ในหลายปีทีผ่านมา รถยนต์จากประเทศจีน ออกมาวางจำหน่ายในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า แต่ใครจะคิดเลยว่ารถยนต์ไฮบริดอย่าง GWM Tank จะเข้ามาสร้างปรากฏการณืในตลาดให้คนไทย ได้มีโอกาส จับจองรถยนต์สายลุยจากจีน
ราคาที่เปิดตัวอย่างหวือหวา จนคนไทยจำนวนมากเบือนหน้าหนี พร้อมบอกว่าราคาแพงไป แต่จริงๆอยากจะกล่าวตามตรงว่า Great Wall Motor มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการผลิตรถยนต์รุ่นนี้ในไทย ไม่ว่าจะ Tank 500 หรือ Tank 300 ด้วยจำนวน ที่ผลิตขายในบ้านเราเพียงอย่างเดียว ยังไม่มีแผนสำหรับประเทศอื่นๆ
อย่างออสเตรเลีย ที่ไทยก็มีฐานการผลิตสำคัญอย่าง Ford ทำให้ ราคารถอาจยังรู้สึกว่าแพง ชนิดที่เพิ่มอีกนิด คุณได้ Ford Ranger Raptor มาขับหล่อๆ คู่บุญบารมี
มันก็เกิดคำถามกับผม ทันที ว่าทำไม ค่ายจีน ถึงกล้าตั้งราคาระดับนี้ ? ทั้งที่มีสิทธิ์ จะขายไม่ออก จอดรอส่งมอบมากพอสมควรทีเดียว
ก่อนอื่น Tank เป็นแบรนด์ รถยนต์พร้อมลุย ที่แยกมาจากแบรนด์หรู Wey ซึ่งต้องการนำเสนอรถยนต์หรูจากจีน ในแบบที่จีนทำจีนใช้ ส่งมอบความดูดีไปสู่ประเทศอื่นๆ
Wey เป็นชื่อมาจาก นาย แจ็ค เว่ย หรือ Mr. Wei Jianjun ที่ตั้งใจว่าจะทำรถยนต์อเนกประสงค์และเก๋งหรูมาขาย โดยมีความคิดว่าจะทำรวมถึงพวกรถพร้อมลุยที่หลายประเทศชื่นชอบ แรกๆจึงใช้ชื่อว่า Wey Tank แต่พอมาทำตลาดจริงๆ ชื่อ Wey มันดูแปลกๆ ก็เลยตัดสินใจ แยกมาอีกแบรนด์ คือ แบรนด์รถลุย ที่เรียกว่า Tank โดยตรง ดูสมกับความดุดัน ถึกทนทานกว่าในความรู้สึก
Tank กำเนิดขึ้นด้วยรุ่น Tank 500 โดยมี Toyota Land Cruiser Prado เป็นตัวเปรียบเทียบ แต่ด้วยความหรูหราไฮโซ ขนาดในไทย ราคาขายยัง 2ล้านกว่าบาท ทำให้ Tank อาจไม่ใช่รถที่คนส่วนใหญ่จะซื้อ ด้วยราคารวมถึงขนาดตังรถ Mid Size Luxury SUV
คนส่วนใหญ่ ต้องการรถอะไรที่เข้าถึงง่าย ราคาไม่แรงมาก (แม้ในไทยจะราคาเอาเรื่อง) Tank 300 จึงเกิดขึ้น เพื่อเอาใจลูกค้าชาวจีน รวมถึงในประเทศที่จะออกไปบุกตลาด เนื่องจากราคาซื้อง่ายขายคล่อง และตรงความต้องการลูกค้ามากกว่า
Tank 300 HEV ว่ากันด้วยขนาดมิติตัวรถ มันเกิดมาเป็น Compact SUV ซึ่งหากนึกไม่ออกบอกไม่ถูก ขนาดของมัน ก็ใกล้เคียง PPV แค่สั้นกว่า และแคบกว่าสักหน่อย เพื่อความสะดวกในการใช้งานในเมืองที่มากกว่า
คลาสนี้ เดิมทีเป็นพวก รถ PPV รุ่นแรกๆในอดีต เช่น Isuzu Vega, และ Toyota Sport Rider ขนาดกำลังพอใช้งานในเมืองได้ จอดง่าย คล่องตัว และ ใช้งานเดินทางก็สบายๆ มีที่เก็บสัมภาระจุ ถูกใจสายเดินทางอยู่ประมาณหนึ่ง
ตัว Tank 300 จับใจลูกค้า ด้วยงานออกแบบ สไตล์ทรงกล่องมีความเรโทรผสมผสาน มองบางมุม นึกถึง Jeep อยู่บ้าง และมีกลิ่นอาย ของรถญี่ปุ่นยุคเก่าๆ อย่าง Jeep ทหาร ของค่าย Mitsubishi มาผสม
ความเป็นทรงกล่อง ทำให้มันได้ภาพของความดุดัน ถึกบึกบึนในการใช้งาน ดูพร้อมลุย ช่วงกันชนออกแบบให้ตัวรถมีความสูง และใช้ชิ้นงานสีดำด้าน หรือ พลาสติกไม่ทำสี เพื่อลด รอยกระเทาะสีตัวถัง ยามหินดีด ทั้งยังเพิ่มความง่ายในยามต้องเปลี่ยนอันใหม่
