ในบรรดารถยนต์กระบะที่ทุกคนชื่นชอบ แม้ว่าที่ผ่านมาแบรนด์  Mitsubishi  จะเหินห่างไปบ้าง หากด้วยชื่อเสียงยาวนานเรื่องความแกร่ง ทนใช้งานดี  ยังตราตรึงใจคนไทย และการกลับมาทวงบัลลังค์กระบะเบอร์ 3 ด้วย   Mitsubishi  Triton  ใหม่ ก็ดูจะเปิดเกมได้สมราคา และความตั้งใจที่ลูกค้าเฝ้ารอ

การเปิดตัวในช่วงปลายปี ก่อนจะเริ่มวางขายในงานท้ายปี จนมาถึงวันนี้ก็นับว่าเป็นเวลาประมาณ 3 เดือนได้ ตั้งแต่รถรุ่นนี้เปิดตัวทำตลาดในไทย ถือว่านานพอสมควร นับตั้งแต่รถเปิดผ้าคลุม จนเริ่มเห้นวิ่งแถวบ้านบ้างแล้ว

ย้อนกลับไปในสัมผัสแรก ผมมีโอกาส ลอง   Mitsubishi Triton  ใหม่ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเสน้ทางออฟโรด เพื่อพิสูจน์บทความแกร่ง ต้องยอมรับว่ากระบะคันนี้ได้ใจเราในเรื่องความรู้สึกในการขับขี่ที่นิ่มนวล สมรรรถนะทั้งเครื่องและช่วงล่างที่ราวกับเซทดีกว่า  (อ่านรีวิวเบื้องต้นได้ที่นี่)  

ความจริงจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ เมื่อถนน คือ ที่ๆ เราใช้รถมากกว่า ทางออฟโรด เรากำลังจะได้พิสูจน์กัน

ตื่น ตี 4 เจอกันตี 5 สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนจะลัดฟ้าสู่เชียงใหม่ เตรียมขับ   Mitsubishi  Triton  ใหม่ กัน

การเดินทางครั้งนี้ ทีมงาน มิตซูบิชิ เตรียมเส้นทางไปยังอำเภอแม่แจ่ม ก่อน เข้าไปลุยเสน้ทางออฟโรด แล้วขับวนกลับมายังจุดเริ่มต้น ซึ่งบทพิสูจน์กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่อึดใจแล้ว

เจอหน้าค่าตาครั้งที่ 3 หลังจาก เปิดตัว   Mitsubishi  Triton  ยังคงทำให้ผมรู้สึกว่า เจ้ากระบะคันนี้งอกงามมาทางด้านความสปอร์ตมากขึ้น หลังจากเล่นเกมหรูมายาวนาน ตั้งแต่รุ่นก่อนหน้านี้ จนมาถึงรุ่นปัจจุบัน

หน้าตาใหม่ที่มาพร้อมภาพลักษณ์   Advance dynamic shield   เปลี่ยนหน้าตารถโดยสิ้นเชิง มาเป็นหน้าตาดูสปอร์ตแปลกตา ด้วยกระจังหน้าใหม่ รับเข้ากับไฟหน้าที่ดูลงตัว ส่องสว่างด้วยโคมโปรเจคเตอร์ มีไฟ   Daytime Running Light   มาให้เสร็จสรรพ

ตำแหน่งไฟเลี้ยว ขยับปรับเปลี่ยนจากเดิมมาไว้ที่กันชนหน้าวางรวมไว้กับไฟตัดหมอก ดูลงตัวน่าใช้งาน ช่วงขอบกระจังมายังกันชนก้านล่าวมีคิ้วโครเมี่ยมให้ความรู้สึกหรูในบางอารมณ์ด้วยเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงเส้นสายงานออกแบบ Mitsubishi Triton ใหม่ ใช่เพียงแค่ด้านหน้า ทางด้านข้าง ทีมออกแบบจัดการเปลี่ยนรายละเอียดโค้งเว้าดั้งเดิม พร้อมโป่งล้อหรือ  Over fender   มาสู่แก้มข้างแบบปั้มขึ้นรูป วาดเหลี่ยมให้ดุมีความรู้สึกแงแกร่งดุดันพร้อมลุยกว่ารุ่นเดิม ไปจนถึงกระบะท้ายที่มีการปรับลักษณะให้สมส่วนคล้ายทางด้านหน้า ดูครบเครื่องมากขึ้นเมือมองรวมกับล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว ติดตั้งยาง 265/60/ R18   เติมความลงตัว

