กระแสความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของคนไทย ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง MG 4 ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความลงตัวในการใช้งาน สมรรถนะที่หลายคนพูดไปในทางเดียวกันว่า นี่เหมือนเช้าวันใหม่ของแบรนด์รถยนต์จากอังกฤษ
และปีนี้ พวกเขา เตรียมขาย MG4 X-Power
MG4 ไม่ได้มีเพียงรุ่นใช้งานทั่วไปเท่านั้น อย่างที่หลายคนเข้าใจ อันที่จริงแล้ว ในประเทศจีน เอ็มจี นำเสนอ MG4 X- Power รุ่นที่สุดของที่สุด พกความเร้าใจมาตอบโจทย์ และวันนี้ มันกำลังจะจำหน่ายในเมืองไทย
ราคา MG4 X-Power แม้ว่าจะยังไม่ประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่มีการยืนยันจากทางเอ็มจีว่า บ้านเราจะเปิดตัวในราคาไม่ถึง 1.2 ล้านบาท และที่สำคัญ นำเข้ามาขายไม่จำกัด ใครพร้อมเมื่อไรก็สั่งซื้อได้ทันที นับเป็นการเดินหมากสำคัญ และนับเป็นครั้งแรกที่เอ้มจี สนใจตลาดสมรรถนะกับเขาบ้าง
หน้าตาตัวรถเผินๆ มันก็คือ MG4 ที่เราคุ้นเคย ทรง 5 ประตู สไตล์เหลี่ยมบางคนมองว่า มันเปรียบประดุ เส้นสายค่ายอิตาลี่ อะไรทำนองนั้น
ผมเองในฐานะคนใช้ MG4 X รุ่นยังไม่มีพาวเวอร์ พูดอย่างเปิดอกว่าทรวดทรงของรถ เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว กับคันที่ขับมา
ไม่ว่าจะไฟหน้า , ไฟท้าย สปอร์ยเลอร์ 2 ชิ้น ความแตกต่างมีอยู่หลายจุดเช่นกัน อย่างแรก คือ ชิ้นส่วนดำด้านตอนนี้กลายเป็นดำเงาทั้งหมด
ทางเอ็มจรี ยังบอดว่า ชิ้นชายล่างที่เดิม เปิดไว้ระบายความร้อนแบตเตอร์รี่ตลอดเวลา ตอนนี้กลายเป็นระบบ Active สามารถปิดเมื่อคุณต้องการทำอัตราเร่ง เน้นทำความเร็ว เพื่อเสริมสร้างหลักกการอากาศพลศาสตร์มากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ชุดล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ยังติดตั้งมาแทน ล้อ 17 นิ้ว พร้อมฝาครอบ รวมถึง ยังได้ยาง ขนาด 235/45/18 ติดปลายนวมมาด้วย
สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณไม่ประทับใจ MG4 X-Power คันนี้ นั่นคงเป็นสีภายนอก ทางเอ้มจี กลับมาเล่นมุกเดียวกับ ครั้น MG ZS EV ตัวแรก ด้วยสีภายนอกสีเดียว ไม่มีสีอื่น กับ สีเขียว Wild Hunter Green เป็นสไตล์สีเขียวด้านๆ แนว เขียวทหาร อาจไม่ถูกใจคนชอบสีฉูดฉาด อยากได้สีส้ม สีฟ้า ที่ดูแรงๆ เหมือน ความแรงของรถ
อ้อแล้วท้ายสุด มีใบปัดน้ำฝนท้ายมาให้แล้วนะครับ ไม่ต้องบ่นกัน
ภายใน ต่างบ้างแต่ไม่มาก
มาดู ในห้องโดยสาร MG4 X-Power มีความแตกต่าง จากรุ่นปกติ อยู่บ้างพอสมควร เรื่องงานตบแต่ง เทียบกับรุ่น X คันที่บ้าง พูดตามตรงว่า ไม่แตกต่างกันเท่าไรครับ เนื่องจากงานออกแบบตัวรถอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน
