ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ซูบารุ เข้ามายืนในตลาด ในฐานผู้ผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ในประเทศไทยอีกแบรนด์ หลังจากเดิมที ใช้การนำเข้าจาก ญี่ปุ่น และ มาเลเซีย โดยรถรุ่นแรกที่ผลิตจากสายการผลิตในประเทศไทย ก็หนีไม่ Subaru Forester เจ้าป่าขาลุย ที่วันนี้ก็ขายมาแล้ว เกือบ 4 ปี เต็ม
Subaru Forester กลายเป็นรถที่ได้รับความสนใจทันทีที่มันเปิดตัววางจำหน่ายในบ้านเรา ด้วยความเป็นแบรนด์ Subaru ที่คนมั่นใจในการขับขี่ กอปรกับราคาจำหน่ายที่ลดลง เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นที่เคยนำเข้าจากมาเลเซีย หรือ กระทั่งญี่ปุ่น จนเรียกว่าอยู่ในจุดที่สามารถแข่งขันกับเจ้าตลาดได้อย่างสบาย จนไม่ว่าใคร จะซื้อรถอเนกประสงค์สักคัน จะต้องมองมันแน่นอน
หน้าใหม่ ไฉไลกว่าเดิม
อันที่จริง New Subaru Forester MY2023 เปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2022 ในงาน Motor Expo แนะนำ ด้วยความสดใหม่ ผ่านหน้าตาตัวรถ ที่มีความทันสมัยมากขึ้น
หลังจากในเวอร์ชั่นปี 2019 ที่เปิดตัวออกมาครั้งแรก ขายมายาวนาน แม้ว่ามันจะดูดีมีความทันสมัยกว่ารุ่นที่จากลาไปก่อนหน้า แต่ว่า ซูบารุ ก็พลาดลูกค้าจำนวนหนึ่ง ที่มองหาหน้าตา ที่มีความสปอร์ตทันสมัย การกลับมาในครั้งนี้ ทางซูบารุ จึงเปลี่ยนหน้าตารถใหม่
เริ่มจากการปรับชุดไฟหน้าใหม่ ลดขนาดโคมที่เคยกว้างใหญ่ ให้เล็กลง ทำให้รู้สึกโฉบเฉี่ยวมากขึ้น จนโดนใจความรู้สึก ลูกค้ากลุ่มคนสมัยใหม่ ที่ไม่ชอบรถที่ดูสูงวัยมากไปนัก
ด้วยการปรับกันไฟหน้าใหม่ ทำให้กันชนหน้าต้องมีการปรับปรุง ให้เข้ากับชุดโคมไฟหน้ามากขึ้น แต่ยังคงแอบทำให้ ดูพรีเมี่ยมขึ้นเล็กน้อย ช่วยเพิ่มความน่าใช้งาน
ส่วนการออกแบบอื่นๆ ทั้งทางด้านข้าง และด้านหลัง ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ไปจากเดิมเลย
ห้องโดยสารที่ไม่ต่าง
ทางด้านห้องโดยสาร Subaru ก็ไม่ได้ มีการปรับปรุงในเรื่องงานออกแบบจากเดิม ถ้าคุณฝันจะเห็นจอตั้ง ต้องมาในรุ่นนี้ เราขอแสดงความเสียใจ เพราะเผินๆ ดูเบื้องต้น กวาดสายตา มันก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แต่พอมาเล่นจับผิดภาพ คุณจะพบว่า ตัวรถมีการปรับปรุงไปบ้าง มีบางปุ่มเพิ่มเข้ามาในตัวรถ เช่น ปุ่มควบคุมพวงมาลัย และ ระบบ Idling Stop เติมเข้ามา
เมื่อสัมผัสตัวลงบนเบาะ สัมผัสความรู้สึก เปลี่ยนไปเล็กน้อย เข้าใจว่าตัวเบาะ อาจจะมีการเปลี่ยนวัสดุตัวเบาะนั่ง ทำให้รู้สึกถึงความสบายมากขึ้น แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ จะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เมื่อสัมผัสตามโชว์รูม ถ้าไม่ได้ลองนั่งขับยาวๆ มันก็ดูจะเหมือนกันนั่นแหละ
คุณจะค้นพบความแตกต่าง เมื่อลองนั่งยาวๆ ขับไกลๆ ส่วนตัวผม เคยขับทั้ง 2 รุ่น จึงพอจะบอกได้ว่า วัสดุ เบาะแตกต่างกัน แต่ตัวโครงสร้างความสบาย รวมถึงพื้นที่ในการโดยสาร ทั้งหมดเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
