ตลอดในชีวิตการทำงานเป็นนักทดสอบรถยนต์ กว่า 10 ปี นับตั้งแต่เรียนจบเริ่มสายอาชีพนี้มาก มีคนเข้ามาขอคำปรึกษายามซื้อรถใหม่มากมาย เมื่อเร็วๆ นี้ น้องที่น่ารักคน หนึ่งชื่อ “จ้อ” มาปรึกษาแผนการซื้อใหม่ของเขา และ Toyota C- HR เป็นหนึ่งในตัวเลือก ที่ตั้งใจจับจอง
ผมรู้จัก “จ้อ” มานาน แม้นหลังๆอาจจะไม่ค่อยได้คุย กันจนมารู้ความว่า น้องแต่งงานมีศรีภรรยาที่น่ารักเป็นที่เรียบร้อย แถมใช้ชีวิตไม่ไกลจากบ้านผมนัก
จ้อ บอกกับผมว่า เขามองหารถยนต์อเนกประสงค์ขนาดไม่ใหญ่มาก สำหรับใช้กับภรรยาสองคน จุดประสงค์หลัก คือเทิรนรถ Toyota Camry คันเก่ามรดกตกทอดของเขา ไปสู่รถคันใหม่ เตรียมพร้อมสำหรับคนที่จะมาในอนาคต จ้อทำงานในการไฟฟ้า และไม่ไกลจากบ้านมากมายนัก วันๆ แทบจะวิ่งวนบ้านที่ทำงาน ในระยะทางไม่เกิน 20 กิโลเมตร
ตอนแรกที่น้องบอกสนใจ Toyota C- HR ผมเห็นด้วยและให้ตัวเลือกอื่นเผื่อตัดสินใจเป็นทางเลือกบ้าง ผ่านไปสักสัปดาห์เศษ จ้อโทรกลับมาคุยกับผมว่า เขาคงไม่เลือกรถคันนี้ ผมรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของจ้อเล็กน้อย เขาอธิบายเหตุผลให้ผมฟัง จนผมเองก็รู้สึกประหลาดใจในความคิด หากก็ไม่แปลก เนื่องจากต่างคนต่างความคิดในการใช้รถ
และมันประจวบเหมาะพอดีกับที่ผมมีโอกาสจับเจ้า Toyota C-HR มาขับอีกครั้งในภาวะการณ์ใช้งานจริง
ตั้งแต่เปิดตัวออกมา Toyota C-HR เป็นรถที่คนชื่นชอบมาก เนื่องจากมันคือรถโตโยต้าที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยมีมาจากค่ายรถยนต์สามห่วง แสดงถึงความตั้งใจในการพลิกฟื้นแบรนด์อีกครั้ง หลังจากตระกูลโตโยดะ กลับมาครองตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของโตโยต้า
แนวคิดการพัฒนารถยนต์อเนกประสงค์เล็กมีมาสักระยะใหญ่ในแบรนด์ โตโยต้า หลังจากคู่แข่งอย่างฮอนด้าปล่อย HR-V ออกมาและขายได้ดีทั่วโลก ตอกย้ำว่าตลาดกลุ่มนี้มีความต้องการมาก และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โตโยต้าจึงไม่รอช้าในการเดินหน้าเข้าทำตลาดรถยนต์กลุ่มนี้โดยไว
ด้วยความมาช้ากว่าคู่แข้งในตลาด โตโยต้าต้องสร้างความแตกต่างในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของพวกเขา หน้าที่การออกแบบรถยนต์คันนี้ตกเป็นของสตูดิโอการออกแบบในแคลิฟอร์เนีย Calthy Design Research ได้รับความไว้วางใจในการสร้างที่สุดรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาวางขายในแบบที่ไม่เหมือนใคร
โจทย์ของโตโยต้า พวกเขาไม่ต้องการแค่มีอเนกประสงค์อีกคัน พวกเขาต้องการอะไรมากกว่านั้น มองย้อนกลับไปในช่วงปี 2010 ยุครุ่งเรืองของ Nissan Juke โตโยต้าเริ่มเรียนรู้ว่ารถยนต์ที่มีการออกแบบที่ดีจะได้รับความสนใจ และยิ่งความเป็นปัจเจกจะได้รับความสนใจเป็นสองเท่า แนวความคิดดังกล่าวยิ่งตอกย้ำในความพยายามในการเรียนรู้หลังจากจับมือกับมาสด้าในหลายเรื่อง
รถอเนกประสงค์เล็กใหม่ของ Toyota จึงต้องฉีกทุกสิ่งที่ Toyota เคยทำมา และความคิดสุดโต่งดังกล่าวส่งเสริมโดย Calthy Studio จนในงาน Frankfurt Motorshow 2015 Toyota ได้เผยโฉมรถต้นแบบที่ใช้ชื่อว่า Toyota C-HR Concept ออกมา