ส่วนท้ายรถเพิ่มสปอรยเลอร์หลังติดตั้งไว้ตำแหน่งฝาท้าย เปลี่ยนลักษณะบานประตูดีไซน์ดูมีเหลี่ยมขึ้น ซ่อนตำแหน่งกล้องมองหลังเนียนกว่าเดิม แล้วจัดการเติมไฟท้ายใหม่ยามค่ำคืนให้ทรงไม้ตะพดสั้นคล้าย   Mitsubishi  Pajero Sport 

ก้าวขึ้นห้องโดยสาร หลายอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากปรับเอาภายในอเนกประสงค์มาใช้ เจ้ากระบะไทรทันดูหรูขึ้นกว่าเดิมพอสมควร มันให้ความรู้สึกดั่งคุณขับรถเก๋งพร้อมลุยมากกว่าการขับกระบะที่เคยคุ้นตา

การให้ภายในห้องโดยสารใหม่ยังคงครบเครื่องด้วย พวงมาลัยมัลติฟังชั่น, หน้าปัดมาตรวัดใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอ TFT   แสดงผล 3 มิติ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกระดับความเย็นได้ 2 โซน พร้อมด้วยระบบควบคุมปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

พื้นที่ในการโดยสารทั้งตอนหน้าและตอนหลังยังคงหมือนเดิม ด้วยความยาว 1,745 มม. ช่วงแรกผมขลุกอยู่ตำแหน่งเบาะนั่งตอนหลังสัมผัสรู้สึกเปลี่ยนไป พนักพิงหลังดูชันขึ้นกว่ารุ่นก่อน จนรู้สึกว่าความสบายในโดยสารตอนหลัง เอกลักษณ์รุ่นเดิมหายไป

จนตอนที่ลงเปลี่ยนมือมาขับ เห็นชัดว่าโครงสร้างห้องโดยสารจากรุ่นเดิม ที่มีเส้นเอกลักษณ์  J Line  หายไป น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มันนั่งหลังแล้วดูชันกว่าเดิม

ขึ้นมานั่งตำแหน่งคันขับผมรับช่วงไม้สอง หลังผ่านอาหารกลางวัน ถนนในช่วงนี้เป็นช่วงสองเลนสวนขึ้นดอยต่อเนื่องก่อนที่เราจะไปลุยทางฝุ่นกัน

ใต้เรือนร่างอันหล่อเหลา   Mitsubishi   ยังคงแนะนำเครื่องยนต์รหัส   4N15  ต้นกำลังดีเซล 2.4 ลิตร   Mivec Turbo ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า และทำแรงบิด 430 นิวตันเมตร พกระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดท ได้รับการปรับปรุงมาใหม่ล่าสุด จากเดิม 5 สปีด

หลายคนอาจถามว่า ทำไมมิตซูบิชิไม่ทำเกียร์ออโต้ 8 สปีด ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ไหนๆ คู่หูอเนกประสงค์ก็พกเกียร์ออโต้ 8 สปีดมาหแล้ว คงจะดี ถ้าเป็นกระบะเกียร์เยอะ รองจากคู่แข่งหน้าใหม่ที่เข้ามาจับใจคนในช่วงนี้

คำถามเดียวกันนี้ ผมเคยถามทีมงานวิศวกรรมมิตซูบิชิ ย้อนไปในช่วงตอนเปิดตัว ได้รับคำตอบว่า พวกเขาคิดว่าเป็นการพัฒนาชุดเกียร์ใหม่ และความต้องการนการใช้รถกระบะไม่ได้เหมือนอเนกประสงค์ ทำให้การทัดเทียมเพื่อนร่วมก้วน เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ถือว่าพอเพียงแล้ว