ส่วนที่แตกต่างจริง ของรถรุ่นนี้ คงเป็นภายในสีดำ น่าจะถูกใจคนชอบตัวตนความสปอร์ต ภายในสีดำขลับทั้งหมด และ อีกอย่าง ที่เพิ่มเข้ามา นั่นคือ มือจับ “ศาสดา” มีมาให้แล้ว ในตำแหน่งผู้โดยสารทุกที่นั่ง เอาไว้โหน เวลาเสี่ยวไส้ ยามโดยสาร
ในส่วนของชุดเบาะ เพิ่มชิิ้นหนังกลับ Arcantara มาให้ สำหรับดูดเสื้อผ้า เกาะกับเบาะมากขึ้น น่าเสียดาย ที่เบาะนั่งยังเป็นทรงเดิม ไม่ได้เป็นทรงสปอร์ต พร้อมสำหรับงานซิ่ง เลยดูขัดๆ
ด้านหลังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เบาะนั่ง ยังไม่มีที่เท้าแขนยังไง ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
แต่รู้ไหม อะไรที่ทำให้ผมอยากได้ คือ ซอฟท์แวร์บนหน้าจอ นี่แหละ ถูกใจมาก ตอนนี้ในส่วนของ เมนูลัดที่เรียกว่า Hi Board ใช้งานโดยการเลื่อนลงมา
มีฟังชั่นในการ ปรับโหมด และ Kers มาให้แล้ว ถือว่าดีมากๆ โดยเฉพาะมนุษย์สายขับ อย่างผมชอบมาก ไม่ต้องเข้าเมนูลึก เพื่อปรับโหมดขับขี่ให้มันวุ่นวายใจ
ส่วนการจำค่านั้น ปัญหากวนใจผู้ใช้ ลูกค้า ก็ถูกยกเลิกไปแล้วเช่นกัน เพื่อความคล่องตัวในการใช้งาน
นั่นทำให้ผม เริ่มอยากได้ MG 4 X-Power ไม่ใช่เพื่อความแรง นะ แต่ตัดความรำคาญในการใช้งาน นั่นแหละครับ
การทดลองขับ
ใต้เรือนร่าง MG4 X-Power มันพกความไม่ธรรมดา มาให้ลูกค้าที่มองหาอะไรที่มีความแตกต่างทางด้านสมรรถนะในการขับขี่
ก่อนจะพูดถึงตัวรถ ต้องบอกก่อนว่า X-Power ไม่ใช่เพียงชื่อรุ่นที่ทำออกมาเท่าานั้น ที่จริง มันคือ สำนักแต่งภายในบริษัท MG คล้ายกับ STi , Gazoo Racing หรือ Hyundai N มีเป้าหมายาในการทำรถสมรรถนะสูงออกมา สำหรับลูกค้า
จุดเริ่มต้นของ X-Power เกิดใน MG6 โดยพวกเขาทำรถแข่งสูตรสำเร็จ มาให้สำหรับคนที่ต้องการรถพร้อมแข่ง จ่ายเงินเอารถไป ขับได้ถ้วยในแนวนั้น
แต่สำหรับ MG4 X-Power จะเรียกว่า เป็นครั้งแรกของการทำ Complete Car ออกมาจากแบรนด์ และ มอบความแตกต่างจากปกติพอสมควร
ประการแรก พลังขับของรถรุ่นนี้ไม่ธรรมดา จากปกติ เอ็มจี4 มาพร้อมกำลังขับสูงสุด 170 แรงม้า ทำแรงบิด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง พอมา ปรับมาเป็นรุ่น X-Power เจ้า The Hulk คันนี้ มาพร้อมกำลังขับ สูงสุด 435 แรงม้า และ ทำแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร
มอเตอร์หน้า ให้กำลังแรงบิด 170 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร หรือว่าง่าย เอามอเตอร์เดิมที่เราใช้ ไปไว้ทางด้านหน้า ทางด้านหลัง เปลี่ยนมอเตอร์ใหม่ เป็นขนาด 231 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร
ถ้าคิดว่า เป็นสัดส่วนการแบ่งพลังขับจะอยู่ราวๆ 39/61 ระหว่างทางด้านหน้า และด้านหลัง