อเนกประสงค์ลุคทันสมัยฉีกทุกสิ่งก่อนหน้านี้ของโตโยต้า โดยเฉพาะหน้าตาที่เชยระเบิด ในบรรดารถรุ่นก่อนยุคปัจจุบัน การเปิดตัวดังกล่าวทำเอาสาวกตื่นเต้นที่จะเห็นรถรุ่นนี้มาทำตลาดจริง ๆในที่สุด 2 ปี หลังจากเปิดตัวออกมาโตโยต้า ก็เริ่มวางขายรถรุ่นนี้ในยุโรปในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2016 ก่อนจะวางขายในบ้านเกิด ,ญี่ปุ่น, ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน
ก่อนพวกเขาจะเริ่มส่งรถเข้าขายในหลายตลาดทั่วโลก การโชว์ตัวในอาเซียนเริ่มที่ประเทศสิงคโปรเป็นที่แรก ตามมาด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย และท้ายสุด ปลายปี 2017 ในงาน มอเตอร์เอ็กซ์โปที่ประเทศไทย ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการแบบไม่มีงานอร่างฉ่างนักในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
แม้นจะเปิดตัวแบบเงียบๆ แต่กระแสความสนใจ Toyota C-HR ไม่มีตกจากความสนใจของคนที่กำลังมองหาอเนกประสงค์ มันเป็นรถจากโตโยต้ารุ่นแรก ที่หลายคนเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เหมือน โตโยต้าที่ผ่านมา
สำหรับผม ย้อนไปในเดือนตุลาคมปีกลาย ตอนไปงาน Tokyo Motor Show 2017 ผมถือโอกาสเที่ยวพักผ่อนในญี่ปุ่นด้วยการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นตามภาษาคนชอบและบ้ารถยนต์
Toyota C-HR เป็นรถที่เห็นบ่อยมากในท้องถนน มันเป็นรถงามสง่ายามขับขี่ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นจะมีเวอร์ชั่นแต่งจัดเต็มจากโรงงาน อาทิ Modelista แบบเดียวกับที่มาโชว์ในประเทศไทยเมื่องานมอเตอร์โชว์ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของเวอร์ชั่น TRD และอื่นๆ อีกมาก จนคิดเหมือนกันว่าเมื่อไร เราจะมีโอกาสลองขับรถรุ่นนี้สักที
ในที่สุดวันหนึ่งระหว่างขับรถกลับบ้าน ,แอม หนึ่งในทีมงาน Toyota โทรเชื้อเชิญไปขับ Toyota C-HR ไปยังบุรีรัมย์ เพื่อร่วมงานกิจกรรมของลูกค้า ก่อนเราจะไปขับในสนามช้างเรียกน้ำย่อยพอหอมปากหอมคอ การทดสอบกลุ่มงวดนั้น ทำให้ผมสัมผัสในความไม่ธรรมดาของโตโยต้า ซีเอช อาร์ อยู่บ้า งหากด้วยข้อจำกัด ทำให้ในที่สุดต้องจับมันมาขับอีกครั้ง
พบหน้าครั้งนี้ Toyota C-HR ยังคงสะกดใจผมได้เหมือนเคยด้วยเส้นสายการออกแบบโยนทุกอย่างของความเป็นโตโยต้าเดิมทิ้งไป แล้วเริ่มจรดปากกาให้เส้นสายงานออกแบบอันทันสมัยตั้งแต่แรกเห็น
จุดเด่นที่ทางทีมออกแบบ Calthy Studio ต้องการสื่อออกมาให้ชัดแจ้งมากขึ้นในเส้นสายลายตัวถัง หนีไม่พ้นความโฉบเฉี่ยวปราดเปรียว ดูทันสมัยและเปี่ยมด้วยความคล่องแคล้วในการขับขี่ดูกระฉับเฉง และที่สำคัญสุดรถต้องดูสปอร์ต นั่นจึงเป็นที่มาขอชื่อรุ่น C-HR มันย่อมาจากคำว่า Coupe High Rider หรือแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า “รถสปอร์ตคูเป้ยกสูง”
ความแน่วแน่ในการออกแบบ ทีมออกแบบพวกเขาได้ให้รายละเอียดที่น่าสนใจเริ่มจากไฟหน้าที่มีขนาดใหญ่โฉบเฉี่ยว ทุกรุ่นมาพร้อมกับโคมไฟโปรเจคเตอร์ ในรุ่นไฮบริดที่นำมาขับในวันนี้ ได้ไฟหน้า LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ ยามกลางวันสวยงามมากขึ้น ด้วยไฟ Day Time Running Light แบบเส้น Light Guide มรายละเอียดเส้นสายงานศิลป์ให้ตัวรถ มากขึ้น
ด้านข้างลงตัวด้วยทรงรถดูเป็นคูเป้ ประตูหลังซ่อนมือจับอย่างแนบเนียนไว้ที่ด้านบนของประตูหลัง ขัดใจก็แต่ล้ออัลลอยสีเทาขอบ 17 ดูบ้านๆ ไม่ซิ่งเหมือนทรวดทรงตัวรถที่ออกจะทันสมัย ราวกับวัยรุ่นแต่งตัวมาดเนี้ยบ ทว่ากลับใส่รองเท้าที่ดูเก่าไปหน่อยไม่เข้ากับสไตล์ตัวเอง