แม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เดิมที่เราคุ้นเคย แต่การให้เกียร์ใหม่ ทำให้มิตซูบิชิไทนทัน ลดความห้าวดูนิ่มนวลมากขึ้นเมื่อเหยียบคันเร่งลงไป แถมยังมีระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราวมาให้ด้วยในงวดนี้ เป็นกระบะในตลาดรายที่ 2 ที่ระบบนี้มาด้วย รองจาก  Isuzu ประทับรอยกระบะปล่อยไอเสียต่ำ ระดับ   Euro 4 B  เป็นของแถมที่คุณจะได้จากกระบะคันนี้

เรื่องพละกำลังจากเครื่องยนต์ยังคงมั่นใจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเวลาเร่งแซง หรือเอาชนะเนินชัน เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ยังทำหน้าที่ดีครบถ้วนเหมือนเดิม แม้ว่าการมีเกียร์ 6 บางทีจะทำให้รู้สึกว่ามันเฉื่อยชาไปบ้างในจังหวะขับขึ้นเนิน กว่าจะทอนมาเป็นเกียร์ 5 นี่ต้องใช้เวลา สักหน่อย

ส่วนช่วงลงเนิน เราแนะนำว่าควรจะเปลี่ยนมาใช้ระบบเกียร์แบบปรับได้เองไม่ว่าจะสับเองที่คันเกียร์ หรือกระดิกที่พวงมาลัย เนื่องจากระบบเกียร์จะไม่ทอนกำลังรือปรับเปลี่ยนเกียร์ให้เอง เมื่อลงทางเขา มิตซูบิชิกล่าวว่า นั่นเพราะเกียร์ชุดนี้ไม่ได้ติดตั้งหน่วยควบคุมเกียร์ Invect มาให้ ด้วยน้ำหนักในรถกระบะอาจมีการแปรผันจากการบรรทุก ทำให้การประเมินจังหวะทอนเกียร์อาจผิดพลาดและไม่ถูกต้อง จึงอยากให้เป็นหนเที่ผู้ขับขี่ปรับเองน่าจะดีกว่า

ช่วงทางโค้งต่อเนื่อง บนเส้นทางในเขาแบบนี้ รถดูมั่นใจมากขึ้นแถมกระด้างน้อยลงกว่ารุ่นเดิม ส่วนหนึ่งจากการเปลี่ยนโช๊คอัพหลังให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางแกนโช๊ค 42.7 มม. มาเป็น 45.มม. รับแรงสะเทอนดีขึ้น ตลอดจนยังปรับชุดแหนบแผ่นซ้อนทางด้านหลังใหม่ เปลี่ยนความยืดหยุ่นหรือ ค่า   K   เพื่อตอบสนองต่อการโดยสารในขณะไม่มีการบรรทุกให้ดีชึ้น

ขับมาระยะใหญ่ในที่สุดเราก็มาถึงทางลุย เส้นทางวันนี้ไม่ได้โหดหินมากมายนัก เป็นทางลูกรังที่มีหลุ่มบ่อรอต้อนรับเราอยู่อย่างมากมาย เพื่อให้พิสูจน์ความสามารถในการลุยของกระบะคันนี้

เมื่อเข้าเส้นทางนี้ทางทีมงานให้เราเริ่มระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ  Super Select 4WD  II   ที่มีการปรับปรุงให้มีความสามารถทัดเทียมกับรถอเนกประสงค์ของมิติซูบิชิ ด้วยความสามารถการทำงานคล้ายกับโหมด AWD   ในรถบางรุ่น และยังสามารถปลดล็อคเป็นขับเคลื่อน 2 ล้อก็ได้ เรื่องความสามารถในการลุยของระบบพิสูจน์มาแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ในเส้นทางการแข่งขันดาร์การ์ จึงวางใจลุยได้สบายมาก หายกังวล