การขับขี่
แม้ว่าตอนดู สเป็ครถ Subaru Forester ใหม่ อาจจะเห็นแล้วว่า รถคันนี้ ที่จริงแทบไม่ได้ปรับอะไรมากขึ้นกว่าเดิม
ที่ดูจะเอามาคุยโม้ได้ ก็คงเป็นระบบความปลอดภัย Subaru Eyesight ที่ผลัดเปลี่ยนจากเดิมมาเป็นตัวใหม่ มีฟังชั่นมากขึ้น ปกป้องคุณดีขึ้น แต่เป็นอย่างไร มาว่ากันอีกที
แต่พอลองขับมาหลายๆวัน ผมค้นพบว่า Subaru แอบปรับจูนรถหลายอย่าง โดยที่เขาไม่ได้บอกเราอย่างเป็นทางการ เรียกว่า ไม่ลองขับเทียบกับรุ่นเดิม นี่แทบไม่รู้เรื่องเลย
อย่างแรก นั่นคือ การตอบสนองเครื่องยนต์และชุดเกียร์ ดั้งเดิมเลย Subaru Forester เป็นรถที่ผมค่อนขอดกับทางซูบารุ ว่าเครื่องยนต์ของมัน แบกน้ำหนักมากไป ด้วยการออกแบบรถที่เป็นทรงกล่อง แถมขนาดใหญ่กว่า Subaru XV อีกพอตัว และความเป็นรถที่มีใบหน้าตันๆทรงต้านลม
เวลาคุณขึ้นไปขับเจ้าเครื่องยนต์ 2.0 Direct injection บล็อกนี้ แม้จะปรับเรื่องกำลังจากเดิมเป็นที่เรียบร้อย ก็กลับรู้สึกว่ามันยังอืดไปหน่อย ไม่ทันอกทันใจ ออกตัวแบบนิ่มนวล และเร่งแซงพอมีกำลัง ไม่เยอะมากหรือน้อยไป
พอมารุ่นนี้ จากที่ขับในตลอดการรีวิว พบว่าอาการรถค่อนข้างจะดูพุ่งกว่าเดิมนิดหน่อย ถ้าดูตามสเป็คเครื่องยนต์ ก็ไม่ได้ปรับจูนอะไร
ดังนั้น จุดที่รถคันนี้ น่าจะปรับจูน ก็คงไม่พ้นในเรื่องของการปรับ การตอบสนองของชุดคันเร่งไฟฟ้าให้เร็วขึ้น ช่วยเร่งทำความเร็วดีขึ้น และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจ เวลาเร่งแซง ซึ่งเราทราบมาว่ามีการอัพเดทให้ Subaru Forester เก่าด้วย หากใครเข้าไปใช้ศูนย์บริการช่วงนี้ก็จะได้ ความทันใจมากขึ้นไปด้วย
นอกจากนี้ เราทราบมาว่าทางซูบาุร มีการปรับปรุง ระบบกันสะเทือนทางด้านหน้าใหม่ โดยตอนรับบรีฟจากทางซูบารุ ได้รับคำตอบว่า เซทให้มันนิ่มนวลนั่งสบายขึ้น
เอาเข้าจริง หลังจากลองขับ ผมพบว่าสิ่งที่ ซูบารุจัดเซทใหม่ เป็นการเพิ่มความมั่นใจในการบังคับควบคุม ช่วงล่างหน้า ออกอาการเฟิร์มมากกว่ารุ่นเดิม ช่วยให้เวลาขับรถด้วยความเร็ว แล้วต้องบังคับทิศทางเปลี่ยนเลน ในระหว่างใช้ความเร็ว ดูมั่นใจขึ้น โดยเฉพาะยามคุณต้องทำความเร็วใช้สมรรถนะในการขับขี่อย่างเต็มที่
รุ่นใหม่ จะแสดงศักยภาพ ในแง่การควบคุมมั่นใจกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน นั่นรวมถึงเวลาเข้าโค้ง และ แม้แต่ทางดิน เวลาออฟโรด ก็ยัง รู้สึกถึงเซทติ้งที่เปลี่ยนไป จากรุ่นก่อนหน้า และผมพูดตามตรงว่า ชอบการเปลี่ยนแปลงเรื่องช่วงล่างมากที่สุดแล้ว
แต่อย่างที่เราพูด ด้วยความเป็นรถเครื่องยนต์ขนาด 2.0 กับทรงกล่องๆ สูงโย่งสักหน่อย ทำให้ในความจริง มันไม่ค่อยประหยัด ผมเคยขับ รถรุ่นนี้หลายต่อหลายรอบ และยืนยัน ว่ามันค่อนข้างซด
ซูบารุ จัดการแก้เกมในเรื่องนี้ ด้วยการให้ระบบ Idling Stop มาใน เจ้ารุ่นใหม่ด้วย