ส่วนบั้นท้ายลงตัวด้วยการออกแบบทรงแอบกึ่งท้ายลาดบนหลังคาติดตั้งชุดสปอร์ยเลอร์หลังคามาให้เสร็จสรรพ แถมที่ฝาท้ายยังมีตูดเป็ดเพิ่มความงามลงตัวกับไฟท้าย LED ก่อนเพิ่มสีสันด้วยโทนสีจี๊ดจ๊าดมีให้เลือกในรุ่นไฮบริดเท่านั้นสำหรับใครต้องตัวสีทูโทน มีทั้งสีน้ำเงินแบบที่เราได้มาวันนี้ และยังมีสีแดง-ดำ,เขียวมิ้นดำ และสีเทา-ดำ ให้เลือกตามความชอบด้วย
จับกุญแจวันนี้สัมผัสรถเปิดได้อย่างไว โตโยต้า ซีเอชอาร์ พร้อมให้เราพาเที่ยวแล้ว , เมื่อเปิดประตูก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารหย่อนตัวลงบนเบาะนั่งขนาดใหญ่นั่งสบายปรับด้วยมือ ทั้งฝั่งคนขับและคนนั่งเราเสมอกันไม่มีใครอภิสิทธิ์มากกว่า เหลียวมองด้านหลัง ดูแล้วประตูบานทึบขนาดใหญ่ทำให้ดูนั่งไม่น่าสบายนัก
หากอย่างให้เพียงสายตามาบอกคุณว่าอะไรเป็นไร ถ้าคุณมีโอกาสนั่งหลัง Toyota C-HR จะรู้ว่าเบาะนั่งหลังของมันไม่เป็นสองรองใครในตลาด ท่านั่ง ปรับเตี้ยลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเบาะตอนหน้า ท่าทางการนั่งมีอารมณ์คล้าย Dog Seat ในรถสปอร์ตคูเป้ แต่มีพื้นที่โดยสารมากกว่า
เบาะนั่งแถวหลังไม่มีที่เท้าแขนมาให้ แถมไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรมากให้เลย ไม่แม้กระทั่งช่องแอร์หรือช่องเสียง USB นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ดังให้คนนั่งตอนหลัง C-HR หรือใครที่กำลังมองรถรุ่นนี้แล้วคิดว่าจะต้องเอาพ่อตาแม่ยายนั่งไปด้วยในวันที่ต้องพากันไปเที่ยว รีบเปลี่ยนใจทันที
ประตูหลังสูงและหน้าต่างที่หดเล็ก ประกอบกับการตบแต่งภายในสีดำ ทำให้คนนั่งหลังรู้สึกอึดอัดคับแคบ ทังที่ความจริงตัวรถก็ยาวไม่ต่างจากคู่แข่งด้วยความยาว 4,360 มม. กว้าง 1,795 มม. และสูง 1,565 มม.
คุณอาจรู้สึกว่ามันไม่กว้า งแต่ผมลองปรับเบาะฝั่งคนขับในท่าที่ผมนั่ง แล้วกลับออกไปนั่งหลัง ก็นั่งได้สบายมาก ติดเพียงความรู้สึกอึดอัด จากประตูขอบสูงเท่านั้น เมื่อพับเบาะลงทั้งหมด มันใหญ่พอจะใส่จักรยานเสือหมอบขนาด 54 ได้สบายไร้ปัญหา
ดังนั้นถ้าสรุป เรื่องที่นั่งเบาะหลัง คงต้องกล่าวว่า มันมีพื้นที่โดยสารมากพอ แต่รู้สึกแคบจากวิธีการออกแบบภายในห้องโดยสารและตัวรถ
ด้านงานออกแบบ ภายในห้องโดยสาร รู้สึกถึงคุณภาพวัสดุที่ดูดีขึ้นเมื่อเทียบกับรถยนต์ Toyota หลายรุ่นก่อนหน้า แถมการออกแบบในห้องโดยสารก็สอดรับกับภายนอก ด้วยการตบแต่งโทนสีดำ ดูมีความเหมาะสมในสไตล์สปอร์ต ตรงหน้าคนขับให้เรือนไมล์เข็มพร้อมจอแสดงข้อมูลอัจฉริยะ น่าเสียดายที่โตโยต้าไม่ยกเอาโปรแกรมหน้าจออัจฉริยะภาษาไทย จาก โตโยต้ารีโว่มาบรรจุในระบบจอรุ่นนี้ ไม่งั้นเรียกว่าแทบจะสมบูรณ์แบบในการใช้งาน แม้ว่าจะยังดูธรรมดาไปหน่อย จากเรือนไมล์แบบเข็ม
ถัดออกมาเป็นชุดพวงมาลัย 3ก้านใหม่ ผมเรียกมันว่า “ทรงแบทแมน” เนื่องจากตรงกลางพวงมาลัยมีความโค้งเล็กน้อย วงพวงมาลัยออกมาในแบบรถสปอร์ตวงเล็กไม่ตัดตูดแบบหลายคนที่ชอบเอาทรง D Shape มาใส่ ฝั่งซ้ายเป็นชุดปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงตรงกลางคอนโซลหน้า ฝั่งขวาเป็นการควบคุมจอแสดงผลในเรือนไมล์
จะว่าไปเจ้าจอในเรือนไมล์นี่ข้อมูลเยอะมาก ไม่ว่าจะระยะทางเหลือ , ระยะทางเฉลี่ย อัตราประหยัดน้ำมัน , ข้อมูลการใช้คันเร่ง ณ ปัจจุบัน , รุ่นไฮบริดมี หน้าจอแสดงการทำงานของระบบไฮบริด แถมคุณยังเลื่อนเปลี่ยนดู ข้อมูลอื่น ๆ ได้อีกมากมายตามต้องการ หรือจะเซทการทำงานตัวรถคร่าวๆ ก็ได้
