมือนเดิม ใช้ชุดเกียร์   Super CVTi  7 สปีด   ให้อัตราทด 2.480-0.396 แตกต่างจากตัวเก๋งของค่ายเพียงใช้อัตราทดจัดจ้านกว่าที่ 5.698 จากเดิมใช้ 5.356


เหยียบคันเร่งครั้งแรกบอเลยว่ารถดูพุ่งกว่าตัวไฮบริดในความรู้สึก ก็ไม่น่าแปลกใจ ด้วยไฮบริดนั้นมีกำลังสูงสุดรวมเพียง  122  PS   หรือ ประมาณ 120 แรงม้าเท่านั้น ยิ่งถ้าเทียบกับอัลติสพันแปด ถือว่าออกตัวดีกว่าด้วยอัตราทดเฟืองท้ายฃกว่า

การขับในเมือง Toyota  C-HR   ออกแบบมาเน้นความคล่องตัวในการขับขี่ ขนาดรถไม่ใหญ่ช่วยให้ขับคล่องบนถนนที่การจราจรหนาแน่น หรือ เข้าออกตรอกซอยคับแคบที่มีรถจอดไม่สนใจหน้าอินทรหน้าพรหม ได้อย่างสบายใจ

Toyota C-HR 1.8 Mid

แถมในยามจะต้องแก่งแย่งชิงดีเสียบแซงชิงจังหวะ เครื่องยนต์ 1.8 ค่อนข้างทันอกทันใจ จนบางครั้งกลายเป็นเราขับรถเร็วในสายตาคนอื่นโดยปริยาย แต่กลับกันถ้าพูดถึงความประหยัดก็ไม่ได้ดีเด่นอย่างไฮบริด ด้วยอัตราประหยัดเพียง 10.55 ก.ม./ลิตรเท่านั้น ซึ่งเทียบแล้วกินเท่ากับเครื่อง 2.0 ลิตร ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อจากรถบางยี่ห้อ ทั้งที่ตัวเล็กกว่า

วันต่อมา ผมคว้ากุญแจขับเที่ยวเล่นนอกเมือง   Toyota  C-HR   ทำได้ดีมากเวลาคุณขับนิ่งๆชิวไปเรื่อย ที่ 120 ก.ม./ช.ม. เข็มวัดรอบจะอยู่ที่ 2,100 รอบต่อนาที โดยประมาณ ซึ่งถือว่าไม่ได้มากมายนัก

การขับด้วยความเร็วเช่นนี้ โครงสร้างหลัก  TNGA   เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ ทางด้านสมรรนถะการขับขี่ เวลาคุณเปลี่ยนเลนด้วยความเร็ว หรือใช้ความเร็วสักหน่อย จะสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของรถคันนี้

ลืมทุกอย่างที่คุณเคยคิดเกี่ยวกับแบรนด์  Toyota   ไปเลย เพราะ โตโยต้า ซีเอชอาร์ พกความไม่ธรรมดามาล้นกระเป๋า โดยเฉพาะช่วงล่างที่ออกแนวสปอร์ต นุ่มหนึบ นั่งสบายก็ได้ในความเร็วกลางๆ ช่วง 60-90 ก.ม./ช.ม .หรือจะขับให้สนุกสนานก็ได้ในช่วงความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม. ขึ้นไป มันสนองตอบได้ทั้งคุณจะขับเป็นคุณชายไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ หรือในเวลาคับขันเช่นแฟนคุณโหวกเหวกว่าทำไมคุณมารับเธอช้าจัง คุณสามารถมั่นใจได้ว่ารถคันนี้จะตอบสนองอย่างลงตัวทั้ง 2 ด้าน

Toyota C-HR 1.8 Mid

ส่วนพวงมาลัยเซทมาน้ำหนักกำลังดีไม่หนักไปเบาไป มีระยะฟรีเล็กๆ แต่เมื่อคัดพวงมาลัยแล้วคมกริบ งไม่ได้ต่างจากสัมผัสในรุ่นไฮบริดก่อนหน้านี้

อันที่จริง ผมรู้สึกชอบตัวรถเครื่อง 1.8 ลิตร มากกว่าไฮบริดเสียอีก อาจจะเพราะด้วยความคุ้นเคยในการใช้งานรถปกติทั่วไป แต่ที่แน่ๆ ผมชอบการตอบสนองของอัตราเร่งทุกครั้งที่เหยียบคันเร่งลงไป ไม่มีอาการยืดยาด ซึ่งไฮบริดอาการนี้จะเกิดขึ้นบางครั้ง โดยเฉพาะถ้าไฟฟ้าที่แบตเตอร์รี่คุณเหลือน้อย มอเตอร์ไฟฟ้าก็ช่วยคุณได้น้อย