การติดตั้งระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราว ช่วยให้เวลาจอดติดไฟแดง เครื่องยนต์จะหยุดการทำงาน แต่จะนานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัย อุณหภูมิภายนอก และการเปิด ระบบปรับอากาศ รวมถึงปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอร์รี่
อย่างที่คุณพอจะเดาได้ มันไม่ได้ทำให้รถประหยัดมากขึ้นนัก เนื่องจากเป็นการหยุดการทำงานเครื่องยนต์ ไม่ใช่ระบบไฮบริด หรือกระทั่งการทำงานของระบบไฮบริดต่อให้เป็น Mild Hybrid ยังไง ก็ยังประหยัดกว่า
ที่จริง ผมมองเรื่อง การปรับปรุงสมรรถนะ Subaru Forester เป็น 2 มุม มุมแรก คือการเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ซึ่งไม่น่าทำได้ เพราะ Subaru Outback บ้านเรา เป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เดี๋ยวจะไปทับพี่ใหญ่ และบ้านเราเรื่องภาษีไอเสีย ก็ค่อนข้างเข้มข้น
อีกทางที่ซูบารุบ้านเรา ไม่เลือกทำ อย่างน่าเสียดาย คือการ แนะนำระบบ Subaru e-Boxer ซึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ใช่ระบบไฮบริดเต็มรูปแบบ เป็นเพียงระบบ Mild Hybrid เท่านั้น เทียบกับการนำเสนอ เครื่องยนต์เพียวๆ ระบบใหม่ ก็ยังตอบสนองได้ดีกว่า การนำเสนอเครื่องยนต์เดิมๆ รุ่นเดิม
ด้วยการตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าในการช่วยออกตัว แม้เพียงช่วงจังหวะหนึ่ง ก็ทำให้ลูกค้า รู้สึกถึงพลังขับได้ และ อย่างน้อย ก็มีอะไรพูดในแง่จุดขายมากขึ้น
แต่ท้ายสุดในความเห็นของผม และ สาวกซูบาุร ส่วนใหญ่ มองไปในทางเดียวกัน ว่าซูบารุ ควรจะนำเสนอ เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเทอร์โบ ที่มีในญี่ปุ่น ในรถที่ขายในเอเซียได้แล้ว ไม่ใช่เก็บของดีไว้ที่บ้านแดนปลาดิบอย่างเดียว
ยิ่งการมาของรถค่ายจีนที่วันนี้ทำราคาถูก ได้ระบบไฮบริด และ พลังขับเหลือล้น แม้ซูบาุร อาจไม่ใช่ผู้นำตลาดกลุ่มนี้ แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ ค่ายจีน มาดอยยอดออกไป ต้องเอาสมรรถนะที่ถือเป็นจุดเด่น ของแบรนด์เข้าสู้ ดูสักตั้ง
ความปลอดภัย โดดเด่น
แม้ว่าสมรรถนะตัวรถ จะมีการปรับปรุงน้อยมาก และบางรายการไม่ขับไม่รู้หรอกว่าแอบปรับมาให้
แต่ส่วนที่ซูบารุ ชี้ชัดว่าปรับแน่ และจากที่ลองใช้ก็ค่อนข้างโดดเด่นไม่น้อย ก็คือเรื่องระบบความปลอดภัย Subaru Eyesight รุ่นใหม่ ที่ฉลาดกว่าเดิม
ระบบ Subaru Eyesight เดิมที มีอยู่แล้ว แต่เป็นระบบเวอร์ชั่น 3.0 รุ่นใหม่ ปรับปรุงมาเป็นเวอร์ชั่น 4.0 เน้นการใช้งานที่ดียิ่งกว่าเดิม
การปรับปรุง เริ่มจากตัวกล้องด้านหน้า ปรับใหม่ ให้มีมุมการตรวจจับกว้างขึ้นในแนวตั้ง 63 องศา และ มุมแนวนอน กว้างขึ้นเป็น 19 องศา ทำให้ ามารถรวบรวมรายละเอียดต่างๆ เพื่อนำมาประมวลผลได้ดีมากขึ้น
ตัวระบบเอง มีการปรับ ปรุงฟังชั่นต่างๆ หลายรายการ ดังนี้
- ระบบ Pre collision Brake สามารถทำงานที่ทางแยก ช่วยเบรกหยุด เมื่อเลี้ยวรถ และ มีรถตัดหรือ คนเดินตัดที่ความเร็วไม่เกิน 20 กม./ชม.