การเข้าเกียร์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำได้ทันทีด้วยระบบ   shift On The Fly   สามารถเปลี่ยนไปสู่ขับเคลื่อนสี่ล้อได้ทันที เมื่อเข้าทางฝุ่น ผมบิดปรับมายังโหมด  4HLC เหมาะสำหรับเส้นทางลุยลูกรังแบบนี้ ส่วนในโหมด 4 H   ปกติ ทำงานคล้ายระบบ  AWD   สามารถแปรผันอัตราแปรผันล้อหน้า-ล้อหลังได้ตั้งแต่ 33/67 ไปจนถึง 50/50 เหมาะมากสำหรับขับในทางถนนที่มีความลื่นได้ง่าย หรือในภาวะฝนตก  เป็นรถกระบะรุ่นเดียวในตลาดที่มีความสามารถดังกล่าว

เส้นทางลุยสมบุกสมบัน ขับไทรทันบุกป่าฝาดง ผมยอมรับว่าช่วงล่างมันค่อนข้างนิ่งกว่ากระบะอื่นๆ ที่ใช้ช่วงล่างระบบช่วงล่างแหนบ การตอบสนองพวงมาลัยก็ไวเป็นเยี่ยม เบรกหยุดก็มั่นใจในทางแบบนี้ ด้วยการอัพขนาดชุดจานเบรก จาก 294 มม. มาเป็น 320 มม. และปั้มเบรกมาเป็นแบบเดียวกับ   Pajero Sport  ช่วยตอบเรื่องการขับขี่ได้ดี จนเป็นกระบะลุยดีสมน้ำสมเนื้อกับราคาที่ต้องจ่าย

สรุป   Mitsubishi Triton เปลี่ยนได้ครบเครื่อง คุ้มค่าน่าซื้อกว่าที่คิด

ผมลงจาก  Mitsubishi  Triton  หลังจากผ่านเสน้ทางเขาบุกป่าฝ่าดงครบเครื่อง ยอมรับว่า กระบะมิตซูบิชิ ที่น่าใช้เป็นทุนเดิม ดูมีความน่าสนใจมากขึ้นไม่น้อย

ความโดดเด่นในรุ่นนี้คงอยุ่ที่การออกแบบใหม่ทั้งหมดของตัวรถ ที่ไม่เพียงเปลี่ยนไฟหน้า – กันชนหน้า แต่กลายเป็นเปลี่ยนทั้งคัน ตั้งแต่หน้าจรดหลัง ให้ทั้งความหล่อ และของที่จำเป็นต่อการใช้งาน มาครบเครื่องมากขึ้น แม้นว่าการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ จะราวดูกับยกของ   Pajero Sport   มาใส่ในรถคันนี้

หากก็ยังมีรายละเอียดบางส่วนที่ได้รับการพัฒนาใหม่ อาทิ ชุดเกียร์ออโต้ 6 สปีด และโช๊คอัพหลังใหม่ ตลอดจนยังมีระบบความปลอดภัย   Advance system   หลายรายการ ซึ่งรถกระบะบางยี่ห้อระดับแถวหน้าของตลาดยังไม่คิดจะติดตั้งมาให้

สัมผัสแรกของเรากับ  มิตซูบิชิ ไทรทัน ยอมรับว่า มันเป็นกระบะที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ยังไม่สามารถจะเปิดเผยถึงบางเรื่อง อย่างอัตราประหยัด และสมรรถนะในภาพรวมของรถได้

ถึงจะพูดแบบนั้นภาพรวม มันเป็นกระบะที่น่าใช้มากขึ้น ขับดีกว่าเดิม แม้ว่าอาจจะไม่ได้ประหยัดกว่าเดิม หรือมีอัตราเร่งเร็วขึ้น หากภาพของการขับขี่ของมิตซูบิชิ ก็จัดว่าไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว [ngg src=”galleries” ids=”1102″ display=”basic_thumbnail”]