อัตราเร่ง MG เคลม 0-100 ก.ม./ช.ม.ในเวลา 3.8 วินาทีเท่านั้น ถือว่าค่อนข้างเร็วอยู่พอสมควร เทียบเท่ากับ แมวน้ำบ้าพลังที่เปิดตัวออกมาในปีที่ผ่านมา ที่มั่นใจได้มากกว่านั่นคือ ความเร็วสูงสุด 200 ก.ม./ช.ม. ซึ่งมากพอ ที่จะไม่ให้ใครตามทัน
ตอนนี้ ผมอยู่ในรถแล้ว และพร้อมจะออกอาละวาดในสนามพีระเซอร์กิต ที่ทางเอ็มจีตั้งใจ ให้เรามาลองขับกันเต็มที่
สัมผัสแรกในเรื่องของอัตราเร่ง ผมยอมรับเลยว่า อัตราเร่งของมันเร็วแรงเร้าใจจริง ลองจินตนาการว่า ทางตรง สนามพีระเซอร์กิต มีอยู่ราวๆ 1 ก.ม. ก่อนเข้าโค้งแรก คุณสามารถทำความเร็วจากหยุดนิ่งไปถึง สะพานสิงห์ ได้ 160 ก.ม./ช.ม.เป็นอย่างต่ำ
แต่ถ้าถามว่า มันเร่ง ได้ 0-100 ตามที่เคลมไหม วันนี้ ที่ลอง ต้องบอกว่า ทางตรงพีระนั้น เป็นลักษณะของการขึ้นเนินซึม ตัวเลข เรานั่ง 2 คน เลยได้ 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 4 วินาที ปลาย ๆ เท่านั้น ครับ
เรื่องความแรง เป็น เรื่องในส่วนของทางตรง แล้ว พอทางโค้งล่ะ!! รถก็ต้องมั่นใจในการขับขี่ ด้วย
MG 4 X- Power ยังคงพื้นฐานระบบ กันสะเทือน ด้านหน้า ช่วงล่างแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังช่วงล่างแบบ Multi Link เหมือนเดิม
แต่เพื่อความมั่นใจ ทางเอ็มจี ได้มีการปรับโช๊คอัพให้มีความหนืด อีก 10-30% ทางด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง เพิ่มความแข็งแรงของระบบกันสะเทือนอีก 25% และ 10% ทางด้านหน้าและด้านหลัง ตามลำดับ
ไม่เพียงเท่านี้มีการปรับค่าการตอบสนองของสปริง ให้ทรงตัวดีขึ้น เหมาะสมกับความแรงของรถ และ เพิ่มสวิงอาร์ม อลูมิเนียมมาให้
ในการขับขี่จริง บนสนามพีระ มีโค้งทั้งหมด 13 โค้ง การไปให้เร็ว ต้องอาศัยช่วงล่างที่มั่นใจในการขับขี่
ในรอบแรกที่ผมขับไปในสนาม รู้สึกได้ว่า อาการของช่วงล่าง ค่อนข้าง ติดแข็งแตกต่าง จากรถคันที่บ้าน ที่ยังพอจะมีความนุ่มนวลบ้าง
พอมาคันนี้ อาการช่วงล่างออกไปทางความเฟอร์มมั้นใจ แข็งขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับความแข็งกระด้าง จนนั่งแล้วสะเทือนสะท้านไปตลอดทาง
ต้องบอกก่อนครับว่า วันนี้ที่ขับคือ ในสนามแข่ง เรื่องผิวทาง จึงค่อนข้างทำมาดีเรียบ ต่างจากโลกความจริงบนถนน ที่มีหลุมบ่อคอยตอนรับ
ช่วงเข้าโค้ง ระบบช่วงล่างเริ่มทำงาน การเอนตัวของรถคันนี้ ไม่มากอย่างที่คิด แม้ว่าดูภายนอก คุณจะแอบรู้สึกว่ารถมันดูสูงๆ ยังไงชอบกล ไม่สมกับภาพความเป็นรถสปอร์ต 400 ม้า
พอขับจริง มันเก็บอาการโคลงตัวได้ดี จนแอบรู้สึกว่า มันดีเกินไป กับคำว่า รถยนต์ เอ้มจี ที่เรารู้จักกัน โดยเฉพาะในช่วงโค้ง C2 ที่เป็นโค้งแคบเกือกม้า คุรสามารถเข้าโค้งแบบนี้ได้ที่ความเร็ว 70-80 ก.ม./ช.ม. นับว่ามากพอสมควร เมื่อเทียบกับรถธรรมดา