- เพิ่ม ระบบ Pre Collision Throttle Management ระบบจะสามารถตัดกำลังเครื่องยนต์อัตโนมัติ เมื่อพบวัตถุทางด้านหน้า
- เพิ่ม ระบบ Lane Departure Prevention ระบบช่วยดึงพวงมาลัยกลับ เมื่อออกนอกเลน
- เพิ่ม ระบบ ช่วยรักษารถยนต์ให้อยู่กลางเลน Lane Centering Function
- เพิ่มระบบช่วยหักหลบ เมื่อพบความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ Autonimous Emergency Steering
- ปรับปรุงการทำงานของระบบ Adaptive Cruise Control ให้นุ่มนวลมากขึ้น ลดการกระชาก
ในระหว่างการลองขับ ผมได้ลองใช้งานบางระบบแล้วพบว่า เทียบกับรุ่นเดิม ค่อนข้างจะดีกว่าพอสมควร เช่น
ระบบ Lane Prevention ระบบจะทำงานร่วมกับระบบ Lane Depature Warning และยังสามารถใช้ร่วมกับ Adaptive Cruise Control ได้ด้วย
เมื่อออกนอกเลน ระบบจะทำการดึงพวงมาลัยกลับให้โดยอัตโนมัติ และไม่ได้ดึงแบบน่ากลัว หรือ กระชากพวงมาลัย ทำให้ ผู้โดยสารไม่ตกใจ และสามารถปิดระบบได้โดยง่าย
ด้าน Lane Centering จะเป็นการรักษา รถให้อยู่ในเลน โดยดูจากเส้นถนนเป็นสำคัญ เมื่อใช้ร่วมกับ Adaptive Cruise Control ระบบสามารถ เข้าโค้งได้ด้วย (เฉพาะโค้งกว้างๆ) แม้ว่าเราจะไม่ได้ ถือพวงมาลัย
ส่วนตัวระบบ Adaptive Cruise Control รุ่นใหม่ มีความนุ่มนวลกว่าเดิมมากพอสมควร ทำให้ได้ความสบายในการขับขี่ เทียบกับรุ่นเดิม ระบบเวอร์ชั่นใหม่ดีกว่าพอสมควร
ลองลุย เขากระโจม
ตั้งแต่รุ่นที่แล้ว Subaru Forester เรียกว่า เป็นรถรุ่นเดียวที่มีฟังชั่นในการลุยมาอย่างครบครัน ด้วยฟังชั่นที่เรียกว่า X-Mode
ความพร้อมลุยของ ซูบารุ ก็ไม่ใช่แค่ระบบเท่านั้น กายภาพตัวรถ ยังถูกออกแบบมาพร้อมสำหรับการลุยกว่าครอสโอเวอร์รุ่นอื่นๆในตลาด ไม่ว่าจะเป็นระยะยื่นด้านหน้าที่ค่อนข้างสั้น เพื่อทำให้สามารถไต่เนิน และพิชิตมุมปะทะมากๆได้
ไม่เพียงเท่านี้ รถยังมี Ground Clearance ที่ค่อนข้างสูงพอสมควร โดยมีระยะต่ำสุด จากพื้นถึงท้องรถ 220 มม. ช่วยผ่านอุปสรรคไปได้ง่าย และแน่นอน รถคันนี้มีระบบ Symmetrical All Wheel Drive หรือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD อันเลื่องชื่อของ Subaru ใส่มาให้ด้วย
บทพิสูจน์ของเรา คือ เขากระโจม ปลายทางสายลุย สำหรับคอกระบะทั้งหลาย ที่ผ่านมา ซูบารุ ต้องการนำเสนอว่า รถคันนี้พร้อมลุยมากๆ ไปได้เทียบเท่ารถ PPV หรืออาจจะดีกว่า เพราะ แม้หลายคนจะบอกว่ามันกำลังน้อย ขับไม่สนุกเท่าไหร่ แต่ความจริง เจ้ารถคันนี้ก็มีน้ำหนักตัวเบากว่า พวกกระบะพอตัว เวลาลุย จึงค่อนข้างง่าย
ในสถานการณ์จริง การทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ จะใช้ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เข้ามาช่วยด้วย เมื่อระบบตรวจพบ ล้อหมุนฟรี มันจะทำการล็อค ล้อข้างที่หมุนฟรี เพื่อส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปอีกด้านหนึ่ง