ชุดล้อเป็นขนาด 17 นิ้ว พกยางพร้อมลุย Continental Cross Contact ยาง All Terrain กึ่งถนน ในแบบถนนดินดำ 80 ลุย 20 เพียงพอสำหรับการฝ่าอุปสรรค ในยามลุยทางสมบุกสมบัน ยางขนาด 265/65 R17 อาจฟังปกติ แต่จริงๆ ขนาดของมัน คือล้อและยาง 30 นิ้ว เรียกว่า สายออฟโรด ที่เขาเล่นทางลุยรู้กันดี
นอกจากนี้ ตัวรถยังออกแบบ เก็บทรงพร้อมลุย เช่น ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องสูง 224 มม. ช่วงกันชนสั้น กระจกมองข้างไม่ยื่นมากเท่าไรนัก
ภายในทันสมัยแบบจีน
ภายในห้องโดยสาร Tank 300 พกความทันสมัย มาครบเครื่องเริ่มจากชุดจอขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ วางต่อกัน ตามสไตล์ GWM
ข่าวดีว่าจอกลางสำหรับการเชื่อมต่อและตั้งค่าต่างๆของตัวรถ ทำงานได้ลื่นขึ้น ติดมือมากกว่า ตัว Haval H6 ที่เราเคยรีวิวเสียอีก ช่วยให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น
ในส่วนของปุ่มต่างๆ บางส่วนแยกออกมาเพื่อความง่ายในการใช้งานมากขึ้น และตอบโจทย์ได้ทันความต้องการ โดยเฉพาะ พวกปุ่มควบคุมระบบออฟโรดต่างๆที่อยู่ในช่วงคอนโซลเกียร์ และ ตรงหน้าคนขับ
เรื่องการตบแต่งสะท้อนความหรูหรา ด้วยงานออกแบบทันสมัย มีการตบแต่งด้วยโลหะในบางส่วน มีนาฬิกา คลาสสิค แปะอยู่ตรงกลางบอกถึงความหรูหราไฮโซ
ความสะดวกสบาย ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ด้วยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง (เฉพาะในรุ่น Ultra) พร้อมที่ดันหลัง และ คนนั่งปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ก็ยังดีกว่า PPV บางรุ่นที่ไม่ยอมให้คนนั่งมีเบาะปรับไฟฟ้า
กระจก 4 บานเป็นแบบ One Touch ทั้งหมด มีที่ชาร์จไร้สาย และ ไฟแวดล้อมช่วยสร้างบรรยากาศ
เรื่องพื้นที่ในการโดยสาร ด้วยความเป็นทรงกล่อง มันค่อนข้างจะช่วยให้รู้สึกโปร่งโล่งสบาย ในช่วงเหนือหัว และช่วงตัว คนตัวใหญ่อย่างผมค่อนข้างถูกใจ
ด้านการโดยสารตอนหลัง จัดมาค่อนข้างดี มีพนักพิงพลังปรับได้ 2 ระดับ และมีพื้นที่วางขาอย่างเหลือเฟือ นั่นรวมถึง ห้องสัมภาระ ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ต่อการใช้งาน แม้ว่าประตูท้าย จะหนักไปบ้างก็ตามที แต่นั่นมาจากการเอายางอะไหล่มาไว้ที่ท้ายรถนั่นแหละ
การลองขับ และการวิศวกรรม
ใต้เรือนร่างของเจ้า Tank 300 HEV พูดตามตรงสรุปจบใจความง่าย คือมันแทบจะยกข้าวของมาจากพี่ชายของมันเลยก็คงไม่ผิดนัก
รถคันนี้พกเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ พร้อมระบบไฮบริด ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด
ทาง GWM ออกตัวแรงทันทีว่า ถึงจะเป็นขุมกำลังไฮบริด แต่รถคันนี้ก็ไม่ได้ประหยัดน้ำมัน ซึ่งระบบทำงานอย่างไร ทางค่ายจีนก็ยังไม่ได้บอกเราอย่างชัดเจนอยู่ดีเหมือนที่เป็นมาตั้งแต่ตอนขาย Haval
ที่แน่ๆ Great Wall นำเสนอ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ พละกำลังขับสูงสุด 244 แรงม้า ที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,700-4,000 รอบต่อนาที พร้อมเบ่งพลังให้เร้าใจมากขึ้นด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังขับสูงสุด 106 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 268 นิวตันเมตร
ด้วยความที่มีบทเรียนจาก Haval Jolion จึงตัดสินใจ ไม่บอกกำลังขับรวมอย่างชัดเจน เหมือนที่เคยทำมา ..