ถัดลงมาเป็นปุ่มควบคุมระบบความปลอดภัยบางส่วนในชุด Toyota Safety Sense P. ได้แก่การเปิด-ปิด ระบบ Lane Departure with Steering Assisted และ ควบคุมระยะห่างของระบบ Dynamic Radar Cruise Control น่าแปลกที่แม้นรถจะทันสมัยมากมาย หากโตโยต้าก็ยังไม่ละเลิกความพยายามในการจัดระเบียบชุดสวิทย์ระบบควบคุมอัตโนมัติ Cruise Control เป็นสวิทช์ก้านแยกซ่อนหลังพวงมาลัย ทำเอารถดูแปลกไปเลยในความรู้สึก แถมสวิทช์บางระบบกลับอยู่กระจัดกระจายกัน อาทิ ระบบไฟสูงอัตโนมัติมาอยู่ทางขวา กลับกัน สวิทช์ปิดการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัวไปอยู่ที่คอนโซลกลาง พาเราเกาหัวในความคิดของนักออกแบบภายใน
ตรงกลางชุดเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส 7 นิ้ววางตระหง่านเอาไว้ให้เห็นกันชัดๆ หน้าตาหน้าจอนี้คล้ายๆ กับของ Toyota Yaris Ativ มาพร้อมลำโพง 6 จุด ทั่วห้องโดยสาร
เปรียบเทียบคุณภาพเสียงกับอีโค่คาร์ ดูเหมือน Toyota C-HR จะด้อยกว่าเล็กน้อย อาจด้วยมิติห้องโดยสารที่ใหญ่กว่า Ativ พอสมควร หากเรื่องคุณภาพเสียง เบส, กลางและแหลม ยังครบ มากพอที่คุณจะเปิดเสียงดังๆ แล้วมันส์โยกย้ายในรถคนเดียวถ้าต้องการ
ความล้ำสมัยในชุดจอของ C -HR ยังไม่จบแค่นี้ งวดนี้ทางโตโยต้าให้ระบบเชื่อมต่อศูนย์บริการข้อมูล Toyota T Connect มาด้วย
ระบบ Toyota T Connect ก็คล้ายๆ กับของหลายๆ ค่ายที่ออกระบบเชื่อมต่อภายในรถยนต์มาให้ คุณสามารถใช้งานในการขอข้อมูล , ขอความช่วยเหลือในระหว่างการขับขี่ ได้ โดยไม่ต้องมายกหูโทรศัพท์ให้วุ่นวาย เพียงกดหน้าจอแล้วเลือกที่เป็นรูปหูฟังระบบติดต่อศูนย์บริการทันที
โดยนอกจากนี้ยังสามารถแสดงข้อมูลเส้นทางผ่านระบบนำทางในตัว พร้อมกับแผนที่การจราจรอัพเดท ณ เวลาจริง ตลอดการขับขี่ ถามผม รู้สึกว่าเจ้าแผนที่การจราจรนี่ บางทีก็น่ารำคาญเหมือนกัน โดยเฉพาะการกระพริบอัพเดทข้อมูล ทำให้เสียสมาธิในการขับขี่
แต่ผมมีข่าวดี สำหรับคนติดโซเชี่ยลทั้งหลาย เพราะเจ้าฟอนท์ของโตโยต้าชุดนี้สามารถปล่อยสัญญาณ Wifi ภายในรถได้ เท่าที่ลองใช้มันเร็วใช้ได้ในระดับที่น่าพอใจ
ถัดลงมาเป็นปุ่มระบบปรับอากาศอัตโนมัติสามารถแยกอิสระซ้ายขวาได้ แต่เวลาสตาร์ทรถครั้งแรกต้องทำใจหน่อยว่ามันทำงานช้าสักนิด แถมยังมาพร้อมระบบปล่อยประจุบวก Nanoe น่าจะถูกใจคนรักสุขภาพไม่น้อย
หมดด้านบนก็มาต่อกันตรงกลางกับคันเกียร์ออโต้ ทางทีมออกแบบพยายามทำให้มันดูสปอร์ตด้วยความสั้นเล็กไปสักหน่อย ทำให้เวลาใช้งานไม่สะดวกมือนัก ถึงจะพูดว่าเราไม่ได้ต้องเปลี่ยนเกียร์กันบ่อย ๆ หากในความเป็นจริงเมื่อคุณขับขี่ในชีวิตจริง บางครั้งเราอาจจะวางแก้วน้ำ – แก้วกาแฟ ไว้ในช่วงวางแก้วน้ำที่อยู่ถัดจากคันเกียร์ ความเตี้ยของมันทำให้ใช้งานไม่สะดวกนัก เมื่อมีแก้วน้ำ ส่งผลต่อการขับขี่บ้างในจังหวะ
กดปุ่มสตาร์ท ,ขุมพลังไฮบริดเริ่มการทำงานอย่างเงียบเชียบ จนบางคนอาจไม่รู้ว่าสรุปนี่รถสตาร์ทแล้วใช่หรือไม่
ใต้เรือนร่างสปอร์ตทันสมัย Toyota C-HR รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด ยกเอาขุมพลังของ Toyota Prius ใหม่ที่ยังไม่เข้าเมืองไทยมาประจำการ เครื่องยนต์รหัส 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร ให้กำลังจริงเพียง 98 ps สูงสุด ที่ 5,200 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร สูงสุดที่ 3,600 รอบต่อนาที