ในกรณีหนึ่ง คือ การไต่เนินที่มีความสูง และ พวกหินสลับต่างๆ จะมีอาการล้อลอย หลายคนที่ไม่เคยลุยกับซูบารุ จะนึกว่าต้องฮ้อตะบึงตะบันคันเร่งส่งไปอย่างเดียวถึงจะขึ้นได้ แต่ที่จริงระบบของซูบารุ เป็นระบบแบบที่คุณต้องรอจังหวะการทำงานสักหน่อย
เมื่อรถของคุณเกิดอาการล้อลอย ล้อหมุนฟรีแล้ว เพียงแค่เดินคันเร่งต่อไป อย่าละคันเร่ง ระบบจะเข้ามาช่วยคุณจัดการตัวรถให้สามารถฝ่าอุสรรคไปได้ เพียงแค่เดินคันเร่งเนียนๆแล้วเลือกไลน์ให้ถูกต้องเท่านั้น
อย่างไรก็ดี จุดบอกทางด้านการลุยของรถคันนี้ ก็คือการที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของมัน มีเพียงอัตราทดเดียว ไม่มีเกียร์โล ทำให้แรงบิดไม่มีตัวคูณเพิ่มในยามที่ต้องไต่ทางสมบุกสมบันมากๆ
จริงๆซูบารุ ฟอร์เรสเตอร์ ออกแบบมาให้มีความสามารถประมาณหนึ่ง มากพอที่คุณจะพาครอบครัวไปเที่ยวอุทยาน ในวันสุดสัปดาห์ ได้อย่างสบาย มันไม่ได้ลุยโหด แบบ Ford Ranger Raptor หรือ สมบุกสมบันมาก
ถ้าเทียบกับครอสโอเวอร์คันอื่นๆ ในตลาดที่สามารถไปได้ขนาดนี้ สามารถไปในที่ๆคนอื่นไปไม่ได้ ก็นับว่า ดีมากแล้ว
สรุป Subaru Forester 2023 ต้องปรับเครื่อง คือ คำตอบสุดท้าย
ในภาพรวมหลังจากขับ Subaru Forester โฉมใหม่ สิ่งที่ทางซูบารุพยายามนำเสนอ คือความเป็นรถครอบครัวที่มีความพร้อมในการขับขี่มากขึ้น
Subaru Forester 2023 มุ่งเน้นตอบสนองคนกลุ่มนี้เป็นหลัก และยังสามารถขยายผลไปถึงกลุ่มคนสายกิจกรรมเอาท์ดอร์ ในวันว่างได้ด้วย ซึ่งบ้านเราก็มีอยู่เยอะเช่นกัน
จุดเด่นของรถคันนี้ คือความสามารถพร้อมลุย และการตอบสนองเรื่องความปลอดภัย ที่ทำออกมาแบบจัดเต็ม จนเป็นรถรุ่นหนึ่งที่สร้างความมั่นใจในการขับขี่อย่างมาก
สิ่งเดียวที่ทำให้หลายคนอาจจะต้องคิดหนักในรถคันนี้ คือเรื่องของเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร แม้ว่ามันจะไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ในเรื่องกำลัง แต่วันนี้เมื่อมองในตลาดที่เพิ่มระดับรถ Compact Crossover ไปสู่ 170 ม้ากัน นั่นหมายความว่า พละกำลังรถรุ่นนี้น้อยไปหน่อย และยังขาดเทคโนโลยี ระบบขับเคลื่อน ที่ถือว่าจำเป็นต่อการใช้งาน ช่วยลูกค้าประหยัดน้ำมัน
แต่ในความโลว์เทคของมัน ก็ทำให้รถตอบสนองในแง่การบำรุงรักษาในระยะยาวได้ดี ไม่ต้องกังวลใจ ว่าประหยัดวันนี้ ซ่อมแพงในวันหน้าหรือไม่ หากก็ ต้องยอมรับ เรื่องกำลังที่น้อยของมัน
ซูบารุ ยังเป็นรถที่มอบความมั่นใจในการขับขี่ให้กับลูกค้า สิ่งเดียวที่วันนี้รถรุ่นนี้ควรตอบลูกค้า ได้ดีกว่านี้ คือ เครื่องยนต์ ที่มีความประหยัด และสมรรถนะดีกว่านี้ ให้ทัดเทียมคู่แข่ง