แต่ถ้าเอาตัวเลขพลังบวกกัน ก็ต้องบอกว่า กำลังของมัน แทบจะได้ใกล้เคียง Ford Ranger Raptor หนีห่างกันเพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น
เมื่อลองขับ การตอบสนองของรถไม่ได้เน้นกระชากออกตัวแรงจากกำลังของเครื่องยนต์เพียวๆแบบเจ้าไดโนเสาร์ เพราะมันออกแนวเป็นการตอบสนองทันใจโดยเริ่มจากการพยายามขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก่อน แล้วเครื่องยนต์รับช่วงตาม
ต้องบอกก่อนว่า การขับวันนี้ ขับในรูปแบบเดินทางคาราวาน และเป็นทางหลวงทั้งหมด ซึ่งส่วนดีของ Tank 300 คือตอบสนองอัตราเร่งได้ทันอกทันใจ โดยเฉพาะยามต้องเร่งแซง กดปุ๊บ มาทันที ด้วยคุณสมบัติของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ค่อนข้างตอบสนองไวทันใจ แต่ผมสังเกตุว่า มันจะเข้ามาช่วยในการทำงานไม่นาน เต็มที่ไม่เกิน 5 วินาที เวลาขับเดินทาง
อาจด้วยการเซทโปรแกรมแบตเตอรี่ ที่ต้องการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้ศักยภาพระบบที่อาจจะดีได้มากกว่านี้ ยังไม่เหมือนมาไม่เต็มที่อารมณ์ เออน้องช่วยแค่นี้นะ ..อะไรทำนองนั้นแหละ
แต่ดีคือ เวลาขึ้นเขายาวๆแรงบิดมหาศาล จากการทำงานสอดผสาน ทำให้คุณขับขึ้นทางชันง่าย เช่น เนินใหญ่แถวแก่งคอย ปากช่อง ..นี่ขับขึ้นชิลๆ สบายๆ นับเป็นเรื่องดีของระบบจาก Tank
แต่ข่าวร้ายสำหรับสายเดินทาง เจ้าลุยคันนี้ ไม่ประหยัดเท่าไรนัก ดังเสียงลือเสียงเล่าอ้างมีมาตั้งแต่ก่อนทริปผมว่า มันไม่ค่อยประหยัดนะ
พอมาลองขับจริง กับเจ้า น้อง CokeyP ก็พบว่า แม้จะขับดีๆไม่ได้บุ่มบ่าม ตัวเลขของมันก็ไม่พ้นเลขตัวเดียว หรือแทบจะพูดว่าเป็นไปได้ยากมาก
ส่วนสำคัญมาจากการที่ Tank 300 ให้ระบบ ขับเคลื่อนแบบ AWD หรือ All Wheel Drive ติดปลายนวม มาด้วยนั่นเอง
ปกติแล้วรถลุยบ้านเรา จะเป็นระบบ Part Time 4WD เมื่อไม่ใช้ การขับเคลื่อนสี่ล้อก็ปลดมาเป็นขับเคลื่อนสองล้อเองได้ แต่ Tank ทำไม่ได้ เพราะการขับเคลื่อนสี่ล้อจะเป็นปกติในโหมด Normal
ถ้าต้องการขับเคลื่อน 2 ล้อนั้น ระบบจะทำงานภายใต้เงื่อนไขที่วางเอาไว้ คือ
ใช้ในการขับด้วยไฟฟ้าในความเร็วต่ำ (ทำได้ในโหมด Normal ด้วย)