พ่วงเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 53 กิโลวัตต์ เทียบเท่า 72 Ps เมื่อเปรียบกับกำลังเครื่องยนต์ มันให้แรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร ส่งกำลังบำรุงด้วยแบตเตอร์รี่ลิเธียม เมทัลไฮดราย 163 เซลล์ 28 โมดูล แต่เมื่อขับกำลังรวมกลับให้เพียง 122 PS เท่านั้น
ถ้าคุณคิดว่า Toyota C-HR Hybrid น่าจะแรงคุณคิดไม่ผิด แต่นั่นเพียงแค่ช่วงออกตัวเท่านั้น การถีบตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วสานต่อการขับด้วยเครื่องยนต์เมื่อทำความเร็วให้ความรู้สึกที่ดูกระฉับกระเฉงไม่อืดอาด ที่ผมชอบที่สุดคือ เสียงตอนออกตัวโคตรอวกาศ แบบรถอนาคตตัวจริงของแท้
ระบบไฮบริดมีดีในช่วงการขับขี่ในเมือง การจราจรติดขัดไหลตามคนอื่นในความเร็วต่ำ ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้ทำงานบ่อยครั้ง แถมระบบไฮบริดเจนเนอร์เรชั่นใหม่ของโตโยต้ามีการปรับปรุงหลายส่วน โดยเฉพาะตัวชุดขับในเกียร์ที่ปรับการส่งถ่ายกำลังเนียนขึ้น
คุณจะไม่รู้สึกเวลาเครื่องยนต์ตัดต่อกำลังทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ท่ามกลางการจราจรคนกรุงที่ขับเบรก ไฟแดง รถติดสารพัน ระบบไฮบริดเป็นลูกเล่นค่อนข้างถูกจริตมาก แทบจะกว่าร้อยละ 60 ของการขับในเมือง ผมใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทบตลอดการเดินทาง วิ่งในโหมดไฟฟ้าล้วนๆ
บางครั้งบางคราวเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอร์รี่ต่ำเครื่องยนต์จึงจะทำหน้าที่ติดขึ้นมาปั่นไฟฟ้าชาร์จแบตเตอร์รี่ให้บ้าง หากแบตเตอร์รี่อยู่ในระดับต่ำมาก เครื่องยนต์จะเดินเครื่องประมาณ 2-3 นาที แล้วดับลงไป ให้คุณขับด้วยไฟฟ้าต่อ หรือ แบตเตอร์รี่อยู่ในระดับต่ำอีกครั้ง
ในการใช้งานในเมือง ผมพบว่า ในการถอยหลังเข้าจอด ด้วยทรวดรงที่ออกแบบมาให้คล้ายสปอร์ตคูเป้ ทำให้ทัศนวิสัยทางด้านการมองหลังแคบ และเสาหลัง (เสา C ) ที่มีความหน้า บดบังทัศวิสัยในการมอง โดยเฉพาะใครที่นิสัยแบบผม ติดหันมองหลังเวลาถอยรถ
นอกจากนี้ทัศนวิสัยทางด้านข้างคนขับ ยังถูกบดบังด้วยพลาสติกที่เสาบี ทำให้เวลาคุณต้องการจะพุ่งออกไปยังเลนข้างในระยะกระชั้นชิด แล้วต้องการมองให้แน่ใจ อาจเกิดความหวั่นใจไม่น้อย
ที่สำคัญกล้องมองหลังแม้นจะมีมาให้ใช้ ก็ใช่ว่าคุณภาพจะดีมากจนวางใจได้ โดยเฉพาะเวลาถอยจอดในยามค่ำคืน กล้องจะดรอปคุณภาพลง สมควรจะต้องมองด้วยสายตาอย่างละเอียดอีกครั้ง ยังดีที่ Toyota C-HR เป็นรถที่มีขนาดสั้นเพียง 4.3 เมตร และมีระยะยืน หรือ Overhang สั้นมาก ทำให้มีความคล่องตัวในการควบคุมยามเข้าจอด หรือผ่านการจราจร ช่วยลดอุปสรรคในการใช้งานไปได้บ้าง
และเมื่อมาถึงบทสรุปการขับใช้งานในเมือง เครื่องยนต์ไฮบริดแสดงอภินิหารรถอเนกประสงค์ก็ประหยัดได้ให้ดู ผมขับทดสอบในเมืองไปกว่า 169.4 กิโลเมตร เติมน้ำมันเพียง 9.832 ลิตร เท่านั้น สรุปอัตราประหยัดในเมืองเคาะตัวเลขได้ 17.22 ก.ม./ลิตร ในสภาวะการใช้งานจริง
(การทดสอบในมือง นั่งสองคน พร้อมจักรยานเสือหมอบ 2 คัน)