ยิ่งเมื่อเทียบว่า กำลังเครื่องยนต์ไฮบริดนั้นเท่าเครื่อง 1.5 ลิตร แต่เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มีม้ามากกว่า 20 ตัว โดยประมาณ กับร่างเล็กๆ ไม่ใหญ่เกินงามขนาดย่อกว่าอัลติสสักหน่อย ก็ไม่แปลกใจที่ผมจะรู้สึกว่า เมื่อมันพกเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร แล้วขับสนุกกว่ามาก

เรื่องอัตราประหยัดระหว่างเดินทางไกลก็ไม่ขี้เหร่นัก คุณสามารถทำได้  18.87 ก.ม./ลิตร ถ้าขับท่ามกลางยามค่ำคืนด้วยความเร็ว 100-120 ก.ม./ช.ม. ซึ่งถือว่าประหยัดเอาเรื่องอยู่ผิดกับการขับขี่ในเมืองไปเลย และรู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน  (ทดสอบด้วยผู้โดยสาร 3 คน อากาศภายนอก 28 องศาเซลเซียส การจราจรเบาบาง)

 

สรุป   Toyota  C-HR  1.8  Mid  ขับสนุกได้สปอร์ต

ผมจบการทดสอบ   Toyota C-HR   1.8   ด้วยการทดสอบสมรรถนะตามธรรมเนียม แม้ว่าผมจะใช้เวลาน้อยมากการขับรถคันนี้ เนื่องจากภารกิจเพียบในช่วงหลัง แม้แต่เวลาเขียนรีวิวยังแทบจะไม่มี

แต่ผมกล้าพูดว่า ถ้าคุณตั้งใจหาความสนุกจากรถอเนกประสงค์ซับคอมแพ็ค  Toyota C-HR   คือรถคันนั้น  ที่คุณควรมองหา น่าเสียดายที่ทางโตโยต้าไม่คิดจะทำรถรุ่นออพชั่นเต็ม ที่มีระบบความปลอดภัยมาให้ในเครื่องยนต์ 1.8 ซึ่งนั่นจะทำให้ลูกค้าสนใจมากขึ้น แม้ว่าราคาจะกระโดดขึ้นไปมากก็ตาม  และแถมจะเป็นรุ่นแรกในตลาดที่มีของมาครบเครื่องด้วย

อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบสมรรนถะกับตัวไฮบริด ผมพบเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมาก และยิ่งทำให้รุ่น 1.8 ลิตร น่าสนใจ

ตารางเปรียบเทียบข้อมูลการทดสอบรถยนต์   Toyota C-HR

  1.8 Mid 1.8 Hybrid  Hi
อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. เฉลี่ย 12.00 11.99
อัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ช.ม. เฉลี่ย 8.67 9.66
อัตราประหยัดในเมือง 10.55 17.22
อัตราประหยัดนอกเมือง 18.87 15.44
Bon Test Mode 14.57 45.22

หมายเหตุ การทดสอบอัตราเร่ง รถทั้ง 2 รุ่นทำในโหมด   Normal

จากตารางข้างบน ค่อนข้างชัดเจนว่า ผลสรุปของ   โตโยต้า ซีเอช อาร์   ทั้ง 2 รุ่นไม่ได้หนีกันมากอย่างที่หลายคนคิด  อัตราเร่งของเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ดีกว่าจริง ถ้าคุณเน้นขับทางไกลบ่อยครั้ง  อัตราเร่ง 80-120 ก.ม.ช.ม. ถือว่าสำคัญมาก และรุ่น 1.8 ลิตรทำได้ดีกว่าราวๆ 1 วินาที ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการแซงระยะกระชั้นชิดว่าจะพ้นหรือไม่ บนถนนเลนสวน

สาเหตุที่อัตราเร่ง 1.8 ลิตร ดีใกล้เคียงกับไฮบริดก็เนื่องจากอัตราทดเฟืองท้ายใหม่ที่จัดจ้าน ในขณะที่รุ่นไฮบริดนั่นมีอัตราทดเพียง 3.218 แต่ รุ่น 1.8 ลิตร กลับให้ถึง 5.698 เรียกว่า “ครึ่งต่อครึ่ง” ซึ่งถ้าอัตราทดที่เท่ากัน ก็เป็นไปได้ที่ไฮบริดจะแรงทะลุโลกพระจันทร์ เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าตอบสนองเร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ทว่าอัตราประหยัด ถ้าคุณอยากได้ความประหยัดทุกมุมของชีวิต ชัดเจนว่าไฮบริด จะทำอัตราประหยัดได้ดีกว่า โดยเฉพาะถ้าขับในเมืองบ่อยครั้ง รถไฮบริดตอบสนองได้ใกล้เคียงรถอีโค่คาร์ ผิดกับเครื่อง 1.8 ลิตร ที่กินเทียบเท่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร

กลับกันถ้าคุณขับนอกเมืองบ่อย เครื่อง 1.8 ลิตร ได้อัตราประหยัดดีกว่า (แถมใช้  E85 ได้ด้วย) แม้ว่าเครื่องยนต์จะเท่ากัน แต่การลดกำลังเครื่องแล้วจูนเป็นแอทคินสัน ไซเคิล (อ่านเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่  Atkinson Cycle)  ทำให้กำลังเครื่องยนต์ลดลง แล้วหันไปพึ่งการตอบสนองจากมอเตอร์ไฟฟ้า

Toyota C-HR 1.8 Mid

ซึ่งหลายครั้งพบว่า มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากเมื่อขับทางไกล คุณจะพบว่าแบตเตอร์รี่มักจะอยู่ในระดับอ่อนเสียส่วนใหญ่ ไม่เต็มปรี่เหมือนการขับในเมือง ส่งผลให้เมื่อเร่งไปแล้วมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยน้อยลง และเครื่องยนต์ทำงานหนักมากขึ้น ซึ่งในรุ่นไฮบริดเครื่องยนต์อย่างเดียวมีกำลังเพียง 98 แรงม้า ให้แรงบิด 142 นิวตันเมตร รวมถึงด้วยระบบไฮบริดเองก็ต้องบวกน้ำหนักจากแบตเตอร์รี่เพิ่มอีก

ตามสเป็ค  Toyota  C-HR Hybrid   ทั้ง 2 รุ่นหนักเท่ากันที่ 1,455 กก. ขณะที่   Toyota C-HR 1.8 Mid  หนักเพียง 1,385 กก. (รุ่นเริ่มต้น 1.8 Entry  เบากว่า 5 กก.) จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมมันได้อัตราเร่งเท่ากัน อัตราประหยัดนอกเมืองต่างกันชัดเจน

อย่างไรก็ดี ด้วยความเบากว่าของตัวรถนี่เองเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่ามันคล่องแคล่วมากขึ้น ผมว่าชอบ  Toyota C-HR   ไฮบริดแล้ว มาขับตัว 1.8 ลิตร นี่หลงรักกว่าเดิม มันสปอร์ต ขับสนุก ควบคุมดั่งใจช่วงล่างตามสั่งในการควบคุม แต่ก็ยังคงปัญหาเรื่องยางประหยัดไม่เข้ากับบุคคลิกรถเท่าไรเหมือนเดิม  ถ้าขับซิ่งแนะนำว่าต้องเปลี่ยนยางจะขับสนุกมากขึ้น

แต่กระนั้นก็น่าเสียดายที่มันไม่ค่อยประหยัดในเมือง แถมกินเท่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เนื่องจากอัตราทดเฟืองท้ายที่สูงลิ่ว และการไม่มีระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราวมาให้เหมือนในรุ่นไฮบริด ซึ่งคุณก็ต้องพิจารณาเอาเองว่า แลกกันได้ไหมในแง่สมรรถนะการขับขี่จากตัวรถที่สนุกสนานต่างกันโดยสิ้นเชิง

ถ้าถามผมว่าพอไหม บอกว่าเลยว่า รุ่น 1.8 ลิตรเหลือเฟือมากสำหรับการขับใช้งานทั่วไป แถมคุณไม่ต้องกังวลเรื่องไฮบริดและการใช้งานในระยะยาว น่าเสียดายที่ทางโตโยต้าไม่ทำรุ่นออพชั่นจัดเต็มมาให้ลูกค้า ใครจะรู้ .. การครบขวบของ   Toyota C-HR   ท้ายปีนี้ เราอาจจะได้เห็นไลน์อัพใหม่ก็ได้

เรื่องและขับทดสอบโดย  ณัฐยศ ชูบรรจง

ขอบคุณ  โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ที่เอเฟื้อรถทดสอบ   Toyota  C-HR 1.8 Mid   มาให้ทดสอบ

 


 

[ngg src=”galleries” ids=”794″ display=”basic_thumbnail”]

แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่

Comments are closed.