ผู้ขับขี่ต้องใช้ การขับขี่ด้วยโหมด ECO ระบบจะตัดเป็นขับสองให้ ในยามเดินทางด้วยความเร็วคงที่
ซึ่งการที่ระบบไม่ให้ผู้ใช้ขับเคลื่อนสองล้อเองได้ เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งที่มันไม่ประหยัด
อีกอย่าง ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยทรงกล่อง ที่ค่อนข้างต้านลม ทำให้ ต้องออกแรงมากกว่าในการขับเคลื่อนรถไปข้างหน้า และ สุดท้าย เครื่องเทอร์โบ ก็ซดกว่ามาก โดยเฉพาะ ยามที่คุณขับด้วยความเร็ว และต้องเร่งแซ ง อย่างที่บอก มอเตอร์ไฟฟ้ายังช่วยน้อยไป จึงใช้พลังเครื่อค่อนข้างเยอะพอตัว
อย่างไรก็ดี , สิ่งที่น่าประทับใจ ใน Tank 300 คือความสบายในการโดยสารทำออกมาค่อนข้างดีเกินราคา รถทรงนี้ปกติจะนั่งไม่สบาย มีความกระโดดกกระเดกบ้าง เนื่องจากหน้าที่หลักของมันคือ พร้อมบุกตะลุย
แต่ Tank 300 กลับเซทช่วงล่างให้นั่งสบายยามขับบนถนนทางดินดำ ได้อย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะในความเร็วเดินทาง อาจด้วยยางแก้มสูง มันก็เลยจัดการเรื่องการขับขี่ได้ค่อนข้างดีพอสมควร การซับรอยต่อและหลุมเล็กๆบนพื้นถนน ไม่ให้มาถึงห้องโดยสาร สมราคา
เราต้องบอกก่อนว่ารถคันนี้ไม่ได้ใช้โช๊คอัพอะไรหวือหวามาก มันแค่โช๊คธรรมดา ที่มีช่วงยืดยุบยาว และ ใช้ช่วงล่าง อิสระ 4 ล้อ โดยติดตั้งแบบ ดับเบิ้ล ครอส อาร์มทางด้านหน้า และ มัลติลิงค์ ( Five Link) ทางด้านหลัง จึงจัดการอาการได้อยู่หมัด พอสมควร
ถ้าจะพูดว่า ผมไม่ประทับใจอะไรบนถนนดินดำ ก็คงเป็นพวงมาลัยที่ค่อนข้างเบา อาจจะด้วยทรงรถที่เรารู้สึกว่า มันน่าจะเซ็ทพวงมาลัยหนักมีน้ำหนักกว่านี้ เพื่อความมั่นใจสักหน่อย
เอาเข้าจริง รู้สึกทันทีว่า พวงมาลัยติดเบา แม้จะเซทได้ 3 ระดับ ไประดับ สปอร์ต ก็ยังรู้สึกว่าเบาอยู่ดี จนบางคนอาจรู้สึกว่า มันไม่ค่อย ตอบโจทย์เท่าไรนัก
แต่ความเบานี่แหละดีตอนเข้าจอดรถ และคล่องตัวในเมือง ,ความรู้สึกส่วนตัวผมมองว่า มันเหมือน เซทติ้ง พวงมาลัย H6 ซึ่งจริงๆ รถลุยไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
ลองลุยสักตั้ง มันจะสนุกไหม ?