เกิดเป็นอเนกประสงค์ คนส่วนใหญ่คงต้องการใช้ขับเดินทางไกลอย่างแน่นอน เป้าหมายปลายทางเราวันนี้ อยู่ที่ปราณบุรี ดินแดนทะเลสวย 200 กว่ากิโลเมตรจากกรุงเทพ สำหรับรถไฮบริดพกความประหยัด ก็เรียกว่าสมน้ำสมเนื้อ …
ออกเดินทางด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลเต็มถังจากกรุงเทพ เมื่อวิ่งด้วยความเร็ว มอเตอร์ไฟฟ้าจะลดบทบาทในการทำงานลง และเป็นเครื่องยนต์เข้ามารับช่วงต่อมากขึ้น ระหว่างทางเครื่องยนต์จะทำงานทั้งให้กำลังขับ และปั่นไฟฟ้าไปพร้อมกัน ในจังหวะออกตัวจากไฟแดง หรือเร่งแซง มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยในการขับขี่ เพิ่มกำลังขับชั่วคราว ตลอดจนคุณยังสามารถขับด้วยไฟฟ้าล้วนหรือ EV ได้สูงสุดที่ 110 ก.ม./ช.ม. จากที่เราเห็น
ช่วงขับนอกเมือง Toyota C-HR โชว์ศักยภาพความนิ่งในการขับขี่ ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณโครงสร้างใหม่ล่าสุด TNGA Platform มันเหมือนโตโยต้ลงโปรแกรมวินโดวส์รุ่นใหม่ให้กับเจ้าอเนกประสงค์น้องน้อยคันนี้ ตัวรถได้โครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น มีการซับแรงกระเทือนจากถนนดีกว่าเดิม รวมถึงยังปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ
เมื่อประกอบเข้ากับช่วงล่างทางด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และ ช่วงหลังแบบปีกนกอิสระสองชั้น มาพร้อมเหล็กกันโคลงตัว ทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง มันกลายเป็นรถที่ขับได้อย่างมั่นใจเกินราคาขายมาก
Toyota กลายเป็นค่ายพิชิตสูตรสำเร็จการสร้างอเนกประสงค์ขับเคลื่อนสองล้อที่พกความสนุกสนานในการขับขี่ ไม่ว่าจะในยามมุดไปตามการจราจร การโคลงตัวระหว่างเปลี่ยนเลนไม่มีคำว่าน่ากลัว ให้รู้สึกใจหวิว พิสูจน์ได้จากอาการคนนั่งข้าง ที่นั่งสบายดูทางและการจราจรไปเรื่อย ส่วนหนึ่งมาจากระยะความสูงต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถที่สูงเพียง 154 มม. มันอาจมีระยะความสูงจากพื้นเตี้ยกว่า Honda HR-V และ Honda BR-V ที่อาจะเดินทางลุยอย่างสมบุกสมบันดีกว่า
หากก็แลกด้วยความสามารถในการขับขี่บนถนนที่ดีกว่า และเข้าโค้งดีกว่า ยิ่งถ้าคุณขับจนชินอาการรถแล้วโค้ง สามารถเข้าด้วยความเร็ว 120 ก.ม./ช.ม. สบายๆ และถ้าใจกล้ามากพอ คุณสามารถเข้าโค้งได้ใกล้เคียง หรือ เอาชนะรถขับเคลื่อนสี่ล้ออย่าง Subaru * ได้ (*ขึ้นอยู่กับฝีมือและทักษะของผู้ขับขี่ด้วย การกระทำลอกเลียนแบบใดๆ ตามบทความ ทางทีมงาน Ridebuster.com เป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคลต่อการขับขี่)
* เพื่อความเข้าใจในระบบขับเคลื่อน สี่ล้อแบบ AWD มากขึ้น กรุณ อ่าน บทความนี้
ผมถึงปราณบุรี พร้อมด้วยระยะทางการขับขี่ 273 ก.ม. เหลือขับได้ 391 ก.ม. นำจับมารวมแล้วหารด้วยขนาดถังน้ำมันของรถ โดยระหว่างทางขับด้วยความเร็ว 100-130 ก.ม./ช.ม. มาใช้ความเร็ว 130 ก.ม./ช.ม ในช่วงปลายๆ บายพาสหัวหินแล้ว ได้อัตราประหยัด 15.44 ก.ม./ลิตร
สรุป Toyota C-HR 1.8 Hybrid HV Hi ครบเครื่องน่าใช้ … มากกว่าที่คิด
เมื่อกลับมานึกถึง บทสนทนาระหว่างผมกับ “จ้อ” ในโทรศัพท์ ถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจตัดเจ้า Toyota C-HR ออกจากตัวเลือก พร้อมตอบคำถามว่ากลุ่มคนที่จะซื้อมันน่าจะเป็นใคร