ช่วงระหว่างในสนาม จะมีด่าน เปลี่ยนเลน ให้ลองเล่น ในระหว่าง ทางโค้ง 100R ลองคิดว่า เมื่อคุณต้องเปลี่ยนเลน ในระหว่างกำลังโค้ง มันคงไม่ง่าย ถ้ารถไม่ดีจริง ทว่า MG 4 X- Power กลับทำให้เรามั่นใจ ในเรื่องการตอบสนอง
อย่างไรก็ดี การเซทช่วงล่างไม่ใช่อย่างเดียวที่ทำให้ เรามั่นใจในรถคันนี้ ส่วนสำคัญอีกอย่างคือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
แม้ว่าในทางปฏิบัติ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจะแตกต่างจากรถสันดาป ที่ต้องมีเพลาขับระโยงระยางให้วั่นวาย แต่พอเป็นระบบมอเตอร์ไฟ้าใช้การเปิดปิดสั่งการรวดเร็ว ในเวลา 200 มิลลิวินาที ให้การตอบสนองทันใจ จนแทบไม่เจออาการไม่พึงประสงค์
ต้องบอกก่อนว่า ระบบของเอ็มจี ออกแบบ มาให้ยังเน้นการขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลัก โดยระบบจะทำงานแบบ ขับเคลื่อนล้อหลังตลอดเวลาเมื่อคุณกดในโหมด Eco
โหมด Normal รถจะปรับเป้นขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ เมื่อมีการใช้คันเร่งเต็มที่ (100%) ต้องการอัตราเร่ง ส่วนโหมด Sport และ Snow ระบบจะทำงานขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา เพื่อความมั่นใจสูงสุด
ในสถานการณ์จริงในสนาม เท่าที่ลองขับตลอด 2-3 รอบ ด้วยโหมด Normal การตอบสนองของรถ ค่อนข้างจะมีบุคลิกแตกต่างกันในแต่ละโหมด
ส่วนโหมด Normal มันให้ความรู้สึกเหมือน MG4 ที่มีพลังขับมากกว่า ซึ่งหลายคนอาจจะชอบมันไม่น้อย ได้อารมณ์ใกล้เคียงกับ Subaru BRZ รถที่มีสไตล์คล้ายๆกัน
รอบหลังๆ พอ ผมปรับมาเป็นโหมดสปอร์ต สัมผัสได้ถึงความมั่นใจในการขับขี่ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในระหว่างการเข้าโค้ง อย่างโค้ง S 1 และ S2
ส่วนที่ผมชอบคือ แม้ว่ารถจะปรับเป็นการขับเคลื่อนสี่ล้อก็ยังออกอาการของการขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลัก ปัจจุบัน รถสันดาปที่มาแนวนี้ก้จะมีเพียงไม่กี่ระบบเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นค่ายเยอรมัน
การทำให้รถมีอาการคล้ายขับเคลื่อนล้อหลังเป็นหลัก แม้จะเป็นขับเคลื่อนสี่อล้อ ช่วยให้รถมีความคล่องตัวสูง และตอบสนองดี เวลาผู้ขับขี่ทำการบังคับเลี้ยว จะไม่ค่อยมีอาการขืน เข้าโค้งอย่างเป็นธรรมชาติ และ พอถึงกลางโค้ง เราก็สามารถกดคันเร่งออกจากโค้งอย่างรวดเร็ว
ตลอด 3-4 รอบสนามรถคันนี้ ผมยอมรับเลยว่ามันเป็นรถที่สนุกที่สุด เท่าที่ได้ลองขับในสนามพีระ ไม่นับพวกซุปเปอร์คาร์ราคาหลายสิบล้านบาท เพราะนี่คือรถที่คนทั่วไปจับต้องได้
ความสนุกที่ยาวนานขึ้น
ด้วยความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหลายคนอาจจะมแงว่า ความสนุก มันอยู่ไม่ยาวหรอก ขับนิดเดียวเดี๋ยวก็แบตหมด