ไหนๆก็เป็นรถลุย เราเลยขาดไม่ได้ กับการขับแบบสมบุกสมบัน ในเจ้า Tank 300 HEV ดูบ้าง
เส้นทางที่ทีมงาน GWM เลือกวันนี้ เป็นทางง่ายๆ ทางลูกรัง มีร่องลึกบ้างนิดหน่อย มีไต่หินบ้างเป็นธรรมดาของรถกลุ่มนี้
จริงๆ Tank 300 มี โหมด ลุย 3 โหมด คือ ทราย ,โคลน และ 4L โดยในการลองขับครั้งนี้เราใช้ 4L+ หรือ โหมดปกติ ในการลุย
เมื่อเริ่มเข้าทางลุย รถก็โชว์ศักยภาพของมันในการขับขี่ว่าสามารถผ่าานอุปสรรคไปง่ายๆ ด้วยใต้ท้องสูง และมุมไต่ 34 องศา มุมปะทะ 33 องศา รวมถึงการเก็บกระจกมองข้าง และบันไตข้าง ตลอดทางไม่มีกระแทกให้กังวลใจ
หลังจากผ่านมาสักระยะ ลองเรื่องพละกำลังเครื่องอย่างช่วง Walking Speed ก็จัดว่าเหลือๆ อาจต้องเติมคันเร่งบ้างแต่เมื่อดันคันเร่งช่วงแรก มอเตอร์จะทำงานด้วย ทำให้เราสามารถขับลุยได้อย่างสบายใจไร้ปัญหา ให้อารมณ์แบบเดียวกับเครื่องยนต์ดีเซล เพียงแต่ต้องเดินคันเร่งมากเสียหน่อย ก็เท่านั้นเอง
ทางด้านช่วงล่าง พอลุยมีกระแทกนิดหนึ่งตามสภาพเส้นทาง แต่จัดว่ายังค่อนข้างนุ่มอยู่พอสมควร
ที่ชัดเจน คือ โช้คอัพ Tank 300 มีช่วงยุบค่อนข้างยาว แม้ว่าบางจังหวะ เราจะลองลงหลุมลึกดูบ้าง ก็ยังไม่พบอาการล้อลอย ต้องงัดสกิลเทพ ออกมาใช้สักครั้ง
รวมถึง ยังมีฟังก์ชั่นช่วย เช่น ฟังชั่นกล่อง ที่สามารถมองอุปสรรค ใต้ท้องรถว่าจะสามารถผ่านไปได้หรือไม่ ,มีระบบ Offorad Cruise Control มาให้ เพื่อความมั่นใจในการลุย
รวมถึง ระบบช่วยเลี้ยวในที่แคบ Tank Turn ช่วยให้การกลับรถในป่า สะดวกมากขึ้นด้วย
หลังฝ่าอุปสรรค ออกมา ผมรู้สึกว่ามันเป็นรถที่ขับลุยง่ายมาก
อย่างเดียวที่ผมไม่มั่นใจ คือยางติดรถ แบบ A/T ซึ่งเป็น A/T ที่เน้นทางเรียบมากกว่าทางลุย ถ้าใครลุยบ่อยๆควรจะ เปลี่ยนไปใช้ยางที่มีดอกจิกพื้นได้มากกว่านี้ จะดีกว่า
สรุป Tank 300 HEV สมราคาพร้อมลุย แต่ควรจะถูกกว่านี้ อีกนิด
หลังจากขับ Tank 300 ในวันนี้ต้องยอมรับว่า ตัวรถค่อนข้างจะขับมั่นใจสมราคา และมีความสะดวกสบาย พร้อมฟังก์ชั่น อย่างครบครัน
จุดขายของรถคันนี้ คือสไตล์ที่ค่อนข้างจะครบเครื่องลงตัวมากพอสมควร ไม่มีรถแบบนี้ในตลาดปัจจุบัน และมันเลยน่าสนใจ
พอมาว่าที่สมรรถนะในการขับ ก็จะพบว่า ตัวรถ ทได้ดีในเรื่องความสบายในการโดยสาร รวมถึงพลังขับที่ออกมาค่อนข้างหวือหวา พอสมควร แต่เมื่อคุยเรื่องอัตราประหยัด ที่ดุดันเอาเรื่อง ก็ยอมรับว่า มันไม่เหมือนที่คิด แม้จะมีเหตุผล ที่น่าจะเข้าใจกันได้ก็ตามที
แต่จะไฮบริดอย่างไรควรประหยัดบ้าง อย่างน้อยให้ดีกว่าเครื่องดีเซลก็ยังดีหรือไม่ นี่คือข้อที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
รวมๆ ผมว่ามันเป็นรถลุยที่ดีแหละ ติดเพียงแค่ตัวรถ ราคาเพิ่มอีกนิดไปแรพเตอร์ที่ดูมีลูกเล่น ของเล่นมากกว่า อาจทำให้หลายคนคิดไม่น้อย
แต่ถ้าอยากลองอะไรใหม่ๆ Tank 300 HEV ก็มีดีในแบบที่มันเป็น การหลุดพ้น รถแบรนด์ตลาดดั้งเดิม อาจทำให้คุณค้นพบอะไรใหม่ๆ ก็ได้