ในมุมหนึ่ง Toyota C-HR เป็นรถที่สวยงามออกแบบมาดีเกินราคาขาย สิ่งที่ผมชอบมากตามภาษาคนชอบรถบ้าแต่งรถ คือทรวดทรงที่ออกในทางคูเป้กึ่งท้ายลาด เป็นทรวดทรงที่คุณยังไม่เคยเห็นในรถคันอื่น ทรงมันดูประหลาดล้ำราวกับหลุดออกมาจากยุคอวกาศในอนาคต
สิ่งเดียวที่ดูจะขวางหูขวางตาคือล้อแม็กลายคล้ายพรีอุสรุ่นก่อน แถมยังเป็นสีเทา ดูบ้านๆ จนผมชอบแซวกับเพื่อนๆ สื่อบางคนว่า อ่อ แม็กเขาเหลือในสต๊อกเยอะ เลยเอามาใส่ไปก่อน … อย่างน้อยก็ดีกว่าใส่ล้อกระทะมาให้ลูกค้า รวมถึง เจ้ายางประหยัด Dunlop Enasave คู่หูคู่ฮามาพร้อมกัน ยังขัดขวางล็อคสมรรถนะที่แท้จริงของรถในการขับขี่เอาไว้ มันชอบร้องลั่นเมื่อคุณเข้าโค้งแคบเกิน 80 ก.ม./ชม. โดยเฉพาะในโค้งหักศอก ทำเอาหลายคนไม่กล้าเข้าโค้งเร็ว ทั้งที่ความจริงรถมีความสามารถมากกว่านั้นมาก
ส่วนด้านในห้องโดยสาร การจัดวางปุ่มความปลอดภัย ส่วนตัวผมว่ามันดูกระจัดกระจายไปหน่อย อาจจะมองถึงการใช้งานจริงระหว่างขับขี่ด้วยส่วนหนึ่ง แต่อย่างปุ่มระบบควบคุมการทรงตัว มาอยู่ตรงกลางรู้สึกว่ามันประหลาดไปหน่อย แถมหน้าจอแสดงข้อมูล ไหน ๆจะชูภาษาไทยใน Toyota Revo มาแล้วกลับไม่ได้รับการถ่ายทอดสู่รุ่นนี้ ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
ตอนคุยกับจ้อ เขาเล่าว่า การตัดสินใจตัดตัวเลือกของเขา เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์เขาบินไปเที่ยวกับครอบครัวที่เชียงใหม่ โดยมี เขา แฟน และแม่แฟน ขับขึ้นดอย เที่ยวกันท่ามกลางวันหยุดยาว ผลปรากฏว่า ตลอดทางเขาโดนคำติจากแม่ยายพอสมควร เรื่องการนั่งโดยสารตอนหลัง พอสลับให้แฟนไปนั่งก็โดนบ่นเช่นกัน
ผมไม่แปลกใจเรื่องดังกล่าวนัก เนื่องจากประตูหลัง Toyota C-HR สูงถึงระดับสายตา เพื่อทำให้รถดูทรงคล้ายคูเป้ กลายเป็นหอกข้างแคร่ในเรื่องการโดยสารที่อาจจะรู้สึกอึดอัด เมื่อบวกกับการตบแต่งภายในโทนดำ และตัวรถที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ทำให้คนอาจสัมผัสได้ถึงความคับแคบในการโดยสาร แถมขาดพนักเท้าแขน และไม่มีลูกเล่นอะไรเลย เช่นช่องเสียบ USB หรือช่องแอร์ คนจึงจดจ่อกับความรู้สึกว่าไม่สบายในการโดยสาร
ดังนั้นจากข้างต้นผมตีโจทย์คนซื้อ Toyota C-HR น่าจะเป็นกลุ่มคนเดียวกับ Juke ด้วยปัจจัยหลายประการ ทั้งการออกแบบขนาดตัวรถ และลักษณะในการใช้งานโดยทั่วไป ซึ่งไม่เน้นการโดยสารตอนหลังบ่อยมาก หรือเป็นการโดยสารเพียงระยะสั้น เช่นออกจากมหาวิทยาลัย แวะส่งเพื่อนไปรถเมล์หน้า ม. หรือไปเที่ยวระยะเดินทางสั้นๆ จอดบ่อยครั้ง
แต่ถ้าคุณตีว่ารถนั่งไม่สบายคุณผิดถนัด เพราะผมสูง 180 ซ.ม. สามารถนั่งในท่าที่ปรับเบาะในการขับขี่เอาไว้ได้ รวมถึงเมื่อพับเบาะนั่ง Toyota C-HR มีพื้นที่มากพอวางนอนจักรยานขนาด 54 ได้ มันไม่ได้แคบอย่างที่หลายคนอาจจะมองจากภายนอก ว่ามันดูเล็กไม่น่าจะใช้งานได้ดี
ส่วนเรื่องการขับขี่ มันกลายเป็นโตโยต้ารุ่นแรกที่ผมขอออกปากชม การเซทช่วงล่างรถคันนี้จบโดยสิ้นเชิง เป็นรถที่ตอบสนองในการเข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลนได้ดี ยิ่งขับยิ่งชอบ มันสนุกมาก
ด้านเครื่องยนต์ไฮบริด ผมอยากให้คุณคิดถึงความประหยัดมากกว่าสมรรถนะ เนื่องจากกำลังรวมระบบเพียง 122 PS เท่านั้น ไม่ได้มากกว่ากำลังจากบล็อก 1500 ซีซี ก็จริง ถึงกระนั้นก็สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. เฉลี่ยได้ 11.99 วินาที และ 80-120 ก.ม./ช.ม. ได้ 9.6 วินาที รวมถึงทำความเร็วสูงสุด 182 ก.ม./ช.ม.