เรืองนั้นหายกังวลได้เลยครับ เพราะ MG4 X-Power มาพร้อม แบตเตอร์รี่ขนาด 64 Kwh ให้ระยะทางต่อการชาร์จ 480 ก.ม. ตามมาตรฐานNEDC
แม้เราจะรู้ว่าระยะทางเคลมกับใช้งานของจริง มันไม่คือกัน ยิ่งใช้ความเร็ว ขับสนุก แต่กินไฟยับ คงไม่ใช่ สิ่งที่มองหาในรถยนต์ไฟฟ้า หากคุณจะรู้สึกดีขึ้นแน่นอน เมื่อทราบว่า รถคันนี้มาพร้อม On Board Charger 11 kw สำหรับ การชาร์จในโหมด AC และ การชาร์จเร็ว DC รองรับ ได้สูงสุด 140 Kw
วันนี้เราแค่เพียงขับในสนาม ยังไม่ได้ลองชาร์จ แต่ ทางเอ็มจีบอกว่า ใช้เวลา 26 นาทีเท่านั้นในการชาร์จจาก 10-80% ของแบตเตอร์รี่ เรียกว่า สล็อทเวลา ของตู้ชาร์จปั้ม สีฟ้า พอแน่จะให้คุณขับสนุกต่อไป
MG4 X- Power ถูกใจสายซิ่ง จนอยากจะเปลี่ยน
วันนี้ กับการสัมผัส เจ้า MG4 X-Power ส่วนตัว ผมหลงรักรถ คันนี้ จนอยากได้ไว้ที่บ้าน ถ้ามีโอกาส ด้วยต้องผ่าน ผบ. ที่บ้านก่อน
พลังขับ คือ สิ่งที่โดดเด่นมากใน MG4 X-Power คันนี้ ตัวรถพลิกจากรถแม่บ้านพร้อมใช้ขับในชีวิต ประจำวัน ไปสู่ ภาพลักษณ์ 5 ประตูตัวแรง หรือ Hot hatch ที่ได้รับความนิยม ในตลาดยุโรป
ผมกล้าพูดว่า นี่คือ การเปลี่ยนแปลง ครั้งสำคัญ ต่อภาพลักษร์แบรนด์ MG พวกเขาไม่เคยทำรถสปอร์ตออกมาขาย และวันนี้กับรถคันนี้ หลังลองขับ มันเป็นรถที่จะทำให้ คนมอง MG เปลี่ยนไป ไม่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
อย่างไรก็ดี , เอ็มจี 4 X-Power มีทั้ง ข้อดี ในเรื่อง พลังขับ ช่วงล่า งและความพร้อม ต่อการซิ่งในทุก อนูในรถคันนี้
แต่ภายนอกมัน ก็คือ MG 4 ที่เราคุ้นตาที่มีล้อใหญ่ ไม่ใช่ ภาพลักษณ์ของรถซิ่ง แม้ว่า มันจะมีล้อใหญ่ขึ้น ส่วนตัวผมว่า รถมันแอบดูสูงแปลกๆ ไม่ลงตัว และยังดูไม่เท่ห์ จนรู้สึกว่าหล่อโดนใจ
สำหรับคนมองหารถยนต์ไฟฟ้า มีคนไม่มากนัก มองหาพลังขับ แรงเร้าใจ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้อบการ คือแบตเตอร์รี่ที่ใหญ่ขึ้น ตอบการใช้งานดีขึ้น เป็น ความต้องการหลักของตลาดในวันนี้
สิ่งที่เดียว ที่จะทำให้ รถรุ่นนี้ขายได้หรือไม่ คือ ราคา ถ้าเป็นไปตาม ที่ทางเอ็มจี ใบ้มา เจ้านี่ จะมีราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาท ถือว่า เป็นราคาที่ค่อนข้างถูก
ยิ่งเมื่อลองขับแล้ว ราคาแบบนี้ หารถพลังขับเท่านี้ ตอบสนองดีขนาดนี้ พรั่งพร้อมขนาดนี้ นับว่าหายากมาก ในตลาดปัจจุบัน
บางรุ่นพลังขับเยอะ แต่ช่วงล่างไม่ไหว ยางไม่รับกับพลังขับ ซื้อมาต้องไปทำต่อ แต่ทางเอ็มจี ครบจบเลย ออกมาแล้วซิ่งได้เลย
เรียกว่า จ่ายจบครบจากโรงงาน ซึ่งปัจจุบัน รถที่มาจากผู้ผลิตชาวจีนสไตล์นี้ ในกลุ่มพลังแรง ก็ดูเหมือน MG จะพรั่งพร้อมที่สุด