หากคุณก็อย่าคิดไปซ่ากับบรรดารถเครื่อง 1.8 หรือ 2.0 ลิตร ทั่วไป เราอาจออกตัวดีกว่า ถ้าคุณแบตเตอร์รี่มาก แต่ในช่วงรอบเครื่องกลาง เกียร์ 3- 4 เขาจะแซงคุณได้สบาย เนื่องจากกำลังสูงสุดเครื่อง 1.8 ลิตร ตอนนี้อยู่ที่เฉลี่ย 140 แรงม้า อย่างของ Toyota C-HR รุ่นธรรมดา ก็อยู่ที่ 140 แรงม้า จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมบางคนอาจจะมาบอกคุณว่าเล่นรุ่นธรรมดาดีกว่า ถ้าคิดจะรักแรง
กลับกันถ้าคุณมองหารถขับประหยัด โดยเฉพาะใช้งานในเมืองบ่อยครั้ง รุ่นไฮบริดนับเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคุณ มันขับประหยัดได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง เรื่องการใช้งานไม่ยุ่งยากและมีการรับประกันจากโตโยต้าที่ยาวนาน แถมเครื่องยนต์ตัวนี้เป็นบล็อกใหม่ และเทียบในปัจจุบัน มันเป็นรถไฮบริดที่ถูกที่สุดอีกด้วย
นาทีนี้ผมนั่งเขียนรีวิว ก่อนจะนำรถไปคืน Toyota มันเป็นรถที่มาพร้อมความประทับใจในการขับขี่อย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดเดือนเองยังรู้สึกเหมือนกันว่า Toyota C-HR คือรถพลิกความเชื่อมั่นใน Toyota
ใช่ มันอาจเป็นรถที่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ผมไม่แปลกใจเท่าไร สิ่งที่น้องจ้อคิด มันคือความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปตามความต้องการ สำหรับเขาอาจต้องการความสบาย เนื่องจากที่บ้านมีผู้ใหญ่และต้องการพาเดินทาง ครั้นจะให้นั่งหลังทึบ ดูจะไม่สบายนัก
ผมมองว่า C-HR เป็นรถที่เหมาะกับคนหนุ่มสาว หนุ่มที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือเพิ่งจะมีครอบครัว ยังไม่มีลูก หรือมีลูกยังเล็ก ต้องการรถที่ดูดีมีภาพลักษณ์ทันสมัย หรืออยากออกรถที่ดูแปลกตา แต่ต้องการแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
Toyota C-HR คือรถคันนั้น
สรุป การทดสอบ Toyota C-HR 1.8 Hybrid HV Hi
สิ่งที่ชอบ >>> การออกแบบที่แปลกตา สมรรถนะการขับขี่ที่ลงตัว ในทุกด้าน เป็นรถโตดยต้ารุ่นแรกทีขับดีเหนือกว่าที่เคยขับมาทั้งหมด
สิ่งที่ไม่ชอบ >> การนั่งหลังที่ทึบทำให้ดูแคบ รู้สึกนั่งไม่สบาย ไม่มีลูกเล่นอะไรในการนั่งมากมายนัก ,รวมถึงล้อสีเทาธรรมดา และยางประหยัด ดูขัดกับรถมากมาย
สิ่งที่อยากให้มี >> ช่องเสียบ USB เพิ่มเติมจากปัจจุบัน ช่องแอร์หลัง และภายในสีเบจ น่าจะช่วยเพิ่มความรู้สึกคับแคบได้ หรืออย่างน้อยต้องทูโทน
คำแนะนำสำหรับผู้ซื้อ >> Toyota CH-R เป็นรถที่ดีรุ่นหนึ่งในตลาด แต่เราอยากให้คุณมั่นใจว่า คุณจะไม่มีคนแก้โดยสารตอนหลังบ่อยนัก เพราะมันรู้สึกถึงความคับแคบในห้องโดยสาร นอกนั้นครบครันฟังชันตามต้องการ
สรุปอัตราประหยัด
ในเมือง 17.22 ก.ม./ลิตร
นอกเมือง 15.44 ก.ม./ลิตร
เรื่องโดย ณัฐยศ ชูบรรจง นักทดสอบรถยนต์ และ คอลัมนิสต์ เว็บไซต์ Ridebuster.com ติดตามผลงานการเขียน และข้อมูลที่น่าสนใจได้ทาง Facebook
ติดตามข่าวสารและบทความดีๆ จากพวกเรา Ridebuster.com
[ngg_images source=”galleries” container_ids=”575″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”1″ thumbnail_width=”200″ thumbnail_height=”160″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”20″ number_of_columns=”3″ ajax_pagination=”1″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”0″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”sortorder” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]